Sanook.commenu

ค้นหา ตรวจหวย ข่าว อีเมล์ ดูทีวีออนไลน์ ฟังเพลงออนไลน์ คลาสสิฟายด์ ริงโทน เกมส์ ดูทั้งหมด »

สนุก! เว็บบอร์ด > หมวดหมู่ > ชุมชนสนุก! > ชุมชนไทยเมท > *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
ผู้ดูแล: StaffThaimate
หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 8
ชนิดกระทู้ ผู้เขียน *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*   (อ่าน 8502 ครั้ง)
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #270: 17 ธ.ค. 10, 20:53 น

ไม่น่าสนใจ
 
 
วันอาทิตย์เวลาเช้ามืด มารีย์ชาวมักดาลามาถึงอุโมงค์ฝังศพ
นางเห็นหินออกจากปากอุโมงค์อยู่แล้ว (ยอห์น 20:1)
 
คุณ อาจเป็นคนหนึ่งที่ถูกเลือกท้ายสุดในทีมเสมอ เป็นคนที่ถูกมองข้าม
แต่ผมมีข่าวดีมาบอกครับ พระเจ้าทรงทำสิ่งที่เหนือธรรมดาผ่านคนธรรมดาๆ
และพระเจ้ารักคนที่มีตำหนิ คนธรรมดาสามัญ
 
พวกเขาเองก็ไม่ได้ดีไปกว่า เปโตร มารีย์ มักดาลา หรือยอห์น
เปโตรปฏิเสธพระเยซูสามครั้ง มารีย์ครั้งหนึ่งเคยถูกผีสิงถึงเจ็ดตน
ยอห์นเป็นหนึ่งในที่ได้ชื่อว่าลูกฟ้าร้อง และยังมีข้อตำหนิอื่นๆด้วย
แต่พระเจ้าทรงใช้สามคนนี้ให้เป็นเหมือนมิชชันนารีออกไปสู่โลกกว้าง
เพื่อบอกกับทุกคนว่าพระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตายแล้ว
 
พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่ผู้ที่แสวงหาพระองค์ด้วยสิ้นสุดใจ
มารีย์มอบถวายชีวิตทั้งสิ้นของเธอให้กับพระเยซู พระคัมภีร์บอกเราว่า
ในขณะที่คนอื่นๆยืนดูพระเยซูถูกตรึงอยู่บนกางเขนไกลออกไป
มารีย์ยืนอยู่ที่โคนไม้กางเขน พระเยซูททอดพระเนตรเห็นเธอ
สตรีที่พระองค์เคยทรงขับผีออก เป็นคนอยู่สุดท้ายที่ไม้กางเขนนั้น
และเป็นคนแรกที่ไปยังอุโมงค์ฝังพระศพ
 
มีพระพรเสมอสำหรับคนที่ใช้เวลาแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า
พระคัมภีร์กล่าวว่า จง แสวงหาพระเจ้า เมื่อจะพบพระองค์ได้ จงทูลพระองค์
ขณะพระองค์ทรงอยู่ใกล้ ให้คนอธรรมละทิ้งทางของเขา
และคนไม่ชอบธรรมสละความคิดของเขา ให้เขากลับยังพระเจ้า
เพื่อพระองค์จะทรงกรุณาเขา และยังพระเจ้าของเรา
เพราะพระองค์จะทรงอภัยอย่างล้นเหลือ (อิสยาห์ 55:6-7)
 
เราจำเป็นต้องแสวงหาพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตใจ และมารีย์ได้ทำสิ่งนี้
เธอจึงได้รับพระพร
ขณะที่เธอไปหาองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เช้าที่อุโมงค์ฝังพระศพ
เธอกลับพบพระองค์ผู้ทรงคืนพระชนม์ และถ้าคุณยอมให้เวลากับพระองค์
คุณก็จะพบพระองค์ครับ
 
Pastor Greg Laurie
 
อนุญาตโดย Harvest Ministries with Greg Laurie
 
PO Box 4000, Riverside, CA 92514
 
 
* เราอาจเป็นคนสุดท้ายที่ถูกเลือก อาจถูกมองข้าม
ไม่มีใครเห็นความสำคัญ ทำให้อาจสั่นไหวในความเชื่อ
แต่พระเจ้าทรงเห็นความสำคัญของเราเสมอ
เพียงแต่เราต้องแสวงหาพระองค์ด้วยสิ้นสุดจิตใจ
และไม่ใช้เวลาไปแสวงหาการยอมรับจากเพื่อนมนุษย์และผิดหวัง!!
* ให้เราเป็นคนแรกที่ตื่นแต่เช้า
เข้าเฝ้าพระเจ้าเหมือนมารีย์ที่ไปยังอุโมงค์ฝังพระศพของพระเยซูแต่เช้ามืด
เพื่อจะได้พบกับพระองค์เป็นคนแรก พระเจ้าอวยพระพรค่ะ

 

Tags:
 
Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #271: 19 ธ.ค. 10, 13:36 น

พระองค์คือ "เราเป็น" ผู้ยิ่งใหญ่
 
 
"พระ เจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น" แล้วพระองค์ตรัสว่า
"ไปบอกชนชาติอิสราเอลว่า 'พระองค์ผู้ทรงพระนามว่าเราเป็น
ทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย'" (อพยพ3:14)
 
คุณเคยสังเกตุหรือไม่ว่าพระเจ้าทรงเลือกตรัสถึงพระองค์ในประโยคที่ยังไม่
สมบูรณ์? คนทั่วไปส่วนใหญ่จะพูดเต็มประโยค - "ฉันเป็น...(บางสิ่ง)"
แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราไม่เป็นเช่นนั้น
พระองค์ทรงตั้งพระทัยที่จะปล่อยให้เป็นเช่นนั้น
 
"เราเป็น" -- นั่นคือพระองค์
 
คุณหิวหรือ? พระองค์ทรงเป็นอาหาร
 
คุณอยู่ในความมืดหรือ? พระองค์ทรงเป็นความสว่าง
 
คุณกำลังแสวงหาหรือ? พระองค์ทรงเป็นความจริง
 
คุณกำลังหลงทางหรือ? พระองค์ทรงเป็นทางนั้น
 
คุณกำลังขาดแคลนหรือ? พระองค์ทรงเป็นพระผู้เลี้ยงของคุณ
 
คุณกำลังมองหาความช่วยเหลือจากพระองค์อยู่หรือเปล่า? วางใจในพระองค์
และพระองค์จะมาพบคุณ
 
โดย: Pastor Adrian Rogers
 
Daily devotional
 
Love worth finding ministries: www.lwf.org
 
 
* พระเจ้าทรงเป็น...ทุกสิ่งที่เราแสวงหาเพื่อจะได้ชีวิตที่ครบบริบูรณ์
* พระองค์ทรงเป็นคำตอบสำหรับทุกสิ่งในชีวิตคุณหรือไม่?
ถ้าไม่แน่ใจลองถามตัวเองดูค่ะ - ขอพระเจ้าอวยพร
 
churchofjoy.net

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #272: 22 ธ.ค. 10, 15:57 น

โดย ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์
 
คุณค่าของความหายนะ
 
 
 
ในปี คศ. 1917 โทมัส อัลวา เอดิสัน มีอายุ 67 ปี
วันหนึ่งห้องทดลองของท่านในรัฐนิวเจอร์ซีย์ถูกไฟไหม้เป็นเถ้าถ่าน
เอดิสันสูญเสียและเสียหายไปกับเพลิงไหม้ในครั้งนั้นสูงถึง 2 ล้านเหรียญ
เฉพาะค่าวัสดุ อุปกรณ์ต่างๆ
โดยยังไม่ได้รวมถึงความเสียหายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรายงานบันทึกผลการทดลองและเอกสารการค้นคว้าวิจัยตลอดชีวิตของท่าน
 
เช้าวันรุ่งขึ้น
ในขณะที่เอดิสันเดินดูซากเถ้าที่มอดไหม้พร้อมกับบุตรชายของท่าน
เอดิสันหันมากล่าวกับบุตรชายว่า
"มีคุณค่าอันยิ่งใหญ่ซุกซ่อนอยู่ในความหายนะครั้งนี้
เพราะบัดนี้ความผิดพลาดทั้งหลายของเราถูกเผามอดไหม้ไปหมดแล้ว
บัดนี้ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงให้เราเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง"
 
เรื่องราวที่สะกิดใจข้างต้นปรากฏอยู่ในข้อเขียนเรื่อง "Love your Job"
ของ ดร.พอล พาเวอร์ส และเดบอลาห์ รัสเซลล์
ผมไม่ทราบว่าหากคุณผู้อ่านต้องประสบกับเคราะห์ภัยเช่นเดียวกันอย่างกับที่เอดิสันประสบพบ
คุณจะรู้สึกและมีปฏิกิริยาอย่างไร?
 
น่าสะเทือนใจที่เราจะอ่านพบปฏิกิริยาในเชิงลบอย่างสิ้นหวังของคนจำนวนไม่น้อยในสังคม
เป็นเหตุให้บางคนเลือกหนีทุกสภาพเบื้องหน้าโดยการกระทำอัตวินิบาตกรรม
และทิ้งปัญหากับความทุกข์ทรมานไว้กับคนรักที่อยู่เบื้องหลัง
หรือไม่ก็ตัดสินใจแทนคนรัก ไม่ว่าจะเป็นลูกหรือเมีย
โดยการปลิดชีพคนเหล่านั้นด้วยความรัก (ตามความคิดของตนเอง)
เพื่อไม่ให้คนที่ตนรักต้องทนอยู่ในสภาพที่ยากลำบากในโลกนี้อีกต่อไป
ดังที่ปรากฏเป็นข่าวตามหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์หัวสีต่างๆในประเทศไทย
 
ซึ่งหากบรรดาบุตรภรรยาทั้งหลายที่ถูกปลิดชีพโดยบิดาหรือสามี
ผู้ผิดพลาดในการทำธุรกิจ
ธุรกรรมทั้งหลายเหล่านั้นสามารถเลือกทางเดินของพวกตนได้
พวกเขาคงจะยกมือขึ้นพนมเหนือหัวแล้วกล่าวกับผู้เป็นบิดาหรือสามีด้วยความเคารพอย่างสูงว่า
 
"สามีที่รัก! หากคุณรักฉันและลูกก็กรุณาปล่อยพวกเราอยู่ต่อไปเถอะ
ไม่ต้องห่วงพวกเราหรอก หากคุณจะไปก็ไปคนเดียวเถอะ" หรือ "คุณพ่อที่รักขา/
ครับ...หากคุณพ่อรักพวกเรามากจนต้องปลิดชีวิตของพวกเรา
พวกเราก็อยากจะวิงวอนขอให้คุณพ่อรักพวกเราให้น้อยลงสักนิดเถอะ
ปล่อยพวกเราให้เผชิญความยากลำบากตามลำพังต่อไปเถอะค่ะ/ครับ"
 
คุณผู้อ่านครับ อย่ากลัวเคราะห์ร้ายหรือโชคร้าย
ทุกโศกนาฏกรรมมักแฝงไว้ซึ่งสุขนาฏกรรมเสมอความเจ็บปวดไม่จำเป็นต้องนำสิ่งเลวร้ายมาให้เสมอไป
บางครั้งความปวดร้าวกลับนำมุมมองใหม่ๆมาให้
 
ทุกครั้งที่คุณผู้อ่านเผชิญกับความหายนะของชีวิต
ขอให้มีสติและรู้จักปรับมุมมองของชีวิต
โดยมองชีวิตให้กว้างและไกลจากสภาวะที่ดูสิ้นหวังเบื้องหน้า
เป็นไปได้ว่าชีวิตด้านใดด้านหนึ่งของคุณอาจจบสิ้น
แต่นั่นเป็นเพียงแค่เสี้ยวเล็กๆเสี้ยวหนึ่งในชีวิตอันกว้างใหญ่ไพศาล
ยังมีพื้นที่แห่งโอกาสอีกมากมายในชีวิตของคุณ
 
หากคุณเริ่มต้นชีวิตใหม่ในวันนี้
โดยการเลือกพันธุ์แห่งความดีงามและกำลังใจบรรจงปลูกหว่านลงไป
แล้วในไม่ช้าคุณจะอัศจรรย์ใจกับความงดงามและความเรืองรองของชีวิตใหม่จากซากแห่งความหายนะในอดีต
 
แล้วคุณจะเอ่ยปากเช่นเดียวกับที่เอดิสันได้เคยกล่าวไว้แล้วว่า
"ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงให้เราได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง"
 
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 284 วันที่ 6 - 12
พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 หน้า 27 คอลัมน์ พลังชีวิต โดย ศจ.ธงชัย
ประดับชนานุรัตน์

 

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #273: 24 ธ.ค. 10, 12:03 น

หญิงอัมพาตพบปาฎิหารย์ยืนได้อย่างมหัศจรรย์
หลังร่วมพิธีทางจิตวิญญาณของคริสตศาสนา (ชมคลิปวีดีโอ)
 
วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553 มติชน
 
https://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1292998189&grpid=03&catid=03
 
 
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.ว่า นางเดเลีย น๊อกซ์
ผู้ป่วยอัมพาตนั่งเก้าอี้รถเข็นเป็นเวลากว่า 23 ปี
จากเหตุการณ์ประสบอุบัติเหตุถูกคนขับรถเมาชน ในช่วงวันคริสต์มาส เมื่อปี
1987 พานพบปาฎิหารย์ขึ้นกับตัวเอง
ภายหลังเข้าร่วมเหตุการณ์ด้านจิตวิญญาณขอพรจากพระเจ้า
ในสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ทางคริสต์ศาสนา
ในเมืองโมบิล รัฐอลาบาม่า โดยหลังจากที่นักบวชชาวอังกฤษสวดมนต์ให้แก่เธอ
ปรากฎว่า เธอสามารถลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้รถเข็นได้โดยมีผู้ช่วยพยุงตัวในเบื้องแรก
และสามารถเดินได้เองอย่างเป็นปกติ
 
รายงานระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวถูกบันทึกภาพแพร่ลงในเว็บไซต์ยอดนิยม"ยูทิวบ์"และมีผู้เข้ามาชมแล้วกว่า
2 แสนคน ขณะที่เจ้าตัวบอกว่า เหตุการณ์ดังกล่าวได้พลิกชีวิตของเธอ
เพราะเดี๋ยวนี้เธอสามารถเข้าครัวและเดินรอบบ้านได้
และเธอรู้สึกทึ่งที่ได้เห็นอำนาจของพระเจ้าที่ปรากฎในชีวิตของเธอและทั่วโลก
ที่ทำให้เกิดปาฎิหารย์ขึ้น
 
ดูคลิปวีดีโอ
https://www.youtube.com/watch?v=mpWSptjG8eQ&feature=player_detailpage

 

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #274: 26 ธ.ค. 10, 15:37 น

Subject: เชื่อในส่วนดีอยู่เสมอ โดยรัฐศาสตร์ สร้างถิ่น
 
 
(ความรัก) เชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ -1 โครินธ์ 13:7
 
 
 
ผมเชื่อมั่นว่าเราทุกคนมีเพื่อนจะมากหรือน้อย จะสนิทสนม หรือไม่สนิทสนม
ก็สุดแล้วแต่ แต่เราทุกคนย่อมมีเพื่อน และหลายๆ ครั้ง
เราก็พบว่าเพื่อนบางคนมีอุปนิสัยบางอย่างที่เราเองบ่อยครั้งที่เบื่อและเอือมระอา
แต่เราก็ยังคบหาสมาคมกับเขาอยู่
 
 
 
ปัจจุบัน ในสภาพแวดล้อมที่เรารู้สึกเหมือนกับว่าความรัก และ
มิตรภาพที่เคยมีมาในสังคมเสื่อมทรามลง หลายคนเพียงแค่ผิดใจกันเล็กน้อย
หรือมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ก็เกลียดกันเลิกคบหาสมาคมกัน
โดยลืมไปเลยว่าในอดีตที่ผ่านมา คนๆ นั้น
เราเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาอย่างไร
 
 
 
อ.เปาโล เขียนพระธรรมโครินธ์ "(ความรัก) เชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ" (1
คร.13:7) ความรัก "เชื่อ" ในคนอื่น
มองเห็นความเป็นไปได้ที่อยู่ในตัวของพวกเขา
เชื่อว่าพระเจ้าจะทรงสามารถเปลี่ยนคนที่ไม่น่ารักที่สุด
ไม่คู่ควรที่สุดให้กลายเป็นงานศิลปะชิ้นเอกอันงดงามและทรงคุณค่า
หากความรักจะทำให้ผิดไปบ้าง ก็จะผิดที่มอบความไว้ใจและหวังใจให้มากมาย
 
