ในยุคสมัยแห่งความท้าทายทั้งสภาวะโลกร้อนและปัญหาการบริโภคของจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก อีกทั้งสภาพอากาศที่มีความเปลี่ยนแปลงแบบสุดขั้วรอบโลกส่งผลให้เกิดปัญหาภัยพิบัติที่บ้างส่งผลกระทบโดยตรงให้แก่ผลิตผลทางการเกษตรอีกทั้งกลไกการตลาดที่เป็นตัวกำหนดความอยู่รอดของเกษตรกรในฐานะผู้ผลิต
เรามาดูประเทศพัฒนาอย่าง ญี่ปุ่น แดนแห่งปลาดิบที่เกษตรกรกับทางภาครัฐที่ส่งเสริมนโยบายเพิ่มมูลค่าสินค้าการเกษตรเช่นนำข้าวสารมาแปรรูปเป็นสาเกจากข้าวสารที่มีคุณภาพสูงไม่ได้แข่งขันส่งออกในเชิงปริมาณ แต่แข่งขันในเชิงคุณภาพและราคาที่เกษตรกรลืมตาอ้าปากได้
ประเทศญี่ปุ่นเป็นกลุ่มเกาะกรวยภูเขาไฟสลับชั้น ซึ่งมีเกาะประมาณ 6,852 เกาะ มีพื้นที่ทั้งหมด 377,944 ตร.กม. (ประเทศไทยมีพื้นที่ 513,120 ตร.กม.) มีประชากรประมาณ 127 ล้านคน การเกษตรของญี่ปุ่นทุกชนิดจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล โดยเฉพาะบางพืชมีการสนับสนุนมากถึง 80%
การแก้ปัญหาลักษณะโรงเรือนเนื่องด้วยประเทศญี่ปุ่นในช่วงฤดูหนาวอากาศมีโอกาสที่อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 5.1 องศาเซลเซียส และต่ำได้สูงสุดถึงขั้นอุณหภูมิติดลบ การออกแบบโรงเรือนจึงต้องมีความแข็งแรงเพื่อรองรับน้ำหนักหิมะที่ตกลงมาได้ และควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือนได้ ซึ่งบางแห่งใช้กระจกชนิดพิเศษซึ่งมีราคาสูง มาใช้เป็นหลังคาโรงเรือน ข้อได้เปรียบของประเทศไทย คือใช้หลังคา PVC ชนิดใสก็เพียงพอทำให้การทำโรงเรือนของประเทศไทยราคาถูกกว่ามาก
ระบบให้ควบคุมอุณหภูมิ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เนื่องจากสภาพอากาศของประเทศญี่ปุ่น ในช่วงฤดูร้อนก็มีอากาศร้อนมาก และในช่วงฤดูหนาวก็หนาวเย็นมาก (5.1-41 องศาเซลเซียส) ทำให้ต้องมีการใช้เครื่องปรับอากาศทั้งที่เป็นแบบปรับให้อุณหภูมิในโรงเรือนต่ำลงในช่วงหน้าร้อน และเครื่องให้ความร้อนในช่วงหน้าหนาว ซึ่งเครื่องทั้งสองชนิดใช้พลังงานสูงมาก ทำให้ต้นทุนในส่วนนี้สูงตามไปด้วย ซึ่งประเทศไทยอุณหภูมิเฉลี่ย ทั้งปีค่อนข้างใกล้เคียงกัน จึงเป็นอีกหนึ่งข้อได้เปรียบ และอีกส่วนที่สำคัญคือ เครื่องสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นก๊าซที่สำคัญสำหรับพืช ที่จะนำไปใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง เพื่อการเจริญเติบโต และผลผลิตที่ดี ในส่วนนี้เค้ามีอยู่ในทุกโรงเรือนที่เป็นระบบปิด 100% เพราะอากาศภายในโรงเรือนระบบนี้จะไม่ได้มีการแลกเปลี่ยนกับภายนอก
วัสดุปลูก และระบบการให้น้ำ อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการปลูกพืชในระบบโรงเรือนปิด คือวัสดุปลูกและระบบให้น้ำ ต้องมีความประหยัด สะอาด และพืชได้รับธาตุอาหารได้เต็มที่ โดยวัสดุปลูกที่นิยมใช้ส่วนใหญ่จะเป็นขุยมะพร้าว และมีการให้ธาตุอาหารผ่านระบบน้ำหยด แต่ในโรงเรือนที่ทันสมัยจริง ๆ จะใช้ลักษณะเป็น Membrane film ซึ่งเป็นวัสดุเส้นใยสานกันเป็นแผ่นบางๆ คล้ายสำลีหรือกระดาษทิชชู ที่มีความเหนียว และค่อยๆ ปล่อยให้น้ำและธาตุอาหารซึมผ่านไปทั่วทั้งแปลง ซึ่งประหยัดน้ำและปุ๋ยมาก ๆ เลยทีเดียว
การดูแลรักษา ด้วยกระบวนการผลิตที่เป็นระบบปิด ทำให้ความสะอาดเป็นจุดสำคัญที่ฟาร์มเหล่านี้มุ่งเน้น การเข้าออกโรงเรือนต้องมีการฆ่าเชื้อเป็นอย่างดี แต่ด้วยเหตุนี้ทำให้เกิดปัญหาสำคัญ คือ พืชไม่สามารถผสมเกสรเองได้ เนื่องจากไม่มีแมลงตามธรรมชาติมาช่วยในกระบวนการผสมเกสร จึงจำเป็นต้องใช้แรงงานมนุษย์ช่วยผสมเกสร หรือเลี้ยงผึ้งพันธุ์พิเศษที่มีความขยันเป็นตัวช่วย แต่ด้วยอากาศที่หนาวมากในฤดูหนาว กล่องรังผึ้งจึงต้องควบคุมอุณหภูมิให้อบอุ่นตลอดเวลา เพราะผึ้งจะไม่ออกหากินหากอุณหภูมิลดลงเกิน 10 องศาเซลเซียส และยังต้องมีการเพิ่มแสงให้แก่พืชด้วยในฤดูหนาวเพื่อช่วยการเจริญเติบโตและคุณภาพผลผลิต
