การประกวดครั้งนี้จะเปิดโอกาสให้เชฟหนุ่มสาวอายุไม่เกิน 30 ปี ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในอคาเดมี และเริ่มต้นการเดินทางที่เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจและความรู้ โดยลงทะเบียนร่วมแข่งขันได้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565
ซาน เพลลีกรีโน ยัง เชฟ อคาเดมี (S.Pellegrino Young Chef Academy) มีความยินดีในการประกาศเปิดตัว "Seven Sages" หรือคณะกรรมการผู้ตัดสินการประกวดซาน เพลลีกรีโน ยัง เชฟ อคาเดมี รอบชิงชนะเลิศใหญ่ประจำปี 2565-2566 ซึ่งจะมีขึ้นที่มิลานภายในเดือนกันยายน 2566
อ่านข่าวประชาสัมพันธ์แบบมัลติมีเดียได้ที่ https://www.multivu.com/players/uk/9059851-s-pellegrino-young-chef-academy-presents-the-global-jury-for-competition/
ในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศระดับภูมิภาคนั้น เชฟหนุ่มสาว 170 คนจากทั่วโลกจะมาประชันฝีมือกันในการประกวดทำอาหารแบบไลฟ์สดต่อหน้าคณะกรรมการในแต่ละพื้นที่จากประเทศที่ร่วมการแข่งขันใน 15 ภูมิภาค โดยผู้เข้ารอบชิงชนะเลิศระดับภูมิภาคจะได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับที่ปรึกษาเพื่อให้เมนูของตนเองออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด และโชว์ทักษะการเตรียมอาหารจานเด็ดของตนต่อ Seven Sages
ด้วยความเชื่อที่ว่าความหลงใหล วัฒนธรรม ความคิดแปลกใหม่ และจรรยาบรรณเบื้องหลังอาหารแต่ละจานจะเข้ามาสร้างความแตกต่างให้กับเชฟในอนาคต เชฟมือทองทั้ง 7 ซึ่งล้วนแล้วแต่มีชื่อเสียงในระดับโลกจะรับหน้าที่หลอมรวมความรู้ความเข้าใจเพื่อเลือกและสวมมงกุฎให้กับผู้ชนะเลิศ โดยคณะกรรมการผู้ตัดสินรางวัลจะยกย่องพรสวรรค์ในการผลักดันขีดจำกัดเดิม ๆ ของการทำอาหาร และสร้างแรงบันดาลใจให้เชฟรุ่นใหม่ด้วยวิสัยทัศน์และข้อคิดเห็นต่าง ๆ
เชฟระดับโลกที่ร่วมเป็นกรรมการตัดสินรางวัลครั้งนี้ ประกอบด้วย
1. อีเนโก แอตซา ( Eneko Atxa) เชฟชาวบาสก์ซึ่งคว้ารางวัลมิชลิน 5 ดาวจากภัตตาคารอาซูร์เมนดี (Azurmendi) และอีเนโก (ENEKO) เชฟผู้นี้มุ่งมั่นนำเสนอผลงานที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว และความยั่งยืน จนคว้ารางวัลด้านความยั่งยืนมาแล้วมากมาย โดยพื้นเพทางวัฒนธรรม สายสัมพันธ์กับดินแดนและพืชผล รวมถึงแนวทางการทำอาหารแบบฉบับชาวบาสก์ ได้กลายเป็นรากฐานเบื้องหลังผลงานสร้างสรรค์ของเขาจนถึงวันนี้ เชฟอีเนโกได้กล่าวถึงการที่เขาได้ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาว่า "เชฟหนุ่มสาวของเราได้มีโอกาสเริ่มและเรียนรู้ไปกับเราตั้งแต่อายุยังน้อย การให้ความรู้แก่พวกเขาเกี่ยวกับแนวทางและธรรมเนียมการทำอาหารอันเก่าแก่แบบฉบับชาวบาสก์จึงมีความสำคัญมาก พร้อมแนะนำเครื่องมือใหม่ ๆ ที่ช่วยให้ทำงานได้ดีขึ้น คำแนะนำที่ผมขอให้แก่คนรุ่นใหม่คือให้ทำงานหนักเข้าไว้ ด้วยความกระตือรือร้น ความมานะอุตสาหะ สำนึกรักแผ่นดิน และทำความเข้าใจว่าอาหารที่ทำจะสะท้อนตัวตนของเชฟ รวมถึงดินแดนและวัฒนธรรมของเชฟด้วย"