 
 
ผมขอหนุนใจเราทุกคน อย่าให้ชีวิต ความคิด
ความรู้สึกของเราผันแปรไปตามกระแสสังคมที่เมื่อไม่รักไม่ชอบ
ก็คือความเกลียดชัง การไม่ยอมรับ การเลิกสมาคม
แต่ให้เราดำเนินชีวิตโดยมีความรักของพระเจ้าเป็นที่ตั้ง
ความรักที่เชื่อในส่วนดีของมนุษย์ทุกคนอยู่เสมอ มองคนอื่นๆ
ด้วยสายตาแห่งความรักของพระเจ้า
แล้วเราจะรู้ว่าทุกคนมีส่วนดีที่จะให้เรายังคงรักเขาได้อยู่ตลอดเวลา
 
 
 
ขอพระเจ้าอวยพร
 
 
 
รัฐศาสตร์ สร้างถิ่น
 
คจ.สายธารแห่งชีวิต แบ๊บติสต์
 
1/90 ซอยนาทอง ถ.ประชาสงเคราะห์
 
ดินแดง กรุงเทพฯ 10310
 
โทร 02-2745597

 

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #275: 27 ธ.ค. 10, 20:06 น

เดโบราห์ ผู้นำทาง
 
นางเดโบราห์จึงกล่าวแก่บาราคว่า ลุกขึ้นเถิด
เพราะว่านี่เป็นวันที่พระเจ้าทรงมอบสิเสราในมือของท่าน
พระเจ้าเสด็จนำหน้าท่านไปมิใช่หรือ (ผู้วินิจฉัย 4:14)
 
ผู้นำสตรีในพระคัมภีร์เดิมมีน้อยและอยู่ในยุคที่ห่างกัน
แต่สำหรับเรื่องราวของเดโบหราห์ในหนังสือผู้วินิจฉัยบทที่สี่
ก็มีมากพอให้สตรีทั้งหลายปลื้มใจได้
ฉันแน่ใจว่าเธอน่าจะเป็นหนึ่งในสตรีคนโปรดของพระเจ้า
 
เดโบราห์เป็นผู้เผยพระวจนะสตรี
ที่นำอิสราเอลในช่วงเวลาที่ประชาชนถูกกดขี่โดยกษัตริย์ต่างชาติชาวคานาอัน
ชื่อของเธอแปลว่า ผึ้ง และเธอก็เป็นผึ้งงานที่ทำงานอยู่ตลอดเวลา
เธอเป็นทั้งผู้ให้คำปรึกษา ผู้วินิจฉัยตัดสินคดีความ
และยังเป็นนักรบอีกด้วย สำนักงานของเธอตั้งอตู่ใต้ต้นอินทผลัม
ที่ใครๆก็รู้จักกันในนามของดงอินทผลัมของเดโบราห์
 
วันหนึ่งเดโบราห์ให้คนไปตามบาราค หนึ่งในผู้นำกองทัพอิสราเอลมาพบ
พระเจ้าทรงมีพระบัญชาให้เรียกนักรบผู้กล้าคนนี้ที่มีชื่อแปลว่า สายฟ้า
เมื่อเขามาถึง เธอบอกกับเขาชัดเจนถึงพระบัญชาที่มีมาจากจอมเจ้านายสูงสุดองค์พระผู้เป็นเจ้า
สั่งให้เขาออกไปทำศึกสงคราม (ผู้วินิจฉัย 4:6-7)
 
บาราคไม่กล้าพอที่จะปฏิบัติตามพระบัญชา และพูดออกมาราวกับเป็นเด็กว่า
ถ้าแม้นางไปกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไป ถ้าแม้นางไม่ไปกับข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าก็ไม่ไป (ผู้วินิจฉัย 4:8)
 
ก็ได้ เดโบราห์ตอบ ฉันจะไปกับท่าน
แต่ว่าทางที่ท่านไปนั้นจะไม่นำท่านไปถึงศักดิ์ศรี
เพราะว่าพระเจ้าจะขายสิเสราไว้ในมือของหญิงคนหนึ่ง (ผู้วินิจฉัย 7:9)
(เดโบราห์ไม่ได้หมายถึงตัวเธอเอง
แต่เป็นหญิงอีกคนที่จะเป็นผู้จัดการศัตรูจนได้รับชัยชนะ -ผู้วินิจฉัย
4:17-24) เห็นได้ชัดว่าบาราคไม่ได้วางใจในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า
แต่ยังดึงดันจะให้เดโบราห์สตรีแห่งความเชื่อท่านนี้เดินทางไปสนามรบด้วย
 
เดโบราห์ตำหนิบาราคที่ขาดความเชื่อ
แต่เธอไม่ได้ทำให้เขาอับอายหรือเข้าไปทำหน้าที่แทน
เธอรู้ว่าเขาเป็นนักรบที่ต้องนำกองทัพออกสู่สมรภูมิ
เธอเป็นผู้เผยพระวจนะที่คอยส่งเสริม กระตุ้น และให้กำลังใจ
เดโบราห์ไม่ได้เป็นผู้นำทัไป
แต่ก้าวไปพร้อมกับบาราคเพื่อให้เป้าหมายขององค์พระผู้เป็นเจ้าสำเร็จ
เธอไปกับเขาที่สนามรบ และเมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น
เธอคอยแนะนำและให้กำลังใจ
 
บาราคเองได้รับกำลังใจจากสตรีที่น่าทึ่งท่านนี้
เธอจุดประกายความกล้าเข้าไปในหัวใจที่ขลาดกลัวของเขา
ทำให้เขาทำตามพระบัญชา นำทัพติดตามพระเจ้าเข้าสู่สนามรบได้
เธอบอกให้เขาไม่ต้องสนใจในรถเหล็กร้อยคันของศัตรู
แต่ให้วางใจในพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ
ในวันนั้นพระเจ้าทรงทำให้สิเสราสับสนจนกองทัพอิสราเอลสามารถจัดการกับศัตรูจนได้ชัยชนะ
หลังจากนั้น ทั้งเดโบราห์และบาราคได้ร่วมกันขับร้องบทเพลงเฉลิมฉลองชัยชนะของประเทศ
 
เราเรียนรู้เรื่องใดบ้างจากอำนาจแห่งถ้อยคำของเดโบราห์?
กำลังใจของเธอกระตุ้นให้บาราคเดินหน้าทำตามสิ่งที่พระเจ้าบัญชาได้
เธอไม่เพียงแต่มอบถ้อยคำแห่งกำลังใจ แต่ร่วมเดินทางด้วยกันไปสู่สมรภูมิรบ
ถ้อยคำของเธอไม่เพียงแต่หนุนกำลังให้แก่บาราค
แต่ค่อยเติมเชื้อไฟให้แก่หายนะของศัตรู เธอทำหน้าที่ของเธอครบถ้วน
หนุนกำลัง เสริมและกระตุ้นให้บาราคทำหน้าที่นักรบได้อย่างเต็มกำลัง
เธอไม่ได้พยายามแย่งหน้าที่เพื่อให้ตัวเองโดดเด่น
แต่ทำงานร่วมกับคนอื่นๆเพื่อให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จลงในผู้รับใช้ของพระองค์ทุกคน
 
โดย: Sharon Jaynes
 
Girlfriends in God: www.crosswalk.com
 
 
เราทุกคน ไม่ว่าหญิงหรือชายเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า
เราควรเป็นผู้ที่ให้กำลังใจ หนุนใจ หรือให้คำแนะนำแก่ผู้คนรอบข้างได้
แต่ต้องทำด้วยใจถ่อมสุภาพ ด้วยความรัก และถูกต้องตามกาละเทศะ
เมื่อเราให้กำลังใจผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เราเองก็ทุกข์ใจ
เหมือนพระเจ้าเติมกำลังใจคืนให้เราอย่างนึกไม่ถึงทีเดียว
สรรเสริญพระเจ้า

 

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #276: 29 ธ.ค. 10, 11:48 น


The Spiritual Network เครือข่ายฝ่ายวิญญาณ:
 
โดย ปัทมโรจน์ มากสุริวงศ์ คริสตจักรแห่งพระบัญชา กรุงเทพฯ
 
สวัสดีครับ ผู้อ่านทุกท่าน ตอนนี้ท่านคงกำลัง
Online อยู่ในโลกของเครือข่ายสังคมใน Internet อยู่ คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า
ช่วงนี้กระแสของ The Social Network หรือเครือข่ายสังคมในโลกของ Internet
มาแรงมากๆ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ ต้องเฝ้าหน้าจอ
Computer เพื่อปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆในเครือข่ายสังคม online
จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน
 
ปัจจุบันต้องยอมรับว่า "เฟซบุ๊ค (facebook)"
เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่ว เป็น website เครือข่ายสังคม
online อันดับหนึ่งของโลก มียอดสมาชิกกว่า 500 ล้าน
 
บรรดาสมาชิกจึงใช้เฟซบุ๊คเป็นสื่อกลางในการสร้างและสานความสัมพันธ์ระหว่างกันด้วย
การเข้าไปเขียนบอกเล่าเรื่องราวความรู้สึกนึกคิด
ใช้แลกเปลี่ยนมุมมองความคิด ความเห็นต่อประเด็นปัญหาบ้านเมือง
รวมถึงประสบการณ์ชีวิต ผ่านเรื่องเล่าของแต่ละคน
 
มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ( Mark Zuckerberg
)ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์เฟซบุ๊ค (facebook) ซึ่งนิตยสารไทม์(Times)
ได้เลือกให้เป็นบุคคลแห่งปี ประจำปี 2010
เขากลายเป็นมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์
 
 
อีกบุคคลหนึ่งที่มีอิทธิพลมากที่สุดในปัจจุนของโลกเครือข่ายสังคมออนไลน์
คือ จูเลียน เอสแซงก์(Julian Assange) ผู้ก่อตั้งเว็บอื้อฉาว วิกิลีกส์
(WikiLeaks)
 
เดอะ นิวยอร์กเกอร์(The New
Yorker)นิตยสารชั้นนำของโลกเรียกเว็บไซต์นี้ว่า
"เครือข่ายข้อมูลข่าวกรองประชานิยม" (Populist intelligence network)
นิตยสารไทม์ ยกย่องให้เป็น "นักเปิดโปงสายพันธุ์ใหม่แห่งยุคดิจิตอล"
 
 
นี่คือกระแสเครือข่ายสังคมออนไลน์ทีส่งผลกระทบในโลกปัจจุบัน
ที่มีทั้งผลด้านบวกและลบ ที่ต้องระมัดระวังในการใช้
 
มีผลสำรวจข้อมูลในสหรัฐอเมริกา โดยออกซิเจนมีเดียฯ พบว่า ร้อยละ 34
ของผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 18-34 ปี (1 ใน 3)
จะทำการเข้าไปตรวจหน้าเฟซบุ๊คของตนเป็นอย่างแรก หลังจากตื่นนอนในตอนเช้า
เรียกว่า เข้าเฟซบุ๊คก่อนจะล้างหน้าล้างตา แปรงฟัน หรือทำอื่นใด
ยิ่งกว่านั้น จำนวนกว่าร้อยละ 31 บอกว่า
รู้สึกมั่นใจในตัวตนที่อยู่ในโลกออนไลน์ มากกว่าในชีวิตจริง
 
อย่าลืมว่า... "เฟซบุ๊ค"
ก็แค่เครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา
จะเป็นคุณหรือเป็นโทษ ไม่ได้อยู่ที่เฟซบุ๊ค แต่อยู่ที่ตัวคนผู้ใช้
 
ซิดนีย์ เจ.แฮร์ริส(Sydney J.Harris)นักหนังสือพิมพ์
Chicago Daily News ได้กล่าวไว้ว่า "อันตรายอันแท้จริงมิใช่อยู่ที่
ว่าคอมพิวเตอร์จะเริ่มคิดเหมือนมนุษย์
แต่อยู่ที่ว่ามนุษย์จะเริ่มคิดเหมือนคอมพิวเตอร์"
 
 
มนุษย์นั้นได้ถูกสร้างโดยพระเจ้าตามพระฉายของพระองค์ (ปฐมกาล 1:27)
มีความรู้สึกนึกคิดและมีการสามัคคีธรรมกับพระเจ้า ในโลกของฝ่ายวิญญาณ
รวมถึงพระเจ้าทรงเรียกมนุษย์นั้นให้มีการสามัคคีธรรมกันเป็นชุมชน คือ
คริสตจักร
 
ดังนั้นเราในฐานะของคริสตชน คนของพระเจ้า จึงควรให้ความสำคัญในเรื่อง The
Spiritual Network เครือข่ายฝ่ายวิญญาณ
ต้องมีการสามัคคีธรรมกับพระเจ้าและพี่น้องในพระกายคือ
 
คริสตจักร ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูได้หนุนใจให้ร่วมสามัคคีธรรมเพื่อหนุนใจกัน
(ฮบ.10:25)
 
อย่ามัวเสียเวลามากเกินไปในเครือข่ายสังคมออนไลน์ จนไม่สนใจในเครือข่ายฝ่ายวิญญาณ
 
อย่าเอาแต่เล่นเกมส์ play online แต่จัดเวลา Pray online กับพระเจ้าในนิเวศอธิษฐาน
 
อย่าเอาแต่ Comment ใน Hi5 แต่ไม่ say Hi ทักทาย Holy spirit
สนิทสนมกับพระวิญญาณบริสุทธิ์
 
อย่ามัวแต่ Upload รูป post ขึ้นใน BB BlackBerry แต่ไม่อ่าน BB Bible
 
ผมเชื่อว่าหากคริสตจักรในสมัยแรกมีเครือข่ายทาง
Internet พวกอัครทูตคงใช้ให้เป็นประโยชน์ในการสื่อสารข่าวประเสริฐ
หรือส่งจดหมายหนุนใจกัน ผ่านทาง Email หรือ Chat
กันเพื่ออภิบาลคริสตสมาชิก พวกอัครทูตคงใช้การประชุมทางไกลผ่าน
Teleconference เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องการเข้าสุหนัต ในกจ.15
 
ดังนั้นเมื่อในปัจจุบันมีเครื่อข่ายออนไลน์ที่เป็นประโยชน์ก็ควรจะใช้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์
 
ปัจจุบันหากเราอยากทราบอะไรก็ไป Search หาสอบถามอาจารย์
Guru คือ Google ในโลกของ Internet ก็มีทั้งคุณประโยชน์
แต่ก็อาจจะโทษมหันตื หากใช้อย่างไม่เหมาะสม
 
ใน เครือข่ายฝ่ายวิญญาณก็เช่นเดียวกัน หนุนใจว่าคริสตจักรต่างๆ
น่าจะมาร่วมกันในการรับใช้พระเจ้าเพราะเราเป็นพระกายของพระคริสต์
ในพระธรรมเอเฟซัส 4:11-13
หนุนใจให้เสริมของประทานกันเพื่อทำให้คริสตจักรไปสู่ความไพบูลย์ร่วมกัน
 
หนุนใจว่า เราควรจะสร้างเครือข่ายฝ่ายวิญญาณ
เพื่อสนับสนุนกัน หากมี Facebook เราก็มี Faithbook
หนังสือแห่งความเชื่อร่วมกันคือ พระคริสตธรรมคัมภีร์
เล่มเดียวกันที่เชื่อเหมือนกัน
แม้จะมีความแตกต่าง
บางด้านแต่เป็นความแตกต่างที่เสริมสร้างไม่ใช่แตกต่างและแตกแยกกัน
หากมีเครือข่ายทำงานร่วมกันจะได้รับผลดีมากกว่าทำคนเดียว (ปญจ.4:9-12)
เหมือนเชือกสายเกลียวที่ขาดยาก เพราะศัตรูของเราคือมาร
ที่ขัดขวางงานที่เราทำ มักจะยุยงส่ง Spam mail
ความคิดเหตุผลจอมปลอมทำลายความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของคริสเตียน
หนุนใจพี่น้องในช่วงปีเก่าที่จะผ่านไป
ปีใหม่ที่จะมาถึงนี้
ให้เราใช้เวลาในการแสวงหาพระเจ้าในการอธิษฐานเตรียมชีวิตเพื่อให้พระเจ้าทรง
นำในปี 2011 นี้
มีสิ่งใดบ้างที่เป็นความคิดเก่าๆที่ไม่ดี
ตกค้างในถังขยะความคิด (Recycle bin) ต้องลบทิ้งออกไป ขอพระเจ้าจัดเรียง
Defragment ความคิดใหม่ให้เหมาะสมตามพระทัยพระองค์
เชื่อว่าเมื่อเราแสวงหาพระเจ้าอย่างสุดใจ เราจะมีสิ่งใหม่ที่ Download
มาจากพระเจ้า เมื่อเชื่อมต่อติดชีวิตเราจะเกิดผลมาก (ยน.15:4-5)
ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ
 
อ่านบทความรายละเอียดได้ที่ https://pattamarot.blogspot.com
และอ่านบทความและคำสอนต่างๆของคริสตจักรแห่งพระบัญชา ได้ที่
https://www.uccfellowship.com/

 

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #277: 4 ม.ค. 11, 11:30 น


เรียกความดีว่าชั่วร้าย เรียกความชั่วร้ายว่าดี
 
"วิบัติแก่คนเหล่านั้นที่เรียกความชั่วร้ายว่าความดี
และความดีว่าความชั่วร้าย ผู้ถือเอาว่าความมืดเป็นความสว่าง
และความสว่างเป็นความมืด ผู้ถือเอาว่าความขมเป็นความหวาน
และความหวานเป็นความขม" (อิสยาห์ 5:20)
 
ผู้คนอาจมีความคิดที่บิดเบือนไปเสียจนแยกแยะความดีความชั่วไม่ออก
 
ผมฟังรายการวิทยุในเช้าวันหนึ่ง
ในรายการพูดคุยกันถึงเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ต้องการนำเนื้อเยื่อของทารกที่แท้งออกมา
ไปทำการทดลองวิจัย พวกเขาเล่าว่าเดี๋ยวนี้มีผู้หญิงบางคนตั้งใจให้ท้อง
เพื่อจะทำแท้งทารก แล้วเอาเนื้อเยื่อไปขายให้ทำการวิจัย
ในแวดวงนักวิทยาศาสตร์เองก็ส่งสริมการประชาสัมพันธ์ในเรื่องนี้
พวกเขาอ้างว่า การวิจัยนี้จะดีมีประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ!
แล้วมวลมนุษยชาติที่เริ่มก่อตัวอยู่ในมดลูกล่ะครับ?
 
