เครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเผยงานวิชาการต่างประเทศชี้นโยบายควบคุมยาสูบของไทยล้มเหลวในการลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ ขณะที่อังกฤษสามารถลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ได้จริงจากนโยบายควบคุมให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นทางเลือกในการเลิกบุหรี่ พร้อมเสนอแนะไทยควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าแทนการแบน
นายมาริษ กรัณยวัฒน์ และนายอาสา ศาลิคุปต ตัวแทนเครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า “กลุ่มลาขาดควันยาสูบ End Cigarette Smoke Thai (ECST)” และแอดมินเฟซบุ๊คเพจ “บุหรี่ไฟฟ้าคืออะไร” ซึ่งมีสมาชิกเกือบ 1 แสนคน ร่วมกันเผยถึงการศึกษาเปรียบเทียบด้านนโยบายภาครัฐ หัวข้อ “การศึกษาความแตกต่างของนโยบายควบคุมยาสูบระหว่างสหราชอาณาจักรและประเทศไทย” ของนักวิชาการอิสระชั้นนำจากสถาบัน อาร์ สตรีท ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งสรุปว่าทั้งไทยและสหราชอาณาจักรซึ่งมีปัจจัยทางวัฒนธรรมและทางประชากรแตกต่างกัน ต่างดำเนินนโยบายควบคุมยาสูบตามกรอบแนวคิด MPOWER ขององค์การอนามัยโลกที่คล้ายกัน แต่ผลสำเร็จของการลดจำนวนผู้สูบบุหรี่กลับแตกต่างกันอย่างมาก ส่วนหนึ่งมาจากความแตกต่างของนโยบายการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า
นายมาริษกล่าวว่า “ประเทศไทยยึดติดกับมาตรการควบคุมบุหรี่แบบเดิม ๆ ทั้งที่มันเริ่มมาถึงจุดอิ่มตัวแล้ว และยังอ้างความสำเร็จในการควบคุมบุหรี่แบบผิดๆ โดยการบอกว่าเรามีการขึ้นภาษีบุหรี่สูงๆ บังคับใช้ซองบุหรี่หน้าตาเหมือนกันได้ หรือแบนบุหรี่ไฟฟ้าได้ แต่กลับพบเห็นการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเต็มบ้านเต็มเมือง ส่วนอัตราการสูบบุหรี่ของคนไทยก็ทรงตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 19%-20% มานับสิบปีตั้งแต่ปี 2556 ขณะที่สหราชอาณาจักรสามารถลดอัตราการสูบบุหรี่ลงได้จาก 20% ในปี 2554 เหลือเพียง 15% ในปี 2561 ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากในการลดจำนวนผู้สูบบุหรี่อายุระหว่าง 18-24 ปีได้ถึง 9% ทั้งนี้เพราะรัฐบาลอังกฤษให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นเครื่องมือหนึ่งในการช่วยเลิกการสูบบุหรี่แก่ประชาชน”
รายละเอียดในงานศึกษาดังกล่าว ซึ่งจัดทำโดย อาร์ สตรีท องค์กรอิสระซึ่งเชี่ยวชาญด้านการวิจัยด้านนโยบายสาธารณะ ยังระบุอีกว่าทั้งสหราชอาณาจักรและไทยได้รับการยกย่องจากองค์การอนามัยโลกในฐานะที่ดำเนินนโยบายด้านการควบคุมยาสูบได้เป็นอย่างดี แต่สองประเทศนี้กลับมีความแตกต่างกันในการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่เช่น บุหรี่ไฟฟ้า หรือผลิตภัณฑ์แบบให้ความร้อน ซึ่งอังกฤษสนับสนุนหลักการลดอันตรายด้วยการสนับสนุนให้ผู้สูบบุหรี่เปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า เช่นบุหรี่ไฟฟ้า ตรงกันข้ามกับนโยบายของประเทศไทยที่กำหนดให้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นสินค้าผิดกฎหมาย ต้องถูกจับปรับ มีโทษรุนแรง จึงมีแนวโน้มว่าปัจจัยที่แตกต่างนี้ทำให้อัตราการสูบบุหรี่ในสหราชอาณาจักรลดลงได้ดีกว่าไทยเป็นอย่างมาก
นายอาสาเสริมว่า “สาธารณสุขอังกฤษออกรายงานยืนยันหลายครั้งว่าการ
ใช้บุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายน้อยกว่าการสูบบุหรี่ และออกกฎหมายในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าที่พิจารณาถึงประโยชน์ด้านสุขภาพของผู้สูบบุหรี่ที่เปลี่ยนไปใช้บุหรี่ไฟฟ้า แต่ขณะเดียวกันก็คำนึงถึงเป้าหมายในการป้องกันไม่ให้ผู้ไม่สูบบุหรี่ รวมทั้งไม่ให้เด็ก ๆ หรือเยาวชนสามารถซื้อหรือใช้บุหรี่ไฟฟ้าได้ เช่นห้ามผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปีซื้อบุหรี่ไฟฟ้า ห้ามการโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณบุหรี่ไฟฟ้าตามสื่อต่างๆ อีกทั้งยังมีการควบคุมผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยด้วย”
“เราอยากเห็นประเทศไทยศึกษาแนวทางและเปลี่ยนมาควบคุมให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายแบบอังกฤษ จะได้ช่วยลดอัตราการสูบบุหรี่ในประเทศ เป็นการช่วยแก้ปัญหาสาธารณสุขจากการสูบบุหรี่ และยังป้องกันการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเด็ก รวมถึงการซื้อขายบุหรี่ไฟฟ้าแบบผิดกฎหมายด้วย ซึ่งเมื่อกลางปี 2563 ผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับข้อร้องเรียนของพวกเรา และรับปากช่วยแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้อดี-ข้อเสียของบุหรี่ไฟฟ้า และทบทวนงานวิจัยอย่างเป็นกลางและเป็นระบบ เราจึงเรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่นกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง ทบทวนนโยบายการแบนบุหรี่ไฟฟ้าเสียใหม่โดยรับฟังความเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพราะที่ผ่านมาก็ชัดเจนว่าประเทศไทยล้มเหลวทั้งการแก้ปัญหาการสูบบุหรี่และการการบังคับใช้กฎหมายแบนบุหรี่ไฟฟ้าอีกด้วย”