2. ริคคาร์โด คามานีนี ( Riccardo Camanini) ) เป็นหนึ่งในเชฟที่เข้าใจวิธีนำเสนออาหารอิตาเลียนแบบใหม่ได้ดีที่สุด ซึ่งเหนือชั้นทั้งในแง่ของเทคนิค ความงดงาม แก่นสาร และวิสัยทัศน์ เชฟผู้นี้ได้รับรางวัลดาวมิชลินมาตั้งแต่ปี 2557 เพียง 8 เดือนหลังเปิดร้านอาหารลิโด้ 84 (Lido 84) ในเมืองการ์โดเน ริเวียรา ประเทศอิตาลี โดยมีประสบการณ์การทำอาหารที่ช่ำชองจากคำสอนของเชฟจูอัลติเอโร่ มาร์เชซี (Gualtiero Marchesi) จากนั้นก็ได้ฝึกปรือทักษะเคียงข้างเชฟแรมง บล็อง (Raimond Blanc) ที่ภัตตาคารระดับมิชลิน 2 ดาวอย่างเลอ มานัวร์ โอ กัต เซซง (Le Manoir aux Quat Saison) และเคียงข้างเชฟอลัง ดูคาส (Alain Ducasse) และฌอง หลุยส์ (Jean Louis) ที่ภัตตาคารลา กรองด์ กัสกาด (La Grande Cascade) ในกรุงปารีส โดยเขาได้กล่าวถึงเชฟรุ่นใหม่ว่า "ความคิดสร้างสรรค์ไม่มีอะไรมากไปกว่าการสั่งสมข้อมูลผ่านประสบการณ์ที่เรารับเข้ามาตลอดทั้งชีวิตและตีความข้อมูลเหล่านั้นออกมา โดยปิรันเดลโล่เคยกล่าวไว้ว่า ความคิดสร้างสรรค์ก็เหมือนขนมปังแผ่นหนึ่ง เพราะเป็นอาหารที่ทาแยมลงไปได้ ความคิดสร้างสรรค์และผลลัพธ์บางอย่างจึงนับเป็นผลลัพธ์จากการเดินทางอันยาวนานของผู้ชำนาญที่หล่อหลอมตามกาลเวลา ความสม่ำเสมอ และความมานะอุตสาหะ"
3. เฮเลน ดาร์โรซ ( Helene Darroze) ) เป็นเชฟรุ่นที่สี่ซึ่งมีประสบการณ์การทำอาหารอยู่ในสายเลือด ปัจจุบันเชฟเฮเลนทำหน้าที่อยู่ในภัตตาคารระดับมิชลินสามดาวแห่งหนึ่งในโรงแรมเดอะ คอนน็อต (The Connaught) ในกรุงลอนดอน ภัตตาคารระดับมิชลินสองดาวอย่าง "มาร์ซาน" (Marsan) ในกรุงปารีส และภัตตาคารระดับมิชลินหนึ่งดาวอย่าง "เฮเลน ดาร์โรซ เอ วิลลา ลา กอสต์" (Helene Darroze ? Villa La Coste) ที่พรอว็องส์ ประเทศฝรั่งเศส นอกเหนือจากจะคว้าดาวมิชลินมาครองได้แล้ว เชฟเฮเลนยังได้รับรางวัลเวิฟ คลีโคต์ (Veuve Clicquot Prize) ในฐานะเชฟหญิงยอดเยี่ยมประจำปี 2558 จากเวทีสุดยอด 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมของโลก หรือ The World's 50 Best Restaurants ด้วย ทั้งยังรับหน้าที่เป็นกรรมการตัดสินรางวัลในรายการทีวีชื่อดังของฝรั่งเศสอย่าง "ท็อปเชฟ" (Top Chef) มาตั้งแต่ปี 2558 เชฟเฮเลนเป็นเชฟที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ในด้านความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งสะท้อนตัวตนโดยใช้อารมณ์ความรู้สึกเป็นจุดเริ่มต้น และมีความจริงแท้เป็นเส้นสายโยงใย จนออกมาเป็นอาหารและเมนูที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาและความรู้สึก แต่ยังคงเผยคุณลักษณะของส่วนผสมหลักได้อย่างพิถีพิถันและน่าชื่นชม "เชื่อในตัวเอง เชื่อในความฝัน ใช้ชีวิตอย่างที่ใฝ่หา ไม่มีอะไรหยุดคุณได้"
4. วิคกี้ เหลา (Vicky Lau) เชฟวิคกี้เลือกเดินตามเส้นทางที่ไม่ค่อยมีใครวาดเอาไว้ โดยได้เลิกทำงานโฆษณา และหันมาใช้ความคิดสร้างสรรค์กับอาชีพทำอาหารแทน เชฟวิคกี้ได้เริ่มอาชีพเชฟด้วยการเป็นลูกมือฝึกหัดที่ร้านเซปาจ (Cepage) ก่อนที่จะแยกออกมาเดินตามทางของตนเอง และเปิดร้านเทท ไดนิง รูม (TATE Dining Room) เมื่อปี 2555 โดยเมื่อปีที่ผ่านมานั้น เธอได้สร้างชื่อจากการเป็นเชฟหญิงคนแรกในเอเชียที่ได้รับรางวัลมิชลินสองดาวจากร้านอาหารของเธอเองในฮ่องกงในคู่มือมิชลิน ไกด์ ฉบับฮ่องกง-มาเก๊า ประจำปี 2564 เชฟวิคกี้ได้กล่าวถึงเชฟรุ่นใหม่ว่า "ในฐานะเชฟคนหนึ่ง การเตรียมอาหารที่ทั้งอร่อยและงดงามเป็นสิ่งสำคัญ แต่เราก็แสวงหาความหมายใหม่ ๆ ในชีวิตด้วย ความสำเร็จไม่ได้เป็นเรื่องของคุณคนเดียว แต่ยังเป็นเรื่องของการตอบแทนสังคมด้วย นั่นคือสิ่งที่เราทุกคนควรมุ่งหมายไว้"