ผู้คนในทุกวันนี้จะหลอกล่อ กล่อมเกลาความคิดของตัวเอง
จนในที่สุดพวกเขาก็ยอมรับความชั่วด้วยจิตสำนึกว่าเป็นสิ่งที่ดีที่ควรทำ
 
คุณล่ะครับ จุดยืนในเรื่องนี้อยู่ที่ตรงไหน? อะไรคือสิ่งถูก และอะไรคือสิ่งผิด?
 
ใช้เวลาในวันนี้อ่านพระธรรมสดุดี 139
และให้พระเจ้าสำแดงความจริงของพระองค์กับคุณนะครับ
 
โดย: Pastor Adrian Rogers
 
Daily devotional
 
Love worth finding ministries: www.lwf.org
 
 
 
นักวิทยาศาสตร์ต่างชาติทำสิ่งผิด
กล่อมความคิดตัวเองว่านี่คือสิ่งดีมีประโยชน์ต่อมวลมนุษย์
ของไทยเราที่เป็นข่าวอยู่ไม่รู้จะอ้างอย่างไร?
ปฐมกาล 9:6 พระเจ้าเตือนว่า "ผู้ใดฆ่ามนุษย์ให้โลหิตไหล
มนุษย์จะฆ่าผู้นั้นให้โลหิตไหลเหมือนกัน เพราะพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์
ตามพระฉายาของพระองค์" น่ากลัวนะคะ
 
churchofjoy

 

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #278: 5 ม.ค. 11, 11:45 น


คุณทราบหรือไม่ว่าการผ่านบททดสอบสามารถปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคุณได้
 
โดย วราภรณ์ ปรียากร
 
เมื่อเร็วๆ นี้ คุณได้ทำบททดสอบบ้างหรือไม่
ดิฉันหมายถึงแบบทดสอบชีวิตที่ไม่ใช่การทำข้อสอบในโรงเรียน
เราทุกคนล้วนเจอบททดสอบทั้งนั้น
มันเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นคริสเตียนที่อยู่ในโลกที่กำลังล้มลง
บททดสอบมีด้วยกันหลายแบบ เช่น ทดสอบเรื่องการให้อภัย, การไม่ยอมรับ,
การไม่บ่น, บททดสอบเรื่องการชื่นชมยินดีเมื่ออยู่ในการทดลอง,
บททดสอบเรื่องความถ่อมใจ
 
และยังมีบททดสอบอื่นๆ อีก ดิฉันเองได้เผชิญกับการทดสอบบ่อยครั้งในชีวิต
และการผ่านการทดสอบก็เป็นหนทางนำไปสู่การพัฒนาและความเจริญก้าวหน้า
ไม่มีทางเป็นอื่นได้อีก
 
ในพระธรรม 1เปโตร 4:12 กล่าวว่า
...อย่าประหลาดใจที่ท่านต้องได้รับความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสเป็นการลองใจ
เหมือนหนึ่งว่าเหตุการณ์ประหลาดได้เกิดขึ้นกับท่าน
 
เมื่อเราถูกทดสอบเรื่องคุณภาพ เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเราเอง
ความจริงก็คือ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราเชื่ออะไรจนกว่าเราจะอยู่ในการทดสอบ
การตัดสินคนอื่นที่กำลังมีความทุกข์ใจ เป็นเรื่องทีทำได้ง่ายๆ
และเราอาจพูดว่า "ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เขาจะทำอย่างนั้น ถ้าเป็นฉัน
ฉันไม่ทำหรอก"
 
คุณจะไม่รู้เลยว่าคุณจะทำอย่างไรจนกว่าคุณจะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา
และพระเจ้าก็อนุญาตที่จะให้เราอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเพื่อแสดงให้เรารู้ถึงสิ่งที่อยู่ในเรา
พระธรรมยากอบ 1:3 บอกว่า "การทดลองนั้นทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง"
 
การทดสอบและการทดลองเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเราได้ !
 
แต่เราต้องรู้ว่าจะผ่านบททดสอบนี้อย่างไรเพื่อให้เกิดประโยชน์
กุญแจสำหรับเรื่องนี้คือการวัดชีวิตของเราด้วยมาตรฐานที่ถูกต้อง
มาตรฐานของพระเจ้าคือพระวจนะของพระองค์
และพระวจนะก็คือกระจกฝ่ายวิญญาณของเรา
 
ตัวอย่าง : พระเยซูบอกเราให้ยกโทษผู้ที่ทำให้เราเจ็บ ถ้าดิฉันไม่ยกโทษ
ดิฉันก็จะมีรอยตำหนิ ซึ่งดิฉันสามารถมองเห็นได้เมื่อดูที่พระคัมภีร์
 
พระวจนะของพระเจ้านั้นเต็มไปด้วยความรอบรู้และคำแนะนำเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต
แต่สิ่งนี้จะไม่ช่วยเราเลยถ้าเราไม่ทำตามสิ่งที่บอกไว้ในนั้น
เราจำเป็นต้องหยุดการมองพระวจนะอย่างผ่านๆ
แล้วเริ่มนำพระวจนะนั้นมาใช้ในชีวิตของเราจริงๆ ในพระธรรมยากอบ 1:22
บอกให้เราเป็นผู้กระทำตามไม่ใช่เป็นเพียงผู้ฟังอย่างเดียว
 
การใช้เวลาสำรวจและเปรียบเทียบตัวเองกับสิ่งที่บอกไว้ในพระคัมภีร์ถึงการมีชีวิตอยู่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก
บ่อยครั้งที่คนเรามักจะมีความเร่งรีบอยู่ตลอดเวลา
ไม่ได้สนใจว่าจะปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร หลายคนกลายเป็นคนหยาบคาย,
เห็นแก่ตัว, และยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางเพราะในแต่ละวัน
เขาต้องเร่งทำทุกอย่างที่จำเป็นให้เสร็จ
 
เราจำเป็นต้องถามตัวเองว่า
"เรากำลังสำแดงผลของชีวิตคริสเตียนในแต่ละวันไหม"
"คนรอบข้างมองเห็นความเป็นคริสเตียนในตัวเราอย่างชัดเจนไหม"
คุณจะเจอคำตอบนี้ เมื่อคุณสำรวจตัวเองด้วยพระวจนะของพระเจ้า"
 
เวลานี้ คุณกำลังวัดตัวคุณเองกับอะไร - ผู้คน หรือ พระวจนะของพระเจ้า
 
นี่เป็นคำถามที่สำคัญเพราะการเปรียบเทียบตัวคุณเองกับคนอื่นเป็นเรื่องที่อันตราย
และง่ายที่จะทำ
ถ้าดิฉันตัดสินตัวเองว่าทำถูกหรือทำผิดจากการมองดูการกระทำของผู้อื่น
ดิฉันก็สามารถที่จะประนีประนอมกับสิ่งที่พระเจ้ากำลังนำดิฉันให้กระทำ
ตัวอย่างเช่น พระเจ้าอาจใส่ความเชื่อเข้ามาในใจของดิฉันว่าไม่ควรจะไปดูหนัง
แต่มีบางคนที่ดิฉันให้ความนับถือในฐานะผู้เชื่อ
อาจไม่มีความรู้สึกแบบนั้น และถ้าดิฉันตัดสินใจว่าจะไปดูหนัง
เพราะพวกเขาก็ไปกัน ดิฉันก็กำลังตามคนนั้น ไม่ได้ตามพระเจ้า
 
พระเยซูคือมาตรฐานของเรา ไม่ว่าชีวิตของเราจะอยู่ที่ไหน
หรือไม่ว่าเรากำลังเผชิญกับอะไรอยู่
เป้าหมายของเราก็คือการทำในสิ่งที่พระเยซูบอกให้เราทำ
การติดตามพระเยซูจะทำให้ความเชื่อของเราเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
และได้รับการปรับปรุงคุณภาพชีวิต ขอให้คุณมีเป้าหมายนี้เช่นกัน

 

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #279: 6 ม.ค. 11, 16:35 น

 
เกษตรฯหนุนสืบทอดใช้ภูมิปัญหาท้องถิ่นทำนาแบบวิถีคริสต์สร้างสามัคคีในชุมชน
 
หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- พฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน 2553 09:00:46 น.
 
นายศุภชัย โพธิ์สุ รมช.เกษตรและสหกรณ์
เปิดเผยภายหลังร่วมกิจกรรมเกี่ยวข้าวในโครงการทำนาแบบวิถีคริสต์
ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่บ้านคำเกิ้ม อ.เมือง จ.นครพนม ว่า
เป็นกิจกรรมที่ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น
ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องในแผนปฏิบัติการของโรงเรียนบ้านคำเกิ้ม
โดยได้ดำเนินการเป็นปีที่ 2
เพื่อเปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาทั้ง 4 ด้าน ได้แก่
ด้านวิชาการ ด้านงบประมาณ ด้านบริหารงานบุคคล และด้านบริหารทั่วไป
โดยวัดนักบุญยอเซฟบ้านคำเกิ้ม ได้สนับสนุนพื้นที่นาจำนวน 5 ไร่
เพื่อสนับสนุนการดำเนินวิถีชีวิตแบบพอมีพอกินตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
คำนึงถึงความพอประมาณ มีเหตุผล สร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนเอง
ใช้ความรู้และคุณธรรมเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
 
 
 
นายศุภชัย กล่าวต่อไปว่า สำหรับกิจกรรมการทำนาแบบภูมิปัญญา
ได้ใช้ควายไถนา มีการลงแขกดำนาและเกี่ยวข้าว การใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพ
และการนวดข้าวแบบโบราณ โดยใช้ครูภูมิปัญญาในชุมชน
ในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่นักเรียน และผลผลิตที่ได้จากการทำนา
ก็นำมาใช้สนับสนุนโครงการอาหารกลางวันของนักเรียนโรงเรียนบ้านคำเกิ้ม
เพื่อมีข้าวรับประทานตลอดปีการศึกษา
ส่วนที่เหลือก็นำไปขายแล้วนำเงินมาสนับสนุนส่วนที่ขาดแคลนส่วนอื่น
 
"การจัดกิจกรรมทำนาและเกี่ยวข้าวโดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น มีคุณค่ามหาศาล
นอกจากจะเป็นการสืบทอดประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของชาติแล้ว
ยังสร้างความรัก ความสามัคคี ให้แก่คนในชุมชน
ตลอดจนการปลูกฝังให้เยาวชนรุ่นใหม่ได้เห็นคุณค่าและความสำคัญของอาชีพการทำนาด้วย"
นายศุภชัย กล่าว

 
 
 

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #280: 9 ม.ค. 11, 13:35 น


ตัวปลอม
 
"มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า 'พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า'
จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา
ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้" (มัทธิว 7:21)
 
ทราบหรือไม่ว่าคนที่อธิษฐาน รับบัพติศมา รักษาพระบัญญัติสิบประการ
ไปโบสถ์สม่ำเสมอ ไม่จำเป็นต้องเป็นคริสเตียน?
คริสเตียนโดยทั่วไปต้องทำสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว
แต่การทำสิ่งต่างๆเหล่านี้โดยตัวของมันเองไม่ได้แปลว่าคุณเป็นคริสเตียน
 
พระเยซูตรัสว่า "มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า 'พระองค์เจ้าข้า
พระองค์เจ้าข้า' จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์
แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้"
(มัทธิว 7:21)
 
ในโบสถ์จะมีคนประเภทตัวปลอม พวกเขาอาจนั่งข้างๆเรา
ร้องเพลงเดียวกันกับเรา อธิษฐานเหมือนกับเรา
รู้ศัพท์คริสเตียนเป็นอย่างดี ดูยังไงๆก็เหมือนคริสเตียน
แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่
 
เมื่อมีบางสิ่งดีๆเกิดขึ้น คุณแน่ใจได้เลยจะมีของลอกเลียนแบบ
และมารก็เป็นเจ้าพ่อแห่งการลอกเลียนแบบ
พระเยซูทรงเล่าอุปมาเรื่องข้าวสาลีและข้าวละมานที่ชาวนาคนหนึ่งลงแรงปลูกข้าวสาลีไว้
พอตอนกลางคืนพวกศัตรูก็มา และหว่านเมล็ดข้าวละมาน
หรือวัชพืชอื่นๆไว้ลงในแปลงข้าวสาลี
ชาวนาจะไม่มีทางรู้จนพืชนั้นโผล่ยอดขึ้นมาเหนือดิน
และโตจนพอสังเกตุเห็นได้ ที่แย่คือ
พวกข้าววัชพืชเหล่านี้จะดึงเอารากของข้าวสาลีขึ้นมา
ที่พระเยซูตรัสนั้นทรงหมายถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อพระองค์เสด็จกลับมา
จะมีของแท้และของปลอมปรากฎให้เห็น ของปลอมจะยืนเคียงข้างกันกับของแท้
คริสเตียนปลอมจะไม่ค่อยบากบั่นดิ้นรนมากนัก
เพราะคริสเตียนแท้ทุกคนจะมีชีวิตที่บากบั่นดิ้นรน
คริสเตียนทุกคนมีเวลาที่ล้มลง คริสเตียนปลอมจะมีฟอร์ม จะแสร้งทำ
เป็นพวกที่สวมบทบาทการแสดง พวกเขาแสร้งประพฤติตนดียามเมื่ออยู่ในโบสถ์
แต่เป็นคนละคนในชีวิตประจำวันข้างนอกโบสถ์
 
ถ้าคุณเป็นคริสเตียนแท้ มันจะสำแดงออกมาในการดำเนินชีวิตของคุณในแต่ละวันครับ
 
โดย: Pastor Greg Laurie
 
อนุญาตโดย Harvest Ministries with Greg Laurie
 
PO Box 4000, Riverside, CA 92514
 
 
 
เจ้าของลิขสิทธิ์ผลงานต่างๆจะรู้พิษสงของการลอกเลียนแบบเป็นอย่างดี
มนุษย์อาจหลุดรอดไปได้
แต่ในวันสุดท้ายพระเจ้าไม่ปล่อยให้ของปลอมหลุดรอดไปได้แน่นอน
ใครที่ยังทำตัวเป็นของปลอมอยู่ กลับใจเถอะค่ะ ยังไม่สายเกินไป - ขอพระเจ้าเมตตา
 
ChurchofJoy

Tags:
 
Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #281: 19 ม.ค. 11, 10:46 น

บทความ
 
พระเจ้ามองคริสตจักรของพระองค์อย่างไร
 
โดย อ.นิมิต พานิช คริสตจักรแห่งพระบัญชา
 
พระธรรมมัทธิว 16:18 ฝ่ายเราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร {ภาษากรีกว่า
เปโตร} และบนศิลา {ภาษากรีกว่า เปตรา} นี้
เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้
และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้
 
