เนื่องในโอกาสวันความหลากหลายทางชีวภาพโลก เจ้าหน้าที่ที่ได้รับการเลือกตั้ง ผู้นำชนพื้นเมือง นักวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญอื่น ๆ จำนวนมาก กำลังเรียกร้องให้ผู้นำอาเซียนรับรองข้อเสนอที่เปี่ยมความมุ่งมั่นเพื่อปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ และยกระดับสิทธิของชนพื้นเมืองผ่านอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ
หลังจากล่าช้ามานาน 1 ปี การเจรจาอย่างเป็นทางการของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพกลับมาดำเนินการอีกครั้งในเดือนนี้ และน่าจะได้ข้อสรุปที่เมืองคุนหมิง ประเทศจีน ในเดือนตุลาคมนี้ เนื่องจากบรรดาผู้แทนจาก 196 ประเทศ รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหมด เข้าร่วมการเจรจานี้ ทุกสายตาต่างจับตามองมาที่ภูมิภาคอาเซียน ในฐานะหนึ่งในภูมิภาคที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก ประเทศสมาชิกอาเซียนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนายุทธศาสตร์ระดับโลกที่ประสบความสำเร็จในการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ อาเซียนเป็นผู้นำของกลุ่มประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และส่งเสริมการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนนับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปี 2545 ตลอดจนเป็นแหล่งความหลากหลายทางชีวภาพโลกถึง 70%
ขณะที่ประเทศสมาชิกอาเซียนยังไม่ได้สรุปถึงจุดยืนของตน แต่มีการสนับสนุนเพิ่มขึ้นทั่วโลกสำหรับข้อเสนอทางวิทยาศาสตร์ในการอนุรักษ์ผืนดินและมหาสมุทรอย่างน้อย 30% ของโลก ซึ่งจะเคารพสิทธิของชนพื้นเมืองและผนวกรวมชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่นมาเป็นพันธมิตรในการดำเนินการ
ข้อเสนอ 30x30 ได้รับการสนับสนุนโดยกลุ่ม High Ambition Coalition for Nature and People (HAC) ซึ่งเป็นพันธมิตรระหว่างรัฐบาลมากกว่า 60 ประเทศ โดยมีคอสตาริกา ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักรร่วมเป็นประธาน กัมพูชาเป็นสมาชิก HAC รายแรกจากภูมิภาคอาเซียน ส่วนสมาชิกรายอื่น ๆ ในเอเชีย ได้แก่ ญี่ปุ่น ปากีสถาน และมัลดีฟส์ ข้อเสนอ 30x30 ที่ว่านี้ ได้ผนวกรวมอยู่ในร่างยุทธศาสตร์ของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพแห่งสหประชาชาติโดยเป็นเป้าหมายระดับโลกอย่างหนึ่ง ในขณะที่ประเทศต่าง ๆ จะมีโอกาสแตกต่างกันในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เฉพาะเจาะจงในอาณาเขตของตน โดยการดำเนินการตามเป้าหมายที่เห็นพ้องกันในระดับโลกนั้น ควรเป็นเรื่องที่อยู่ในการตัดสินใจของแต่ละประเทศ ควบคู่กับหลักวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุด
ปัจจุบันมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และข้อมูลทางเศรษฐกิจมากมายที่แสดงให้เห็นว่า การอนุรักษ์ผืนดินและผืนน้ำอย่างน้อย 30% ของทั้งโลก เป็นแนวทางสำคัญในการจัดการปัญหาด้านความหลากหลายทางชีวภาพ นอกเหนือไปจากการจัดเก็บคาร์บอน ป้องกันโรคระบาดในอนาคต ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพิ่มพูนการผลิตทางการประมง และยกระดับสิทธิของชนพื้นเมือง
ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมีมากมาย โดยผลการศึกษาอิสระจากนักเศรษฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญกว่า 100 รายพบว่า การบรรลุเป้าหมาย 30% ที่ว่านี้ จะช่วยสร้างผลประโยชน์ด้านบริการทางการเงินและบริการระบบนิเวศมากกว่าต้นทุนกว่า 5 เท่า
เมื่อพิจารณาผลประโยชน์เหล่านี้แล้ว บรรดาผู้นำตามรายชื่อด้านล่างนี้ได้ร่วมกันแสดงให้เห็นถึงเหตุผลที่ชาติสมาชิกอาเซียนควรสนับสนุนเป้าหมาย 30x30 และส่งเสริมสิทธิของชนพื้นเมือง
ผู้ลงนามรับรองปฏิญญาฉบับนี้ ประกอบด้วย
1. ศ. ดร. Zakri Abdul Hamid - ประธาน Atri Advisory ผู้เป็นตัวแทนและที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของ Campaign for Nature และอดีตที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ประจำนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย
2. ดร. Antonio G. M. La Vi?a - ผู้อำนวยการบริหารหอสังเกตการณ์มะนิลา และอดีตปลัดกระทรวงสิ่งแวดล้อมของฟิลิปปินส์
3. ศ. ดร. Emil Salim - สมาชิกประจำ Brundtland Commission ประธานสภาที่ปรึกษาต่อประธานาธิบดีอินโดนีเซีย อดีตรัฐมนตรีกระทรวงประชากรและสิ่งแวดล้อม
4. ดร. ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ที่ปรึกษาอาวุโสของผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) อดีตรองนายกรัฐมนตรีของไทย
5. ดร. Salleh Mohd Noor อดีตประธานสมาคมองค์กรวิจัยป่าไม้ระหว่างประเทศ ผู้รับรางวัล 2016 Merdeka Award อดีตผู้อำนวยการสถาบันวิทยาศาสตร์มาเลเซีย
6. ดร. Ravi Sharma - ที่ปรึกษาของ Athena Infonomics เคยปฏิบัติหน้าที่ในสำนักงานเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพประจำมอนทรีออล
7. ดร. Saw Leng Guan - ผู้ดูแลสวนพฤกษชาติปีนัง ผู้ได้รับเหรียญจากสวนพฤกษศาสตร์เอดินเบอระ
8. ศ.ดร. Ahmad Ismail - ประธานสมาคมธรรมชาติแห่งมาเลเซีย ได้รับทุนจากสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์มาเลเซีย
9. ศ.ดร. Mohamad Osman - อดีตประธานสมาคมพันธุศาสตร์แห่งมาเลเซีย
10. ศ.ดร. Khatijah Yusoff - รองประธาน World Academy of Sciences ผู้ได้รับรางวัล 2015 Merdeka Award