ผลผลิตที่มีคุณภาพ จากกระบวนการเพาะปลูกที่ผ่านมาเป็นผลให้ ผลผลิตจากโรงเรือนระบบปิด มีคุณภาพสูง เป็นที่ต้องการของตลาด ขายได้ราคาสูงมาก ๆ ซึ่งกระบวนการเก็บเกี่ยวยังคงต้องใช้แรงงานในครัวเรือน โดยพื้นที่ขนาด 8 ไร่ เกษตรกรใช้แรงงานในการดูแลทุกขั้นตอนเพียง 5 คน และก่อนจะบรรจุผลผลิตเพื่อส่งให้แก่ผู้บริโภคก็ยังมีขั้นตอนการคัดคุณภาพผลผลิตด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยเพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าว่าผลผลิตทุกลูกมีรสชาติ และคุณภาพทั้งสิ้น
จะเห็นได้ว่าเกษตรกรในประเทศญี่ปุ่น มีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อจะผลผลิตอาหารให้แก่ประชากรในประเทศรุดหน้าไปอย่างมาก ทั้งที่ต้องมีการดิ้นรนต่อสู้เพื่อเอาชนะธรรมชาติอย่างหนักหน่วง ซึ่งหากมองให้ลึกลงไป เกษตรกรในประเทศไทยถือได้ว่ามีข้อได้เปรียบอยู่หลายประการ ทั้งเรื่องอุณหภูมิที่สม่ำเสมอตลอดปี แสงแดดที่มีมากมาย ทำให้เรามีต้นทุนในการสร้างโรงเรือนที่ถูกกว่าหลายเท่า ในปัจจุบันที่สภาพอากาศแปรปรวน การทำการเกษตรในโรงเรือนแบบปิด นับเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจมาก ๆ สำหรับเกษตรกร และนักธุรกิจการเกษตร เพราะสามารถควบคุมคุณภาพผลผลิตได้ดี ลดการใช้สารเคมี ใช้น้ำอย่างคุ้มค่า ทำให้สามารถขายสินค้าทางการเกษตรได้ในราคาที่สูงขึ้น แม้ต้นทุนในการวางระบบโรงเรือนในช่วงแรกจะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่หากระยะยาวนับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากเลยทีเดียว
เราจะเห็นได้ว่าญี่ปุ่นมีภัยธรรมชาติที่เลวร้ายกว่าเมืองไทยมากแต่สิ่งที่เกษตรกรญี่ปุ่นสามารถทำได้คือการใช้เทคโนโลยีและการสร้าง STORY ให้ผลิตผลของตนสามารถมีราคาที่สูงในท้องตลาดด้วยตัวของตัวเองได้ เรียกได้ว่าถ้านำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์
ทางผู้เขียนยอมรับเลยว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่มีจุดแข็งเรื่องการเกษตรตั้งแต่บรรพบุรุษนานนับหลายพันปี จากการขุดค้นพบโบราณคดีที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรรมและยังเคยเป็นแชมป์ด้านการส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลกและยางพาราในภูมิภาค แต่ด้วยคู่แข่งที่มีการพัฒนาและเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างอินเดียกับเวียดนาม ทำให้อันดับเราตก แต่เราต้องยอมรับว่าพันธุ์ข้าวและทุเรียนของเรายังยากที่จะหาคนเปรียบได้ในโลกนี่นับว่าเป็นจุดแข็งหนึ่งที่เราเองต้องเร่งพัฒนาและนำเทคโนโลยีมาต่อยอดเพิ่มมูลค่าในตลาดโลกต่อไป
ตอนนี้ที่ ทางผู้เขียนสนใจความคิดของ นายเสมอกัน เที่ยงธรรม ส.ส.สุพรรณบุรี เขต 4 พรรคชาติไทยพัฒนา ได้นำเสนอแอปพลิเคชันนี้ผ่านเฟซบุ๊ก ถึงความน่าสนใจของแอปฯ พร้อมให้ความเห็นว่า หากเกษตรกรของไทยหันมาใช้เทคโนโลยีช่วยในการทำเกษตรกรรม จะทำให้สามารถเพิ่มรายได้ และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นได้มากกว่าเดิม” วันนี้เราจึงได้ลองศึกษาแอปฯ ฟาร์มเอไอ Farm A.I. โดยสรุปคือ เป็นแอปฯ ของบริษัท ListenField ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับทุนจากรัฐบาลประเทศญี่ปุ่น ในการทำงานวิจัย “เรื่องโครงสร้างข้อมูลเพื่อยกระดับการเกษตร” นี้ เป็นแอปฯ สำหรับเกษตรกรโดยแท้ ที่ต้องการทำการเกษตรอย่างแม่นยำและยั่งยืน