เราเห็นสิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสถึงเปโตร
ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเชื่อที่ถูกต้องอย่างแท้จริง
ที่พระเจ้าจะสร้างคริสตจักรของพระองค์ มี 3
สิ่งด้วยกันที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากพระวจนะของพระเจ้าในวันนี้
 
ประการแรก พระเจ้ามองว่า คริสตจักรเป็นของพระองค์
 
พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า "เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้..."
พระเยซูได้ตรัสไว้อย่างชัดเจนว่าพระเยซูไม่ได้สร้างคริสตจักรโดยเป็นของใครคนใดคนหนึ่ง
พระเจ้ากำลังมองหาคริสตจักรของพระองค์ในวันนี้
เราจะต้องเข้าใจถึงคริสตจักรว่าคริสตจักรนั้นเป็นสิ่งที่พระองค์มองหา
และพระองค์กำลังมองหาคริสตจักรที่ยอมให้พระองค์เป็นเจ้าของคริสตจักร
เราต้องยอมรับความจริงโดยที่ใจเราต้องไม่มีอคติ ไม่ว่าเราจะเป็นใครก็ตาม
 
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่อันตรายมากในการที่เราไม่ได้เข้าใจแผนการของพระเจ้าอย่างแท้จริง
สิ่งหนึ่งที่ผู้รับใช้พระเจ้าจะต้องตระหนักอย่างแท้จริง
และสมาชิกผู้เชื่อจะต้องเข้าใจก็คือ คริสตจักรนั้นเป็นของพระเจ้า
 
ข้าพเจ้าและภรรยามาถึงจุดแห่งความเข้าใจในเรื่องนี้ เมื่อสองปีที่ผ่านมา
เมื่อเราได้มอบคริสตจักรของพระเจ้ากลับคืนแก่พระเจ้า
ข้าพเจ้าชันสูตรใจทุกวันเวลาตั้งแต่เมื่อสองปีที่แล้ว
ที่เมื่อพระเจ้าได้ทรงย้ำเตือนและมาพูดกับเราให้ถวายคริสตจักรกลับคืนแก่พระองค์
ให้พระองค์เป็นเจ้าของคริสตจักรอย่างแท้จริง
เราเป็นเพียงผู้รับใช้ของพระเจ้าที่พระองค์ทรงเรียกมา
การพูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่รักห่วงใย
เมื่อพระเจ้าได้ทรงเรียกเรามาเป็นผู้อารักขา
เราต้องอารักขาทุกสิ่งของพระเจ้าเป็นอย่างดี
เราต้องอารักขาฝูงแกะของพระเจ้าเป็นอย่างดี
 
เมื่อพระเจ้าแต่งตั้งผู้เลี้ยง ผู้เลี้ยงเป็นเหมือนตัวแทน
พระเจ้าให้สิทธิอำนาจแก่ผู้เลี้ยงเพื่อนำแกะไปสู่แผนการของพระองค์
เราในฐานะผู้รับใช้ของพระองค์ เราต้องทำให้ฝูงแกะได้ยินเสียงของพระองค์
แกะทุกตัวที่ได้ยินเสียงของพระเจ้าในวันนี้
บางครั้งเมื่อคนตั้งใจจะไม่เชื่อฟังสิทธิอำนาจของพระเจ้าผ่านทางคริสตจักร
เมื่อคนไม่ตั้งใจที่จะเชื่อฟังผู้นำหรือผู้เลี้ยงที่พระเจ้าได้ทรงโปรดแต่งตั้งขึ้น
เขามักจะอ้างว่า เขาฟังเสียงพระเจ้าเอง เขาจะไม่ฟังเสียงมนุษย์ทั้งสิ้น
ความคิดแบบนี้ หรือความเชื่อแบบนี้ก็ตกขอบและเป็นความเชื่อที่อันตราย
เราจะต้องติดตามผู้เลี้ยงที่ได้ยินเสียงของพระเจ้า
และข้าพเจ้าเชื่อว่าไม่ใช่ผู้เลี้ยงทุกคนที่จะเป็นผู้เลี้ยงของพระเจ้า
พระวจนะก็พูดว่า ไม่ใช่ผู้เลี้ยงทุกคนที่จะเป็นผู้เลี้ยงของพระเจ้า
พระเจ้าได้เตือนใจผู้เลี้ยงไว้ตั้งแต่ในพระคัมภีร์เดิม
ในพระธรรมเอเสเคียล บทที่ 34:2-6 นั้น
พระวจนะได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ต่อว่าผู้เลี้ยง
พระเจ้าไม่เคยบอกว่า
แกะที่พระเจ้ามอบไว้ในมือของผู้เลี้ยงจะกลายเป็นแกะของผู้เลี้ยง
แต่ผู้เลี้ยงต้องรักแกะเหมือนอย่างที่พระเจ้ารัก
 
ผู้เลี้ยงแกะจะต้องยืนกล่าวรายงานต่อพระพักตร์ของพระเจ้า
และเราต้องดูแลแกะด้วยหัวใจขององค์พระเยซูคริสต์ ในวันนี้
พระเจ้ามองหาหัวใจของผู้เลี้ยงแกะ วันนี้หัวใจของผู้เลี้ยงแกะอยู่ที่ไหน
วันนี้หัวใจของผู้เลี้ยงที่พระเจ้ามองหา คือ ท่านหรือไม่
 
ข้าพเจ้าหนุนใจผู้รับใช้พระเจ้าทุกคน ข้าพเจ้าหนุนใจผู้เลี้ยงทุกคน
ข้าพเจ้าหนุนใจทุกคนแม้ท่านจะมีแกะในมือเพียงไม่กี่คน แกะเป็นของพระเจ้า
นี่คือสิ่งที่พระเจ้ามองคริสตจักรของพระองค์ว่าคริสตจักรเป็นของพระองค์
 
ประการที่สอง พระองค์กำลังสร้างคริสตจักรของพระองค์
 
พระเจ้ากำลังสร้างคริสตจักรของพระองค์
เราทั้งหลายจะต้องตระหนักถึงสิ่งที่พระองค์กำลังสร้าง
คริสตจักรนั้นต้องเป็นคริสตจักรที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า
คริสตจักรต้องเป็นคริสตจักรแห่งความบริสุทธิ์ชอบธรรมของพระองค์
 
ข้าพเจ้าเชื่อว่า ผู้รับใช้พระเจ้ามากมายที่มีความจริงใจ
กำลังสร้างคริสตจักรของพระเจ้า
และข้าพเจ้าขอเป็นกำลังใจถึงผู้รับใช้ทุกท่านร่วมกันสร้างคริสตจักรของพระองค์อย่างแท้จริง
คริสตจักรที่พระองค์มีแผนการ
 
เราต้องสร้างคริสตจักรตามแผนการของพระเจ้า
เราต้องสร้างคริสตจักรตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
ไม่ใช่สร้างคริสตจักรที่เป็นอาณาจักรของผู้นำเราไม่ได้สร้างคริสตจักรที่เป็นอาณาจักรขององค์กร
 
เราไม่ได้สร้างคริสตจักรที่เป็นอาณาจักรของใครคนใดคนหนึ่ง
แต่เขาต้องสร้างคริสตจักรตามแผนการและน้ำพระทัยของพระองค์
คริสตจักรจะต้องสร้างด้วยหัวใจของพระ
 
เอเฟซัส 4:11 11 ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต
บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ
บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์
 
 
 
ทำไมพระเจ้าต้องให้ของประทานทั้งห้า เพื่อสร้างคริสตจักรของพระองค์
เพื่อเตรียมธรรมิกชน
เพื่อสร้างคริสตจักรให้จำเริญเติบโตไปสู่ความจำเริญขององค์พระเยซูคริสต์
 
เราจะต้องเชื่อในการขับเคลื่อนของของประทานทั้งห้า
ขอพระเจ้าอวยพรให้คริสตจักรในประเทศไทยนี้เป็นคริสตจักรที่ถูกสร้างขึ้นตามแบบแผนของพระเจ้า
พิมพ์เขียวเป็นมาจากพระองค์ พระเยซูกำลังสร้างคริสตจักรของพระองค์
และพระองค์กำลังมองหาคริสตจักรของพระองค์
 
คริสตจักรที่ถ่อมใจยอมรับความแตกต่าง ยอมรับการทรงเรียก
ยอมรับของประทานของกัน ไม่แข่งขัน ไม่ชิงดีชิงเด่นกัน
ข้าพเจ้าวิงวอนว่าขอพระเจ้าสร้างคริสตจักรอย่างนี้
ผ่านหัวใจของผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ ข้าพเจ้าเชื่อว่า คนที่จริงใจ
คนที่สัตย์ซื่อ คนที่ตายต่อตัวเองอย่างแท้จริง
เขาจะเป็นคนที่สร้างคริสตจักรของพระเยซู
อาจารย์เปาโลนั้นเรียกร้องว่าให้เราตายต่อตนเอง แบกกางเขนตามพระเยซูไป
พระเยซูได้ท้าทายเหล่าสาวกของพระองค์ ผู้ใดที่เอาชนะตนเอง
แบกกางเขนตามพระองค์ไป
 
วันนี้ขอให้ความรักของพระเจ้าเต็มเปี่ยมผู้นำทุกระดับในคริสตจักรของพระองค์ในเช้าวันนี้
ข้าพเจ้าขอวิงวอนพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ได้เพิ่มพูนความรัก
ได้เพิ่มพูนของประทาน ได้เพิ่มพูนความถ่อมใจ
ได้เพิ่มพูนฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ได้เพิ่มพูนความบริสุทธิ์ชอบธรรม
ขอทรงให้คริสตจักรได้เรียนรู้ที่จะร่วมมือกันและกัน
ประสานพระกายกันและกัน เพื่อคริสตจักรจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
เพื่อคริสตจักรนั้นจะนำพระพร
เพื่อคริสตจักรนั้นจะสามารถบังคับบัญชาพระพรของพระเจ้า
เหมือนในพระธรรมสดุดี 133
 
ข้าพเจ้าเรียกร้องศิษยาภิบาล

 

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #282: 21 ม.ค. 11, 10:42 น


มีอะไรที่ยากเกินไปสำหรับพระเจ้าหรือ?
 
9mon 15 ธ.ค. 2010,
 
"มีสิ่งใดที่อัศจรรย์เกินฤทธิ์พระเจ้าจะทำได้ ..." ปฐมกาล 18:14
 
เด็กผู้ชายคนหนึ่งพยายามกลิ้งหินให้ออกไป ขณะที่ผู้เป็นพ่อมองดูอยู่ไกลๆ
เด็กน้อยทั้งหอบทั้งเหนื่อยแต่หินก็ไม่ขยับไปจากที่
 
ผู้เป็นพ่อจึงยิ้มและพูดว่า "ลูกรัก ลูกใช้กำลังที่มีอยู่หมดแล้วหรือ?"
เด็กตอบว่า "ใช่ครับพ่อ ผมใช้แรงที่มีอยู่ทั้งหมดแล้ว" พ่อตอบว่า
"ไม่หรอก ลูกยังไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมดที่ลูกมี
เพราะลูกยังไม่ได้ขอให้พ่อช่วย กำลังของพ่อก็คือกำลังของลูกด้วย"
 
บางครั้งเราปล้ำสู้อยู่กับปัญหา แล้วก็พูดว่า "ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว"
แต่พระบิดาของเราอยากให้เราพูดว่า "ลููกหมดกำลังแล้ว"
และวิ่งเข้าไปหาพระองค์ พระองค์ทรงคอยอยู่
 
ไม่มีปัญหาใดใหญ่เกินกว่าที่พระเยซูจะแก้ได้
 
คุณเชื่อเช่นนั้นหรือเปล่า? ผมหวังว่าคุณเชื่อ
 
คุณมีปัญหาใดใหญ่เกินแก้หรือ? มอบให้พระเยซู พระองค์จัดการได้
 
โดย: Pastor Adrian Rogers
 
Daily devotional
 
Love worth finding ministries: www.lwf.org
 
เคยบอกกับเพื่อนที่ยังไม่เชื่อและมีปัญหาหนักว่าให้ลองทูลขอความช่วยเหลือ
จากพระเจ้าสิ เขาตอบว่า "ไม่มีทางหรอก
ปัญหาของฉันใหญ่เกินกว่าที่พระเจ้าจะช่วยได้"
นี่คือความรู้สึกของคนที่ยังไม่เชื่อในพระเจ้า แต่สำหรับเรา
พระเจ้าตรัสไว้ในพระคัมภีร์ว่า
"เพราะว่าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งพระเจ้าทรงกระทำไม่ได้ " (ลูกา 1:37) ...
เราเองเชื่อเช่นนี้หรือไม่? - ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ
 
ChurchofJoy

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #283: 22 ม.ค. 11, 10:38 น

ความพอใจ
 
หนึ่งในสิ่งฉลาดที่สุดที่ผมเคยอ่านเจอเป็นข้อเขียนของนักปรัชญาท่านหนึ่งที่พูดว่า
"สำหรับคนที่สิ่งเล็กน้อยก็ไม่เพียงพอ ก็จะไม่มีอะไรพอเพียงเลย"
ถ้าคุณยังไม่ได้เรียนรู้ที่จะมีความพอใจในฐานะที่คุณเป็นอยู่
คุณก็จะไม่มีความพอใจในเรื่องอื่นใดได้เลย
 
อ.เปาโลได้ให้แบบอย่างแก่เราไว้เมื่อท่านกล่าวว่า
"ข้าพเจ้าไม่ได้บ่นถึงเรื่องความขัดสน เพราะข้าพเจ้าจะมีฐานะอย่างไรก็ตาม
ข้าพเจ้าก็เรียนรู้แล้วที่จะพอใจอยู่อย่างนั้น
ข้าพเจ้ารู้จักที่จะเผชิญกับความตกต่ำ
และรู้จักที่จะเผชิญกับความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าในกรณีใดๆ
ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับที่จะเผชิญกับความอิ่มท้องและความอดอยาก
ความสมบูรณ์พูนสุข และความขัดสน" (ฟีลิปปี 4:11-12)
 
1ทิโมธี 6:8 ท้าทายเราว่า "แต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้า
ก็ให้เราพอใจด้วยของเหล่านั้นเถิด"
 
พระเยซูทรงอธิษฐานว่า
"ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในกาลวันนี้" (มัทธิว
6:11)
 
ผมเองรู้ว่าผมต้องการสิ่งใด และรู้ด้วยว่าคุณต้องการสิ่งใด
ผมต้องการมีเพียงพอจนไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงพระเจ้า
ผมต้องการมีเงินในธนาคารมากพอที่จะมีใช้จ่ายในวันพรุ่งนี้
และไม่ต้องกังวลไปกับมัน นี่คือสิ่งที่พวกเราทุกคนต้องการ ใช่หรือไม่?
เราเรียกสิ่งนี้ว่า "ความมั่นคง"
 
คำถาม: ใช่ความมั่นคงแน่จริงหรือ? ใครกันแน่ที่มั่นคงกว่า -
ชายคนที่มีโกดังเต็มไปด้วยขนมปังเหม็นเน่า ที่มีทั้งหนูมาแทะกิน
หรือมีขโมยเข้ามาลักไปได้
หรือชายที่มีบิดาที่เป็นเจ้าของโรงงานขนมปังที่ร่ำรวยที่สุด?
 
โดย : Pastor Adrian Rogers
 
Daily treasure
 
Love worth finding ministries: www.lwf.org
 
 
พวกเรามักมีความกังวลว่าจะไม่มีเงินในกระเป๋า ไม่มีอาหารบนโต๊ะ
ไม่มีค่าเล่าเรียนลูก ค่ารักษาพยาบาล ฯลฯ
จึงยากที่จะนำความกังวลนี้มามอบวางไว้ที่พระเจ้ได้
แต่หลายครั้งในพระวจนะ พระองค์ก็บอกให้เราละความกระวนกระวาย
มาวางใจในพระองค์แทน คงเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝน
และพึ่งพิงพระองค์วันต่อวันทีเดียว
 
อธิษฐานขอการปกป้องไปถึงทุกคนที่ต้องเดินทางไกลไปต่างจังหวัด
ในช่วงวันหยุดยาวนี้ - ขอพระเจ้าอวยพระพรค่ะ

 
 
 

 
--------------------------------------------------------------------------------

 © 2007 ARiP. All Rights Reserved. 

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #284: 23 ม.ค. 11, 13:14 น

ดำเนินชีวิตด้วยความรอบคอบ และด้วยคำอธิษฐาน
 
"มีใครในพวกท่านโดยความกระวนกระวาย
อาจต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ?" (มัทธิว 6:27)
 
ความกระวนกระวายไม่อาจต่อชีวิตให้ยืนยาวต่อไปได้
มีแต่จะทำให้คุณไม่สบายใจยิ่งขึ้น
ที่จริงความกระวนกระวายอาจทำให้ชีวิตคุณสั้นลง - หรืออาจทำให้ยากขึ้น
นอกจากลุ่มหลงกับรูปกายภายนอกแล้ว
วัฒนธรรมของเรายังหมกมุ่นกับการยื้อชีวิตให้ยืนยาว
เราออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ กินอาหารถูกสุขลักษณะ
กินวิตามินและอาหารเสริม
ตรวจสุขภาพเพื่อให้แน่ใจว่าชีวิตอาจยาวออกไปได้อีกหลายปี
 
ผมไม่ได้คิดในแง่ต่อต้านนะครับ ผมคิดว่าการดูแลร่างกายเป็นสิ่งที่ดี
เพราะเราต่างก็อยากอยู่ให้นาน และด้วยสุขภาพที่ดีเท่าที่ทำได้
แต่พระเยซูตรัสว่า "ใครในพวกท่านโดยความกระวนกระวาย
อาจต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ?" (มัทธิว 6:27) คำภาษากรีก
"ศอก" หมายถึง "ระยะเวลายาวของชีวิต" สิ่งที่พระเยซูตรัสคือ
"ใครในพวกท่าน โดยความกระวนกระวาย
สามารถต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกได้หรือ?"คำตอบคือ-ไม่มีใคร
 
มีสถานที่หลายแห่งที่ช่วยคุณดูแลสุขภาพกาย
และคุณเองก็ไม่ควรละเลยในเรื่องนี้ แต่ถ้าคุณมัวแต่เน้นเรื่องทางกาย
และละเลยเรื่องวิญญาณ หรือเน้นแต่เรื่องจิตวิญญาณจนละเลยเรื่องทางกายไป
อย่าลืมว่า พระเจ้าใส่วิญญาณเข้าไปในร่างกายคุณ ดูแลกันด้วยนะครับ
 
ดังนั้น ให้เข้าใจเถิดว่าคุณจะมีชีวิตอยู่ได้ตามที่พระเจ้ากำหนด
ไม่มากไม่น้อยกว่านั้น คุณไม่ได้กำหนดวันเกิดของคุณเอง
และคุณก็ไม่ได้กำหนดวันตายเองด้วย
แต่ในระหว่างที่มีชีวิตอยู่คุณสามารถเลือกที่ทำสิ่งต่างๆได้
นี่คือสิ่งที่สดุดี 90:12 กล่าวไว้
 
"ขอพระองค์ทรงสอนให้นับวันของข้าพระองค์
เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะมีจิตใจที่มีปัญญา"
 
จงดำเนินชีวิตด้วยความรอบคอบ ด้วยการอธิษฐาน
และตระหนักว่าความวิตกและความกระวนกระวายไม่อาจต่อชีวิตคุณให้ยืนยาวออกไปได้ครับ
 
Pastor Greg Laurie
 
อนุญาตโดย Harvest Ministries with Greg Laurie
 
PO Box 4000, Riverside, CA 92514
 
 
ปีที่กำลังจะผ่านไปเราอาจใส่ใจเรื่องอื่นๆมากมาย แต่ลืมใส่ใจเรื่องวิญญาณ
ขอให้ปีใหม่ที่จะมาถึงนี้
ให้เราดูแลจิตวิญญาณให้ตรงต่อจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า
พระองค์เฝ้ารออยู่ค่ะ
 
ขอให้ทุกคนมีความสุข
และมีสันติสุขขององค์พระผู้เป็นเจ้าติดตามไปทุกหนแห่งในปีใหม่ที่จะมาถึงนี้
- พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยค่ะ
 
 
ChurchofJoy.net

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #285: 26 ม.ค. 11, 14:18 น

เมื่อคนอื่นปฏิเสธคุณ
 
9mon 9 ม.ค. 2011, 20:19 -
 
ฝ่ายพระเยซูจึงเสด็จเข้าเมืองเยรีโคและกำลังจะทรงผ่านไป ดูเถิด
มีชายคนหนึ่งชื่อศักเคียส เป็นนายด่านภาษีและเป็นคนมั่งมี
ศักเคียสพยายามจะดูให้เห็นพระเยซูว่า
พระองค์เป็นผู้ใดแต่ดูไม่เห็นเพราะคนแน่น ด้วยเขาเป็นคนเตี้ย
เขาจึงวิ่งไปข้างหน้าขึ้นต้นมะเดื่อ
เพื่อจะได้เห็นพระองค์เพราะว่าพระองค์จะเสด็จไปทางนั้น
เมื่อพระเยซูเสด็จมาถึงที่นั่น
พระองค์ทรงแหงนพระพักตร์ดูศักเคียสแล้วตรัสแก่เขาว่า "ศักเคียสเอ๋ย
จงรีบลงมา เพราะว่าเราจะต้องพักอยู่ในตึกของท่านวันนี้"
แล้วเขาก็รีบลงมาต้อนรับพระองค์ด้วยความปรีดี (ลูกา 19:1-6)
 
สิ่งหนึ่งที่ผมชอบเวลาไปเยือนแผ่นดินอิสราเอลคือไปที่เมืองเยริโค
ไปดูต้นมะเดื่อโบราณ
ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าต้นมะเดื่อต้นไหนกันที่ศักเคียสปีนขึ้นไปดูพระเยซู
 
สำหรับคนส่วนมากแล้ว ในสมัยนั้น ศักเคียสเป็นตัวปัญหาน่ารำคาญ
คนเก็บภาษีชาวยิวเป็นเหมือนพวกทรยศหักหลัง ร่ำรวยจากการทำงานให้พวกโรมัน
โดยบีบบังคับจากคนในชาติเดียวกัน ไม่มีใครอยากเกี่ยวข้องด้วย
 
ไม่มีใครเลย เว้นแต่พระเยซู...
 
เมื่อฝูงชนเริ่มแน่นหนา ศักเคียสจึงถูกไล่ไปให้พ้นทาง
เขาจึงตัดสินใจค่อยๆไต่ขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อมองหาพระเยซู
พอพระเยซูเสด็จมาถึง
ด้วยความประหลาดใจที่สุดสำหรับชายตัวเล็กที่ไม่มีใครเอาคนนี้ พระเยซูหยุด
เงยหน้าขึ้นไป และเรียกชื่อเขา ศักเคียสคงคิดว่า
"พระองค์รู้จักชื่อเราด้วยหรือนี่?"
 
นี่คือความมหัศจรรย์ขององค์พระเยซูคริสต์ ใช่หรือไม่?
พระเจ้าทรงรู้จักคุณ และทรงรู้จักผม
ทรงรู้จักผมของคุณและทรงนับไว้แล้วทุกเส้น
 
ไม่ว่าคุณเป็นใคร เคยทำอะไรมา สหายเลิศที่คุณมีได้คือองค์พระเยซูคริสต์
พระองค์ทรงรักคุณมาก มากจนยอมตายบนกางเขนเพื่อคุณ
ดังนั้นขอให้ใช้เวลาทุกวันกับพระองค์ในคำอธิษฐาน และในพระวจนะคำ
 
เมื่อคนอื่นปฏิเสธคุณ พระเยซูยอมรับคุณ ดังนั้นจงเข้าใกล้พระองค์ทุกๆวัน
 
อนุญาตโดย: Pastor Jack Graham

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #286: 29 ม.ค. 11, 11:44 น

อย่าประหลาดใจที่ข่าวประเสริฐถูกต่อต้าน
9mon 10 ม.ค. 2011,
 
เมื่ออะไรๆดูแย่ไปหมด ขอให้พูดว่า "โอ้ นี่ดีมากๆ
เพราะเป็นสิ่งที่พระเยซูตรัสเอาไว้แล้วว่ามันจะเกิดขึ้น"
 
และเมื่อความมืดคืบคลานเข้ามา
ให้เราสามารถพูดได้ว่าความมืดที่น่าพิศวงนี้กำลังจะเกิดขึ้น
และเป็นไปตามที่พระคัมภีร์เคยพยากรณ์ไว้ทุกประการ
อย่ามีแนวคิดว่าถ้าพระเยซูนำชัยชนะของพระองค์มาเปิดเผย นำความบริสุทธิ์
งดงาม สติปัญญา และความรัก มาประกาศให้ผู้คนรู้ แล้วผู้คนจะทรุดตัวลง
ยอมจำนนหมดสิ้น และเข้ามาหาพระองค์ ถ้าคุณเชื่อเช่นนั้น
คุณก็มีความคาดหวังที่ผิด และในที่สุดก็ผิดหวัง...
 
บางทีคุณไปประกาศข่าวประเสริฐกับเพื่อนบ้าน หรือคนอื่นๆ
และคุณคิดว่าสิ่งที่ต้องทำคือสอนเรื่องหนทางสู่ความรอดที่ชัดเจน
คนที่ฟังจะมารับเอาพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด
อย่าไปคาดหวังนะครับว่าทุกคนจะรับฟังเรื่องราวข่าวประเสริฐ
เพราะพวกเขาจะไม่ฟัง แต่ไม่ได้หมายความว่าข่าวประเสริฐนั้นหมดความหมาย
 
โดย: Pastor Adrian Rogers
 
Daily treasure from the Words
 
Love worth finding ministries: www.lwf.org
 
 
ขอบคุณพระเจ้าที่ ผู้จัดการออนไลน์ ฉบับ 7
มกราคมนำบทสัมภาษณ์คำพยานของคุณโบ - สุรัตนาวี ลงอย่างละเอียด
ถึงแม้จะถูกต่อต้านด้วยความไม่เข้าใจ
แต่นี่คือยุคสุดท้ายที่เราต้องประกาศพระนามพระเยซูออกไป
เพื่อดวงจิตวิญญาณมากมายจะได้รับความรอด
อธิษฐานให้พระเจ้าเปิดตาใจฝ่ายวิญญาณของผู้อ่านทุกท่าน นำการกลับใจ
และความรอดฝ่ายวิญญาณไปถึงพวกเขาค่ะ ฝากอธิษฐานเผื่อคุณโบด้วยนะคะ
 
ChurchofJoy.net

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #287: 22 ก.พ. 11, 10:32 น

 
ถ้าเพียงแต่ฉัน...
 
พระเจ้าทรงปรากฏแก่เขาจากที่ไกล ตรัสว่า
'เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์
เพราะฉะนั้นเราจึงมีความรักมั่นคงต่อเจ้าสืบไป (เยเรมีย์ 3:13)
 
ขณะที่ฉันกำลังโตเป็นสาว ลูกพี่ลูกน้องของฉัน ชื่อธีอา
เป็นต้นแบบของทุกสิ่งที่ฉันคิดว่าสาวน้อยควรจะเป็น สูง หุ่นดี
ใส่เสื้อผ้าล้ำสมัย ทำผมทุกวัน
เท่าที่จำได้แทบไม่มีสักเส้นที่กระดิกออกมา เธอเรียนได้คะแนนดี
ห้องนอนก็สะอาดเป็นระเบียบ ดูสวยสง่า ท่าเดินราวกับลอยอยู่บนปุยเมฆ
เธอเหมือนกับเจ้าหญิง ดูมีคุณค่าและคู่ควรกับความงามทั้งสิ้น
 
ตัวฉัน ตรงข้ามโดยสิ้นเชิง โตขึ้นมาไม่เพียงแต่ตัวเตี้ยเท่านั้น
ยังกลมๆหนาๆอีกด้วย ที่บ้านไม่มีเงินพอจะซื้อเสื้อผ้าสวยๆให้ใส่
ไม่ต้องพูดถึงทันสมัยหรอก ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงราวกับไม่เคยเจอหวี
การเรียนก็ธรรมดา และไม่ชอบทำความสะอาดห้อง ฉันไม่ได้ลอยอยู่บนปุยเมฆ
มีแต่ซุ่มซ่ามเดินสะดุดล้มเป็นประจำ แม้กระทั่งในชีวิตจริง
ฉันโตขึ้นด้วยความคิดว่าคุณค่า ความงามสง่าเป็นเรื่องไกลตัว
และแน่ใจตลอดเวลาว่าจะเป็นที่ขายหน้าและผิดหวังของครอบครัว
 
ฉันชอบฝันเฟื่องว่าตัวเองเป็นเหมือนธีอา บางทีก็พยายามเลียนแบบเธอ
พยายามวางท่าให้ดูสวยสง่าเพื่อจะเอาใจพ่อแม่
ด้วยความหวังว่าวันหนึ่งพวกเขาจะเห็นคุณค่าและรักฉัน
และไม่เห็นฉันเป็นที่อับอาย และผิดหวังของครอบครัวอีกต่อไป
 
มันน่าเศร้าที่ฉันใช้เวลาไปหลายปีเพื่อฝึกให้ตัวเองเป็นเจ้าหญิง
และอีกหลายปีที่จะหยุดการดำเนินชีวิตในแบบ "ถ้าเพียงแต่ฉัน..."
ด้วยความจริงในใจ ฉันมาตระหนักได้ว่ามันไม่เกี่ยวกับเสื้อผ้า
ไม่เกี่ยวกับทรงผม แต่เป็นเรื่องของจิตใจที่เปลี่ยนไปจนงดงาม
 
เราต้องฝึกฝนการละวางคำว่า "ถ้าเพียงแต่ฉัน..." ให้ได้ในแต่ละวัน
จะทำได้เมื่อทำตามคำเตือนสอนในเอเฟซัส 5:1
"เหตุฉะนั้นท่านจงเลียนแบบของพระเจ้า ให้สมกับเป็นบุตรที่รัก"
 
เห็นหรือไม่? ฉันลอกเลียนแบบผิดคน
ศูนย์รวมความสนใจทั้งหมดของฉันควรมุ่งไปให้เป็นเหมือนพระบิดาที่บนสวรรค์
ไม่ใช่มนุษย์คนไหน เป็นหน้าที่ๆสำคัญของผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ทุกคน
คือต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้เป็นเหมือนต้นแบบของเรา
คือองค์พระผู้เป็นเจ้า
 
มันง่ายมากที่เราจะหลงไหลไปกับแฟชั่น แนวคิดเรื่องความสำเร็จ
และคุณค่าของตัวเรา เราเห็นความสวยสง่าจากภายนอก
เราก็คิดว่านั่นแหละคือความสำเร็จ
แล้วเราก็ติดกับความต้องการอยากเป็นเช่นนั้นบ้าง
เราหลอกตัวเองว่าชีวิตคงจะดีขึ้นถ้า "ถ้าเพียงแต่ฉัน..."
ความจริงคือเราจะเป็นคนสวยงามของพระเจ้าได้ ถ้าเรานำพระวจนะจาก 1โครินธ์
11:1 มาปฏิบัติ "ท่านทั้งหลายก็จงปฏิบัติตามอย่างข้าพเจ้า
เหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าปฏิบัติตามอย่างพระคริสต์"
 
ถึงแม้ขั้นตอนมันไม่ง่าย
เราไม่ได้ถูกสร้างมาให้รูปกายภายนอกดูดีเป็นที่ดึงดูดใจ
เราถูกสร้างมาให้ดำเนินชีวิตที่มีคุณค่าสมกับการทรงเลือกและเรียกให้มาสะท้อนความงามขององค์พระเยซูคริสต์ให้โลกนี้ประจักษ์
และเมื่อเราเชื่อฟังทำตาม
ชีวิตเราจะดึงดูดคนอื่นๆมาถึงความรอดในองค์พระเยซูคริสต์
ซึ่งเป็นสิ่งถาวรยิ่งกว่าการได้เป็น "ถ้าเพียงแต่ฉัน..."
 
ธีอาไม่ได้เป็นต้นแบบของฉันอีกต่อไป - องค์พระเยซูคริสต์ต่างหาก
ที่เราทั้งหลายต้องเปลี่ยนไป ให้เป็นเหมือนพระองค์
 
โดย: Zoe Elmore
 
Encouragement for today: www.crosswalk.com
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เมื่อเรารับเอาองค์พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด
เราก็ได้รับสิทธิเป็นลูกของพระบิดา จอมกษัตริย์เหนือกษัตริย์
เราจึงเป็นยิ่งกว่าเจ้าหญิง เจ้าชายในอาณาจักรของพระองค์
รูปกายภายนอกเป็นของชั่วคราว
แต่ความงามจากภายในที่สะท้อนออกไปนั้นเป็นชีวิตที่ถวายเกียรติพระเจ้า
ดังนั้นให้เราระมัดระวังการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน
เพราะผู้คนจะเห็นพระเจ้าในตัวเราค่ะ อย่าให้เห็นเป็นอื่น
 
สนใจซื้อ ซีดีเพลง Soul Food 2 โดยคุณบอย โกสิยะพงษ์ ได้ที่
คริสตจักรแห่งความสุข ราคาแผ่นละ 70 บาท รายได้สมทบทุนพันธกิจ Soul Food
Ministry - www.soulfoodministry.tv - ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

 

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #288: 24 ก.พ. 11, 10:57 น

Subject: ควันหลงวาเลนไทน์ โดย รัฐศาสตร์ สร้างถิ่น
 
 
*โ**รม 8:39
** "หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งอื่นใดๆที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น
จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้า
ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้"*
 
* *
 
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ วันวาเลนไทน์ หรือที่คนทั่วไปเรียกวันนี้ว่า "
วันแห่งความรัก" สัญลักษณ์หนึ่งที่แสดงออกถึงการแบ่งปันความรัก หรือ
แสดงถึงความรักซึ่งกันและกัน คือ การมอบดอกกุหลาบ หรือ
ของขวัญซึ่งแสดงถึงความรัก
 
 
 
ในเฟสบุ๊คและในทวีตเตอร์ของผม ผมได้เห็นข้อความที่เพื่อนในเฟสบุ๊ค และ
ทวีตเตอร์
บ่นน้อยเนื้อต่ำใจที่ไม่มีใครมอบดอกไม้หรือของขวัญให้เขาเหล่านั้นเลย หรือ
แม้นกระทั่ง เขาเหล่านั้นไม่มีคนที่เขาจะรัก และมอบของขวัญให้
ผมคิดว่าความรักที่คนเหล่านั้นพูดถึงหรือมีความหมายถึงน่าจะเป็นความรักหนุ่มสาว
ซึ่งเขาลืมไปว่าอันที่จริงเขามอบดอกไม้และของขวัญให้พ่อแม่ พี่น้อง ของเขาก็ได้
 
 
 
พระคัมภีร์ได้พูดถึงความรักใน 2 รูปแบบ คือ ความรักของโลก และ
ความรักของพระเจ้า ความรักของโลกเป็นความรักที่มีวันจืดจางลงและเยือกเย็นลง
(มธ 24:12) ขณะที่ความรักของพระเจ้าเป็นความรักที่มั่นคง (สดด 145:8)
มากยิ่งไปกว่านั้น
ด้วยความรักของพระเจ้าผ่านองค์พระเยซูคริสต์,ที่ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคริสตชนผู้ที่เชื่อในพระเจ้า,
ก็จะไม่มีวันห่างหายไปจากชีวิตของเรา
 
 
 
ดังนั้น ในวันวาเลนไทน์ (วันแห่งความรัก) และในทุกๆ วัน
หากเรารู้สึกว่าเรายังไม่มีคนที่รักเรา หรือ คนที่จะให้เรารักนอกจากพ่อแม่
พี่น้องของเราแล้ว ให้เราทุ่มเทใจของเราในการที่จะรักพระเจ้า
และรู้ไว้เสมอว่าเรามีพระเจ้าซึ่งรักเรามากมาย
และเป็นความรักที่ไม่มีวันจืดจางอีกด้วย *อย่าเศร้าไปเลยนะครับ*
 
 
 
ขอพระเจ้าอวยพระพรทุกท่าน
 
 
 
รัฐศาสตร์ สร้างถิ่น
 
คจ.สายธารแห่งชีวิต แบ๊บติสต์
 
1/90 ซอยนาทอง ถ.ประชาสงเคราะห์
 
ดินแดง กทม. 10310 โทร. 02-2745597


Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #289: 3 มี.ค. 11, 10:37 น

เด็กชายเยซูกับการศึกษา

 
เมื่อเด็กชายเยซู (พระเยซู) อายุได้ 12 ปี
มีโอกาสได้เดินทางจากบ้านที่นาซาเร็ธลงไปทิศใต้ไปยังพระวิหารในกรุงเยรูซาเลมร่วมเทศกาลเลี้ยงฉลองตามประเพณี
ในระหว่างนั้นมีผู้คนมากมายจากทั่วทุกสารทิศ
ครอบครัวของพระเยซูพลัดกับพระองค์และเข้าใจว่าพระองค์คงจะอยู่กับญาติพี่น้องคนอื่นของครอบครัว
เมื่อเทศกาลจบลงแล้ว ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน
แต่พระเยซูยังคงอยู่ที่พระวิหารในกรุงเยรูซาเลมนั้นเอง
ระหว่างทางเมื่อครอบครัวยังหาพระองค์ไม่พบ
จึงกลับมาตามหาและพบกับพระองค์ที่พระวิหาร พระองค์กำลังโต้ตอบ
พูดคุยกับครูอาจารย์ผู้รู้ทั้งหลาย
พระองค์ทรงฟังคำสอนและคำอธิบายพระคัมภีร์
และถามปัญหาต่างๆที่พระองค์อยากรู้จากพระคัมภีร์
ที่พระองค์เรียนมาจากธรรมศาลาที่นาซาเร็ธ
บรรดาครูต่างก็ชื่นชมและชอบใจในสติปัญญาของพระองค์
หลังจากนั้นบิดามารดาก็พาพระองค์กลับบ้าน
 
ERIC แหล่งข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาที่นักการศึกษาคุ้นเคย
ได้ตั้งคำถามที่น่าสนใจว่า
เด็กๆควรได้รับการศึกษาอย่างไรเพื่อพัฒนาการระยะยาวของเด็กนักเรียน
จากงานวิจัยได้คำตอบแบบเดียวกับที่เด็กชายเยซูศึกษาในพระวิหาร
คือการเรียนแบบมีการโต้ตอบหรือปฏิสัมพันธ์สามารถช่วยได้มากกว่าการเรียนที่เน้นการวัดผล
นักการศึกษาทั่วโลกมีความสามารถที่จะตอบโจทย์นี้ได้ และถ้าจะตอบ
กระทรวงศึกษาธิการของทุกประเทศก็ตอบได้หมด ปัญหาอยู่ที่ว่าจะทำหรือไม่
เพราะมีเงื่อนไขทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เข้าแทรกแซง เช่น
ประเทศที่มีลักษณะชาตินิยมต้องการผลิตนักเรียนให้มีลักษณะน่าพึงประสงค์ตามความคาดหวังสังคมนั้น
ประเทศเผด็จการอยากได้เด็กที่เชื่อฟังผู้นำมากกว่าความสามารถเรื่องการสร้างสรรค์
ประเทศทุนนิยมต้องการเด็กนักเรียนที่ทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศสูงขึ้นหรือพูดอีกอย่างก็คือหาเงินเก่ง
และประเทศที่เป็นทั้งชาตินิยม เผด็จการ
และทุนนิยมรวมกันยิ่งไม่ต้องคิดเลยว่าเด็กจะเป็นอย่างไร ลักษณะประจำชาติ
การเชื่อฟังผู้นำและความมั่งคั่งต้องมาเหนือสิ่งอื่นใด
 
ทุกวันนี้เด็กนักเรียนเติบโตขึ้นในบรรยากาศของโลกที่ไร้พรมแดน
สามารถหาความรู้ทุกอย่างที่ต้องการผ่านทางช่องทางต่างๆ
ทั้งการศึกษาในระบบโรงเรียน และการศึกษานอกระบบ เช่น อินเทอร์เน็ต
หรือการศึกษาทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม
ทั้งหมดนี้เป็นทั้งโอกาสและเป็นภัยคุกคาม
ระบบโรงเรียนนั้นสามารถช่วยให้นักเรียนพัฒนาตนเองได้และอาจทำให้นักเรียนสนใจแต่หาเงินจนลืมสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตได้เช่นกัน
ระบบโรงเรียนมีข้อเสียอีกประการหนึ่งด้วย
คือโรงเรียนเน้นการเรียนรู้ที่มุ่งแต่ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่วัดได้
มีมาตรฐานต่างๆและกฎเกณฑ์มากมายจนไม่มีพื้นที่ให้กับความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน
เพราะความสัมพันธ์วัดไม่ได้
โลกอินเทอร์เน็ตทำให้นักเรียนเลือกเรียนรู้ทุกเรื่องอย่างมีอิสระ
ในเวลาเดียวกันนักเรียนจำนวนหนึ่งไม่สามารถสื่อสารกับคนจริงๆได้
เพราะมีความสามารถสื่อสารได้แต่กับสิ่งที่อยู่ในโลกเสมือนจริง
แล้วมีทางไหนบ้างที่นักเรียนจะมีโอกาสเรียนรู้
พูดคุยสนทนากับผู้รู้อย่างออกรสชาติเพื่อให้ศักยภาพที่ฝังอยู่ในตัวของเด็กได้แสดงออกมาอย่างเต็มที่
ในกรณีของเด็กชายเยซูก็คือที่พระวิหาร ในสถานการณ์ปัจจุบัน
สถานที่ดีที่สุดก็คือที่คริสตจักร
แล้วในคริสตจักรยังคงมีการเรียนการสอนเหมือนสมัยพระเยซูอยู่หรือไม่?
ถ้าไม่มี คริสตจักรต้องกลับมาทบทวนและสร้างบรรยากาศของการพูดคุย
สนทนาธรรมให้เกิดขึ้น
ผู้มีความรู้ด้านอื่นๆต้องเปิดโอกาสและสร้างบรรยากาศให้เด็กๆในคริสตจักรหรือในบ้านของท่านได้คุยกับท่าน
การพูดคุยกันก็เพื่อความรู้ เพื่อปัญญาและเพื่อพัฒนาการของเด็ก
 
จากชีวิตของพระเยซู เราพบว่าพระองค์ทรงเป็นบุคคลในดวงใจของคนทั่วโลก
เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยไม่เพียงแค่คนอิสราเอลซึ่งเป็นที่เกิดของพระองค์เท่านั้น
แต่ทรงห่วงใยคนต่างชาติด้วย พระองค์ไม่เพียงทรงห่วงใยผู้ถูกกดขี่
แต่พระองค์ทรงห่วงใยผู้ที่กดขี่ข่มเหงพระองค์ด้วย
พระองค์ไม่เพียงห่วงใยคนยากจนที่พระองค์เองยากจนยิ่งกว่าบรรดาคนยากจนเหล่านี้
แต่พระองค์ยังห่วงใยคนร่ำรวยด้วยเช่นกัน
พระองค์ไม่เพียงห่วงใยคนที่ต่ำต้อยและสังคมเหยียดหยาม
แต่พระองค์ทรงห่วงใยคนชั้นสูงเช่นกัน
พระองค์ไม่เพียงห่วงใยคนเจ็บไข้ได้ป่วย
แต่พระองค์ยังทรงห่วงใยคนที่สุขภาพดีเช่นกัน สรุปคือ
พระองค์ทรงห่วงใยทุกกลุ่มทุกชนชั้นในสังคม
พื้นฐานการเข้าถึงทุกคนของพระองค์ก็คือการได้เข้าไปสัมผัสกับชีวิตของคนทุกกลุ่มและเข้าถึงชีวิตส่วนตัวของคนเหล่านั้นด้วย
นี่แหละคือการศึกษาที่นักเรียนสมัยนี้ต้องการ
 
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 294 วันที่ 15 - 21 มกราคม
พ.ศ. 2554 หน้า 27 คอลัมน์ พระวจนธรรม โดย ดร.ประสิทธิ์ ฤกษ์พิศุทธิ์

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #290: 12 มี.ค. 11, 17:49 น

พบพระพรของพระเจ้าผ่านการรับใช้
 
 
ครั้นเวลาเย็นแล้วพวกสาวกมาทูลพระองค์ว่า "ที่นี่กันดารอาหารนัก
และบัดนี้ก็เย็นลงมากแล้ว ขอพระองค์ทรงให้ประชาชนไปเสียเถิด
เพื่อเขาจะได้ไปซื้ออาหารรับประทานตามหมู่บ้าน"
ฝ่ายพระเยซูตรัสกับพวกสาวกว่า "เขาไม่จำเป็นต้องไปจากที่นี่
พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด" พวกสาวกจึงทูลพระองค์ว่า
"ที่นี่พวกข้าพระองค์มีแต่ขนมปังเพียงห้าก้อนกับปลาสองตัวเท่านั้น"
พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "เอาอาหารนั้นมาให้เราเถิด"
แล้วพระองค์ทรงสั่งให้คนเหล่านั้นนั่งลงที่หญ้า
เมื่อทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นแล้ว
ก็แหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ ถวายคำสาธุการ และหักส่งให้เหล่าสาวก
เหล่าสาวกก็แจกให้คนทั้งปวง เขาได้กินอิ่มทุกคน
ส่วนเศษอาหารที่ยังเหลือนั้น เขาเก็บไว้ได้ถึงสิบสองกระบุงเต็ม (มัทธิว
14:15-20)
 
คำถามหนึ่งที่ผมมักได้ยินบ่อยๆเมื่อคุยกันเรื่องพระเยซูเลี้ยงคน 5000
ว่าทำไมจึงมีอาหารเหลือ 12 กระบุงเต็ม มีหลายแนวความคิดในเรื่องนี้ เลข
12 เป็นเลขที่คุ้นเคย เห็นกันบ่อยในพระคัมภีร์ - 12 เผ่าของอิสราเอล สาวก
12 คนของพระเยซู ทั้งสองกรณีสามารถอธิบายได้ว่าทำไมจึงมีอาหารเหลือ 12
กระบุง
 
แต่ผมเชื่อจริงๆว่าอาหาร 12 กระบุงนั้นเหลือไว้ให้สาวกทั้ง 12
คนของพระเยซูที่อยู่ที่นั่นแต่ละคน
จะเห็นได้ว่าผู้ใดก็ตามที่ปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้า
จะชื่นชมในการจัดเตรียมอย่างล้นเหลือจากพระองค์
 
เราไม่จำเป็นต้องออกมาเป็นผู้รับใช้เต็มเวลาเพื่อจะได้รับพระพรที่มา
พร้อมกับการรับใช้
บำเหน็จมีพอเสมอสำหรับคนที่ยอมอุทิศตนให้แก่การงานของแผ่นดินสวรรค์
 
คุณทราบหรือไม่ว่าใครได้ประโยชน์มากที่สุดจากคำเทศนาของผม? ตัวผมเองครับ
และที่ทำให้ผมมีความสุขมากคือการใช้เวลาไปมากที่สุดเพื่อการนี้
คงไม่ต้องสงสัยว่าหนทางดีที่สุดที่จะเติบโตในองค์พระเยซูคริสต์คือการ
ปรนนิบัติพระองค์ และมอบถวายตัวเราให้เป็นไปตามพระประสงค์
 
ถ้าคุณต้องการความรัก คุณต้องให้ความรัก ถ้าคุณต้องการมีเพื่อน
คุณต้องทำตัวเป็นเพื่อนกับใครสักคน
และเมื่อผู้รับใช้ช่วยกันทำงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า
พวกเขาก็จะได้รับพระพรอันล้นเหลือร่วมกันครับ
 
ปรนนิบัติพระเจ้าด้วยชีวิตคุณ
และคุณจะปิติในพระพรที่มาพร้อมกับการเชื่อฟังอย่างสัตย์ซื่อ
 
โดย: Pastor Jack Graham
 
Jack Graham Power Point Ministries: www.powerpoint.org

 

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #291: 13 มี.ค. 11, 13:24 น

Subject: ไม่ลืมพระคริสต์ โดย รัฐศาสตร์ สร้างถิ่น
 
 
 
*ลูกา 2**:29-30 "ข้าแต่พระเจ้า บัดนี้พระองค์ทรงให้ทาสของพระองค์ไปเป็นสุข
ตามพระดำรัสของพระองค์เพราะว่าตาของข้าพระองค์ได้เห็นความรอดของพระองค์แล้ว..."*
 
 
 
ข้อพระคำภีร์ตอนที่กล่าวถึงนี้เป็นคำอธิษฐานของสิเมโอน
ครั้นเมื่อพบพระกุมารเยซู ณ พระวิหารครั้งแรก
สิเมโอนเป็นผู้ชอบธรรมและพระวิญญานบริสุทธิ์ได้สำแดงแก่ท่านว่าท่านจะไม่ตายจนกว่าจะได้พบพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า
ครั้นเมื่อท่านได้เห็นพระกุมารเยซู ท่านจึงทราบได้ทันทีว่า
พระองค์คือพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้มาปลดปล่อยมนุษย์จากความบาปผิด
และท่านก็รู้สึกเป็นสุขในทันที
 
 
 
หลายครั้งในชีวิต เราลืมไปว่าพระคริสต์ได้สถิตอยู่เคียงข้างเราเสมอ
เรามักจะรู้สึกและใช้สายตามนุษย์มองดูสิ่งแวดล้อมรอบข้าง และ
เผชิญความทุกข์ยากลำบากด้วยตัวของเราเอง และเราก็จะบ่นพึมพรำต่อว่าพระเจ้า
ต่อว่าผู้รับใช้พระเจ้า
สมาชิกคริสตจักรที่ดูเหมือนจะปล่อยปะละเลยไม่สนใจใยดีในวิถีชีวิต
หรือความทุกข์ที่เราเผชิญอยู่
 
 
 
ผมใคร่ขอหนุนใจท่าน ในช่วงเทศกาลวันแห่งความรัก (วาเลนไทน์) ปีนี้ และในทุกๆ
วัน ให้เราเริ่มต้นคำอธิษฐานของเราเหมือนสิเมโอน คือ
"ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงให้เราเป็นไท
และมีความสุข เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าอยู่เคียงข้างเราเสมอ
เป็นกำลังให้แก่เราเมื่อเราเผชิญความทุกข์ยากลำบาก
และเราจะมีกำลังและความชื่นชมยินดีในพระเจ้าทุกเวลา"
 
 
 
ผมเชื่อมั่นว่า ด้วยการอธิษฐานด้วยความเชื่อ
และด้วยความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา
เราจะไม่มีความรู้สึกทุกข์เมื่อต้องเผชิญปัญหา แต่เราจะมีสันติสุขในพระเจ้า
และเมื่อเรามีความสุข เราก็จะมีปัญญา และปัญญาที่มาจากพระเจ้านี่แหละ
จะนำพาให้เรารู้วิธีแก้ไขปัญหา และ หนทางพ้นทุกข์ต่างๆ ได้อย่างแน่นอน
 
 
 
ขอพระเจ้าอวยพระพรทุกท่าน
 
รัฐศาสตร์ สร้างถิ่น
 
คจ.สายธารแห่งชีวิต แบ๊บติสต์
 
1/90 ซอยนาทอง ถ.ประชาสงเคราะห์
 
ดินแดง กรุงเทพฯ 10310
 
โทร. 02-2745597

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #292: 16 มี.ค. 11, 12:23 น


บทเรียนจากอุทกภัยสมัยโนอาห์
 
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 296 วันที่ 29 มกราคม - 4
กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 หน้า 28 คอลัมน์ สันติธรรม โดย บรรจง บินกาซัน

 
ช่วงปีที่แล้วจนถึงปีนี้
หลายประเทศทั่วโลกประสบความหายนะอย่างรุนแรงจากสารพัดภัยธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง
อาทิ แผ่นดินไหวในจีน น้ำท่วมในปากีสถานและออสเตรเลีย โคลนถล่มในบราซิล
หิมะตกหนักในยุโรปและอเมริกา
ประเทศไทยเราก็โดนทั้งภัยแล้งและน้ำท่วมตั้งแต่เหนือจดใต้
 
เมื่อเกิดภัยพิบัติธรรมชาติคราวใด
นักวิชาการทั้งหลายก็ได้โอกาสออกมาแสดงภูมิรู้ของตนว่า
สาเหตุของภัยพิบัติเหล่านั้นมาจากปรากฏการณ์เอลนีโน่หรือไม่ก็ลานีน่า
หรือมิฉะนั้นก็เพราะการทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่บันยะบันยังของมนุษย์บ้าง
เป็นต้น
 
แต่ถึงรู้ก็ไม่สามารถทำอะไรได้? เพราะแม้จะมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
มนุษย์ก็ไม่มีอำนาจพอที่จะไปควบคุมปรากฏการณ์เหล่านั้น
และหายนภัยบางอย่างเช่นอุทกภัยก็ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการตัดไม้ทำลายป่าเสมอไป
อุทกภัยครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นทั่วโลกเร็วๆนี้ไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับอุทกภัยโลกครั้งใหญ่ในอดีตเมื่อครั้งสมัยโนอาห์ได้เลย
 
นักประวัติศาสตร์กล่าวว่า
ชุมชนของโนอาห์ตั้งอยู่ในเมืองโมซุลในประเทศอิรักปัจจุบัน
ในสมัยของโนอาห์มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์และไม่มีการตัดไม้ทำลายป่าเหมือนปัจจุบัน
เพราะผู้คนมีจำนวนไม่มาก
แต่แผ่นดินของโนอาห์ก็ยังประสบอุทกภัยใหญ่ถึงขั้นที่เรียกติดปากกันว่าน้ำท่วมโลกและยังเป็นที่จดจำกันอยู่ในความสำนึกของมนุษย์จนทุกวันนี้
 
ในคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอานเล่าตรงกันว่า
โนอาห์มีชีวิตจริงอยู่หลังสมัยอาดัมมนุษย์คนแรกเป็นเวลาหลายร้อยปี
โนอาห์(หรือนูฮฺ)ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสนทูตของพระเจ้าเพื่อตักเตือนผู้คนในสมัยของท่านที่กำลังหลงผิดเคารพกราบไหว้รูปปั้นบรรพบุรุษแทนที่จะเคารพสักการะพระเจ้าที่แท้จริงซึ่งเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง
เพราะก่อนหน้านี้ลูกหลานของอาดัมไม่เคยเคารพกราบไหว้บูชาสิ่งใดนอกจากพระเจ้าที่อาดัมสั่งสอนไว้เท่านั้น
 
นักประวัติศาสตร์ศาสนากล่าวว่า
การเคารพกราบไหว้รูปปั้นเริ่มมีขึ้นครั้งแรกบนโลกใบนี้ในสมัยของโนอาห์
สาเหตุก็เนื่องมาจากคนดีมีศีลธรรมและเป็นที่เคารพรักของผู้คนในสังคมได้ตายจากไป
ด้วยความรักความอาลัยในการจากไปของคนดีเหล่านี้
ผู้คนจึงได้เริ่มปั้นหรือไม่ก็แกะสลักรูปปั้นของคนเหล่านี้จากไม้หรือหินเพื่อเป็นที่ระลึก
นานวันเข้าความรักความอาลัยที่เกินพอดีก็กลายเป็นความคิดผิดว่ารูปปั้นเหล่านี้มีวิญญาณของผู้ตายสิงสถิตอยู่
จึงได้มีการวิงวอน บนบาน
อธิษฐานและกราบไหว้รูปปั้นเหล่านั้นด้วยจินตนาการที่ต่างกันไป
 
บางคนทึกทักเอาว่าวิญญาณของคนที่ล่วงลับไปเป็นวิญญาณของคนดีและเป็นที่รักของพระเจ้า
จึงน่าจะช่วยเป็นสื่อในการติดต่อหรือขออะไรบางอย่างจากพระเจ้าให้ตัวเองได้ดีกว่าที่ตัวเองจะขอโดยตรง
บางคนมากราบไหว้ก็เพราะสำนึกในบุญคุณ
หรือไม่ก็เพราะความรักและเทิดทูนคนดี ในที่สุดเมื่อมีคนทำตามกันมากเข้า
การเคารพกราบไหว้บูชารูปปั้นก็เป็นที่ปฏิบัติกันแพร่หลายจนผู้คนลืมพระเจ้าที่แท้จริงไปและเชื่อว่ารูปปั้นเหล่านั้นจะบันดาลสิ่งที่ตนขอได้
 
เทวรูปที่ผู้คนสร้างขึ้นมาเคารพกราบไหว้ในสมัยของโนอาห์มีชื่อเรียกต่างๆ
เช่น วัดด์ สุวาอ์ ยะฆูษ ยะอู๊ก และนัสร์ เป็นต้น
ชื่อเหล่านี้ก็คือชื่อของคนดีที่ล่วงลับไป
แม้โนอาห์จะเตือนคนของท่านว่าคนดีเหล่านั้นไม่ใช่พระเจ้าและการทำเช่นนั้นจะทำให้พระเจ้าทรงพิโรธ
แต่ผู้คนของท่านก็ยังดื้อรั้นยืนยันว่าถึงอย่างไรพวกเขาก็จะไม่ทิ้งการเคารพกราบไหว้บูชารูปปั้นเหล่านี้
มิหนำซ้ำยังท้าทายโนอาห์ว่าถ้าพระเจ้ามีอำนาจจริงก็ให้ส่งการลงโทษมาให้พวกเขาได้เห็น
 
โนอาห์ได้รับเวลาหรืออายุบนโลกใบนี้เป็นเวลา 950
ปีในการปฏิบัติภารกิจเรียกร้องเชิญชวนผู้คนให้หันไปสู่การเคารพสักการะพระเจ้าที่แท้จริงและไม่นำสิ่งใดมาเป็นภาคีในการเคารพสักการะร่วมกับพระองค์
แต่ถึงแม้จะได้รับเวลาอันยาวนานเช่นนั้น
โนอาห์ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทัศนคติของผู้คนได้
แม้แต่ภรรยาและลูกชายของเขาเองก็ไม่เชื่อเขา
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เชื่อในคำสอนเขา
 
ด้วยความเหลืออดเหลือทนต่อความดื้อรั้นของผู้คน
โนอาห์ถึงกับยกมือขึ้นวิงวอนต่อพระเจ้าว่า
"ขอพระองค์อย่าได้ปล่อยให้ผู้ดื้อรั้นเหล่านี้หลงเหลือยู่ในแผ่นดินเลย
เพราะถ้าพระองค์ทรงปล่อยพวกเขาไว้ พวกเขาก็จะทำให้บ่าวของพระองค์หลงผิด
และคนที่เกิดมาก็จะมีแต่คนชั่วและคนเนรคุณ"
 
เมื่อโนอาห์กล่าวคำวิงวอนจบ
พระเจ้าได้บัญชาให้โนอาห์ต่อเรือขึ้นลำหนึ่งและสั่งเขาไม่ให้ขออะไรต่อพระองค์อีก
เพราะไม่ช้าคนที่ปฏิเสธการตักเตือนของเขาจะถูกน้ำท่วมตาย
 
เมื่อโนอาห์ต่อเรือขึ้น ผู้คนต่างพากันหัวเราะเยาะว่า
ท่านเป็นคนบ้าที่มาต่อเรือในที่สูงและห่างไกลจากทะเล
แต่โนอาห์ไม่สนใจและยังคงต่อเรือต่อไป เมื่อต่อเรือเสร็จ
น้ำได้เริ่มไหลพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินและมีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง
พระเจ้าได้ทรงบัญชาเขาให้นำสัตว์แต่ละชนิดอย่างละคู่ขึ้นเรือพร้อมกับผู้ศรัทธาในพระองค์
แต่น้อยคนที่เชื่อเขา
 
น้ำที่ไหลออกมาจากผืนดินไม่หยุดและฝนที่กระหน่ำตกลงมาจากท้องฟ้าอย่างต่อเนื่องหลายวัน
ทำให้ระดับน้ำเริ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
หลายคนที่ไม่ได้ขึ้นเรือของโนอาห์ได้หนีขึ้นไปบนภูเขา
เพราะคิดว่าตัวเองจะรอดพ้นจากการถูกน้ำท่วม
ลูกชายของเขาเองก็เป็นคนหนึ่งที่คิดเช่นนั้นและต้องจมน้ำตายต่อหน้าต่อตา
แม้เขาจะตะโกนเรียกให้ขึ้นเรือจนคอแทบแตกก็ตาม
 
อุทกภัยสมัยโนอาห์รุนแรงยิ่งใหญ่เพียงใดนั้น
เรารู้จากคัมภีร์กุรอานว่าเรือของโนอาห์ลอยไปติดอยู่บนภูเขาญูดี
ซึ่งปัจจุบันนี้นักวิชาการเชื่อว่าเป็นภูเขาอะรารัตในตุรกี
 
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 296 วันที่ 29 มกราคม - 4
กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 หน้า 28 คอลัมน์ สันติธรรม โดย บรรจง บินกาซัน

 

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #293: 19 มี.ค. 11, 16:05 น

From: อัมรินทร์ พวงสุมาลย์
Date: 2011/3/15
Subject: ข้อคิดดีๆ จากเหตุการณ์สึนามิที่ผ่านมา
 
 
จากภาพเหตุการณ์สึนามิ ทำให้เข้าใจได้ว่า พระเจ้าทรงใช้เราไปประกาศ
ในเวลาที่พวกเขาสบายดี แต่พวกเขาไม่ฟัง
และนี่คือไม้เรียวจากพระเจ้าสำหรับคนที่ใจแข็งกระด้าง
เป็นวิธีสุดท้ายที่พระองค์จะช่วยมนุษย์ที่ดื้อดึง
ก่อนจะเข้าสู่การพิพากษาที่นิรันดร์
เข้าไปดูภาพเหตุการ์ได้ที่ https://www.thankgod7.com/

 

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #294: 20 มี.ค. 11, 15:51 น


เดินผ่านไฟ
 
เมื่อเจ้าลุยข้ามน้ำ เราจะอยู่กับเจ้า เมื่อข้ามแม่น้ำ น้ำจะไม่ท่วมเจ้า
เมื่อเจ้าลุยไฟ เจ้าจะไม่ไหม้ และเปลวเพลิงจะไม่เผาผลาญเจ้า (อิสยาห์
43:2)
 
ชัดรัค เมชาค อาเบดเนโก
เป็นชาวยิวอายุน้อยที่ดำเนินชีวิตติดตามพระเจ้าในสังคมที่ไม่นับถือพระเจ้า
เมื่อพระราชาเนบูคัดเนสซาร์โจมตีเยรูซาเล็ม
และจับประชาชนไปเป็นเชลยที่บาบิโลน
พระราชาเลือกสามหนุ่มนี้ขึ้นมาเพื่อช่วยราชการในอาณาจักรบาบิโลน โดยฝึกฝน
ขัดเกลา ให้การศึกษาพวกเขาจนเรียนรู้ขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมของบรรดาผู้กราบไหว้รูปเคารพ
 
อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาเนบูคัดเนสซาร์สร้างปฏิมากรทองคำเป็นรูปพระองค์เองขึ้นมา
ออกคำสั่งให้ทุกคนในราชอาณาจักรต้องก้มลงกราบและนมัสการปฏิมากรนั้น
ใครไม่ทำตามคำสั่งพระราชามีโทษถึงตาย ทุกคนยอมเชื่อฟังทำตาม -
ยกเว้นชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก
 
พระราชทรงพระพิโรธมาก เรียกทั้งสามมาเข้าเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์
และสั่งให้ก้มลงกราบปฏิมากรนั้น พวกเขาทูลพระองค์ว่า
"ถ้าพระเจ้าของพวกข้าพระบาทผู้ซึ่งพวกข้าพระบาทปรนนิบัติ
พอพระทัยจะช่วยกู้พวกข้าพระบาทให้พ้นจากเตาที่ไฟลุกอยู่ ข้าแต่พระราชา
พระองค์ก็จะทรงช่วยกู้พวกข้าพระบาท ให้พ้นพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท"
(ดาเนียล 3:17)
 
ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกจึงถูกมัดและโยนเข้าไปในเตาไฟที่ลุกโพลง
และเร่งไฟให้แรงขึ้นกว่าปกติอีกเจ็ดเท่าตามคำสั่งของพระราชาเนบูคัดเนสซาร์
ขณะที่เฝ้าดูนั้น พระราชาทอดพระเนตรเห็นไม่ใช่แค่สามคน -
แต่เป็นชายสี่คนที่กำลังเดินอยู่ในเตาไฟนั้น
 
ผมเชื่อว่าพระเยซูทรงเดินอยู่กับพวกเขาที่ในไฟนั้น
และพระองค์จะทรงเดินในกองไฟของคุณด้วย
จะทรงเดินอยู่ในท่ามกลางความยากลำบาก ในอิสยาห์ 43:2 อ่านได้ใจความว่า
"เมื่อเจ้าเดินผ่านกองไฟแห่งการกดขี่ข่มเหง เจ้าจะไม่ไหม้
ไฟนั้นจะไม่ทำลายเจ้า"
 
เราไม่เคยอยู่ตามลำพังในชีวิต
นี่คือพระคำที่บอกเราตั้งแต่ปฐมกาลถึงวิวรณ์ พระเยซูทรงอยู่ด้วยเสมอ
และพระองค์ตรัสว่า "เราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค"
(มัทธิว 28:20)
 
โดย: Pastor Greg Laurie
 
อนุญาตโดย Harvest Ministries with Greg Laurie
 
PO Box 4000, Riverside, CA 92514
 
ChurchofJoy.net

 

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #295: 27 มี.ค. 11, 13:17 น

โดย พระคุณเจ้ายอด พิมพิสาร
 
ทำไมต้องเป็นฉันเล่า?

 
"ถ้าท่านทำไม่ดี บาปกำลังหมอบอยู่ที่ประตู" (ปฐมกาล 4:7)
 
เมื่อผู้ใหญ่บอกเด็กว่า เขาทำสิ่งที่เขาอยากทำไม่ได้
หรือบอกให้เขาทำสิ่งที่เขาไม่อยากทำ เรามักจะได้ยินเขากล่าวว่า
"มันไม่ยุติธรรม" เราผู้ใหญ่ก็อาจจะใช้คำพูดคล้ายๆกัน
เมื่อสิ่งที่เราคาดหวังไม่เป็นไปดังที่เราคิด
 
ในหนังสือ "ปฐมกาล" ที่นำมาพิจารณา อาดัมและเอวาไม่เชื่อฟังพระเจ้า
แล้วบาปของทั้งสองก็ตกทอดมายังลูกหลานของเขา
อาแบลและกาอินถวายของแด่พระเจ้า แต่พระองค์ทรงพอพระทัยในของถวายของอาแบล
แต่ของถวายของกาอินไม่เป็นที่สบพระทัย ดังนี้นับเป็นยุติธรรมไหม?
พระคัมภีร์มิได้ให้คำตอบ แต่ผู้ที่เขียนเน้นไปถึงความไม่พอใจของกาอิน
พระเจ้าท้าทายเขา ตรัสกับเขาว่า "ทำไมจึงโกรธและหน้าตาบึ้งตึง"
พระเจ้าทรงเตือนกาอินว่า ความโกรธเคืองนี้อาจนำไปสู่การทำบาป
ซึ่งได้รับการอธิบายอย่างชัดเจนว่า เป็นเสมือนสัตว์ดุร้ายที่กระหายหาเขา
กาอินได้รับการเตือนให้ต่อสู้และเอาชนะเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้
แต่เขาพ่ายแพ้และในที่สุดก็ฆ่าอาแบล
 
เราอาจคิดในใจว่า เหตุใดในพี่น้องสองคนนี้
คนหนึ่งเป็นคนโปรดปรานของพระเจ้า อีกคนหนึ่งไม่ใช่ มีการทายกันไปต่างๆ
นานา แต่เรื่องนี้อาจสะท้อนความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับชีวิต
พรต่างๆที่มนุษย์ได้รับ คนบางคนประสบความสำเร็จ บางคนก็ผิดหวัง
เมื่อทุกสิ่งมิได้เป็นไปตามที่เราคิด เราจะพบว่า ตัวเราเองตั้งคำถามว่า
"ทำไมถึงต้องเป็นตัวฉันเล่า?" เรื่องนี้ย้ำเตือนเราในปัจจุบัน
เราเลือกได้สองทาง เราอาจแสดงออกซึ่งความผิดหวัง
เพราะเราเป็นผู้ที่ไม่มีคนสนใจ หรือเราอาจจะมองดูสถานการณ์ในด้านบวก
ไม่ปล่อยตัวตามอารมณ์ชั่วครู่ของเรา
พระคริสตเจ้าพระองค์เองทรงถูกปฏิเสธและถูกดูหมิ่น
แต่พระองค์ก็ทรงบันดาลให้มีชีวิตจากความตายได้
 
บทอธิษฐานภาวนา
 
ข้าแต่พระเยซูเจ้า พระองค์ทรงแบกแอกบาปของโลก
และทรงนำชีวิตมายังลูกทั้งหลายจากการสิ้นพระชนม์ของพระองค์
โปรดทรงประทานพระหรรษทานให้ลูกต่อต้านบาปและเปลี่ยนความอ่อนแอของลูก
เพื่อลูกจะได้มีความกล้าหาญในชีวิตที่อุทิศตน เพื่อรับใช้พระองค์ด้วยเทอญ
อาแมน
 
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 299 วันที่ 19-25
กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 หน้า 26 คอลัมน์ ข้อคิดจากพระคัมภีร์ โดย
พระคุณเจ้ายอด พิมพิสาร

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #296: 2 เม.ย. 11, 16:28 น


From: อัมรินทร์ พวงสุมาลย์
Date: 2011/3/3
 
Subject: ความโกรธของเด็ก
 
 
 
สภษ.14/10 มีแต่ใจของตนเองที่รู้ถึงความขมขื่นและไม่มีใครร่วมรับรู้สันติสุขในใจ
 
ไม่มีใครที่มีความสุขเวลาที่โกรธ ดังนั้น อย่าโกรธนานเลย
แต่จงเป็นคนที่โกรธช้าและหายเร็ว
 
มีครั้งหนึ่งที่ผมถูกเพื่อนเข้าใจผิด ผมพยายามชี้แจง
แต่เพื่อนของผมกับขึ้นเสียง คือ พูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
อารมณ์ของผมก็เริ่มที่จะขึ้นตาม แต่ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความคิดดีๆ
ที่พุ่งพราดเข้าในช่วยผมในเวลานั้นโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์
 
- พระเจ้าให้ผมคิดถึงการ "นิ่ง" ของพระเยซู
จากผมที่ผมเคยได้รับในหนังเรื่อง The passion ตอนที่พระเยซูถูกกล่าวหา
สิ่งแรกที่ผมตอบสนองในเวลานั้นคือ "การนิ่ง" ไม่พูดอะไร ออกไป
เพราะถ้าพูด คำพูดออกมาไม่ดีแน่
 
- พระวิญญาณบริสุทธิ์ดลใจของผมว่า
การนี้มาจากพระเจ้าเพื่อทดสอบผมว่าผมจะโกรธอีกหรือไม่(เพราะผมเคยสอบตก
คือ หลุดโกรธออกไปแล้วครั้งหนึ่งโดยการตะคอกและพูดออกมาด้วยถ้อยคำที่รุนแรง)
เวลาที่เราถูกยั่วยุให้โกรธให้เรามีความคิดว่า
"การนี้มาจากพระเจ้าเพื่อที่จะลองดูใจของเรา ว่าเราจะโกรธหรือไม่"
 
- พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ความเข้าใจผมว่า ให้ผมหายโกรธเร็วเหมือนเด็กเล็กๆ
ที่หายโกรธได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องคิดมาก
หายแบบลืมหมดสิ้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
 
เกี่ยวกับการหายโกรธแบบเด็กๆ
ผมเข้าใจเรื่องนี้ผ่านชีวิตของหลานของผมที่เพิ่งอายุ 3 ขวบ
หลานของผมทำผิด ผมจึงตี หลานของผมก็โกรธผม โดยทำเป็นไม่หันมามองผม
แล้วก็เข้าไปฟ้องแม่ของเขาว่า ลุงอาร์มตี
เข้าไปร้องให้กับแม่ของเขาใหญ่เลย แต่พอผ่านไปได้สักพักหนึ่ง
ผมเอาของเล่นที่หลานของผมชอบเล่นคือ เจ้าหุ่นยางเด้งดึ๋งมา
แล้วอุ้มหลานของผมขี่มัน แล้วยกหุ่นขึ้นบินไปบินมา
หลานผมหัวเราะชอบใจใหญ่เลย สักพักหนึ่งเราก็เอาลูกบอลมาเล่นกันต่อ
ผมเตะบอลแล้วให้หลานของผมวิ่งไล่จับลูกบอล(อันที่จริงแล้วต้องการให้เขาเป็นนายประตู
แต่เนื่องจากหลานของผมยังเล็กอยู่จึงดักจับบอลไม่ทัน
ได้แต่วิ่งไล่จับลูกบอลที่วิ่งเลยผ่านเขาไปแล้วเท่านั้น)
หลานของผมหัวเราะชอบใจใหญ่เลยเวลาที่ผมเตะลูกบอลเข้าหาเขาในแต่ละครั้ง
สรุปแล้วคือ เจ้าหลานตัวเล็กเขาลืมไปแล้วว่า ก่อนหน้านี้เขาโกรธผม
ตอนนี้เขาสนใจเดียวคือของเล่น สนุกที่จะเล่น
ไม่ได้คิดเรื่องของความโกรธอีกต่อไปแล้ว
 
จากชีวิตของหลานของผม ได้สอนผมในเรื่องของความโกรธ คือ
ให้เราหายโกรธและลืมความผิดได้ง่ายๆ เหมือนเด็กเล็กๆ คือ
ให้เราถ่อมใจลงเป็นแบบเด็กๆ
ไม่ได้ต้องคิดอะไรมากเกี่ยวกับความผิดของผู้อื่น ไม่ต้องไปคิดต่อ
ยอดในทางลบต่างๆ นาๆ เกี่ยวกับเพื่อนของเรา แต่จงเป็นเหมือนเด็ก
และจงเป็นปลาทองของพระเจ้า คือ เป็นคนที่ลืมความผิดง่าย เมื่อโกรธ
จงดับความโกรธโดยการให้อภัยให้เร็วที่สุด
ยิ่งเราหยุดโกรธและฉุนเฉียวได้หมดเร็วเท่าไหร่ ความอ่อนโยนของพระวิญญาณ
สันติสุขและความชื่นชมยินดีก็จะกลับคืนมาสู่เราเร็วมากเท่านั้น มธ.10/13
ถ้าบ้านนั้นสมควรรับพร ก็ให้สันติสุขของพวกท่านอยู่กับบ้านนั้น
แต่ถ้าบ้านนั้นไม่สมควรรับพร ก็ให้สันติสุขนั้นกลับคืนมาสู่พวกท่านอีก

 

 

--

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #297: 5 เม.ย. 11, 19:38 น


พระพิโรธต่อมนุษยชาติ
 
เพราะว่าพระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธของพระองค์จากสวรรค์
ต่อความหมิ่นประมาทพระองค์
และความชั่วร้ายทั้งมวลของมนุษย์ที่เอาความชั่วร้ายนั้นบีบคั้นความจริง
เหตุว่าเท่าที่จะรู้จักพระเจ้าได้ก็แจ้งอยู่กับใจเขาทั้งหลาย
เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดสำแดงแก่เขาแล้ว ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว
สภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้านั้น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์
ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง
ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย (โรม 1:18-20)
 
มีพระวจนะหลายข้อที่คนชอบนำไปเคลือบไว้บนถ้วยกาแฟ หรือบนเสื้อยืด
แต่ไม่ใช่ข้อพระคำด้านบนแน่
ข้อพระคำด้านบนเป็นภาพที่บ่งให้เห็นชัดถึงสภาพของมนุษยชาติที่ออกห่างไกลไปจากพระเจ้า
เห็นหรือไม่ว่าเชื้อโรคร้ายของบาปส่งผลเสียให้แก่มนุษย์ทุกคน
และพระเจ้าได้สำแดงพระพิโรธของพระองค์ไปยังความบาป
เพราะพระองค์ทรงบริสุทธิ์และสมบูรณ์
 
อ.เปาโลบอกเราว่า มนุษย์ทุกคนมีข้อมูลเพียงพอที่เห็นได้จากการทรงสร้าง
หรือที่เราเรียกว่า "การเปิดเผยโดยทั่วไป" เพื่อจะเข้าใจได้ถึงฤทธานุภาพ
และเทวสภาพของพระองค์ที่ปรากฎอยู่ในสรรพสิ่งทรงสร้าง ใบไม้ทุกใบ
ดอกไม้ทุกดอก หินทุกก้อน แม่น้ำทุกสาย เนินเขาทุกเนิน หุบเขาทุกแห่ง
และภูเขาทุกลูก ล้วนแล้วแต่มีฝีพระหัตถ์ของพระองค์ปรากฎอยู่!
 
ดังนั้นการมองไปที่สิ่งทรงสร้างในธรรมชาติโดยไม่ยอมรับในพระผู้สร้างตัวจริง
ก็เพียงพอต่อพระพิโรธของพระเจ้า
ผมเข้าใจดีว่าคำพูดสวยหรูของศาสนาใหม่ๆในยุคนี้คือคำพูดที่กล่าวว่า -
ทุกเส้นทางต่างล้วนพาไปสู่พระเจ้า - ถ้าเป็นจริงตามนั้น
เราจะประกาศข่าวประเสริฐไปทำไม? ให้พวกมิชชันน่ารี่เดินทางกลับไปบ้านเถอะ
และเปลี่ยนพระมหาบัญชาเป็นแค่ข้อเสนอแนะที่ดีแทนก็ได้!
 
มีทางเดียวไปถึงพระเจ้าได้ โดยทางพระบุตรของพระองค์คือพระเยซูคริสต์
ดังนั้นเมื่อคุณดำเนินชีวิตบนโลกนี้
ขอให้ดำเนินด้วยจุดประสงค์ในการนำคนมาถึงพระเจ้า
เพราะปราศจากพระคุณของพระคริสต์แล้ว ก็เหลือแต่พระอาชญาที่รออยู่ครับ
 
วางใจในพระเยซูเป็นหนทางเดียวที่จะรอดจากพระพิโรธอันชอบธรรมของพระเจ้าได้
ขอให้จุดประสงค์หลักในชีวิตของคุณคือการนำคนอื่นมาถึงพระเยซูคริสต์
 
อนุญาตโดย: Pastor Jack Graham
 
Jack Graham Power Point Ministry: www.powerpoint.org
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
งานหลักคือนำคนมาถึงพระเจ้า
งานอื่นคืองานที่ทำเพื่อสนับสนุนงานหลักให้เดินหน้าไปได้
แต่ทุกวันนี้เรามักทำกลับกัน - ยังไม่สายเกินไป แก้ได้ค่ะ -
ขอพระเจ้าอวยพร
 
ChurchofJoy.net

 

 

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #298: 19 เม.ย. 11, 11:50 น

From: Thanida Chaisuvan
Date: 2011/3/7
Subject: AGAPE NEWS #5: คำเทศนา โดย อาจารย์ประยูร ลิมะหุตะเศรณี (20
กุมภาพันธ์ 2554)
 
 
 
AGAPE
20 กุมภาพันธ์ 2554
คำเทศนา โดย อาจารย์ประยูร ลิมะหุตะเศรณี
 
จิตวิญญาณ
 
โรม 1:1-6
"ชีวิตเราผูกอยู่กับเรื่องจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน"
"ถ้าเราขาดสายตา เราก็จะมองไม่เห็น"
เปาโลเสนอตัวเป็นผู้รับใช้ เป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า
เป็นการรับใช้โดยไม่มีเงื่อนไขและไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ
-เรากับพระเจ้า เป็นครอบครัวเดียวกัน
ฉะนั้น การรับใช้ คือ การอุทิศตัวและสิ่งที่อยู่เบื้องหลังการกระทำนี้
คือ ความรัก จึงเป็นการปรนนิบัติรับใช้ที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน
เพราะชีวิตนิรันดร์ที่พระองค์ทรงประทานให้นั้น
เป็นสิ่งที่พิเศษที่สุดอยู่แล้ว
-รับใช้พระเจ้านั้น พระองค์ทรงเลือกเรา
เพื่อให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานในเรา นี่เป็นสิทธิพิเศษซ้อนคือ
การเลือกเราและการทำให้เกิดผล แต่ผลงานที่เกิดนั้น เป็นของเรา
ซึ่งจะเป็นบำเหน็จต่อชีวิตเราในสวรรค์เมื่อเราได้ไปอยู่กับพระองค์
-พระเจ้าเปิดโอกาศให้เราในการรับใช้ พระองค์ไม่ได้เลือกทุกคน
แต่พระองค์ทรงเลือกเรา
เราจะต้องมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าใน 3 สถานะ
 
สถานะที่ 1 : Lord (นาย)
เราต้องมีความสัมพันธ์กับพระองค์ในฐานะที่พระองค์เป็นนาย
ผู้คอยกำหนดงาน และสิ่งที่พระองค์ต้องการให้เราทำ ส่วนเราเป็นบ่าว
ซึ่งต้องเรียนรู้ที่จะทำในสิ่งที่พระเจ้าให้ทำ
ไม่ใช่ทำในสิ่งที่เราอยากทำ
 
สถานะที่ 2 : Jesus (ผู้ช่วย)
พระองค์คือที่พึ่งพาของเรา เป็นที่พึ่งพาของชีวิตที่แท้จริง
จงวางใจในพระองค์ เราต้อง "เชื่อ" และ "ไว้วางใจ" ในพระองค์
และความไว้วางใจนี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนให้เรารับใช้พระองค์
 
สถานะที่ 3 : Christ (พระคริสต์ หมายถึง กษัตริย์)
เราเป็นประชากรของพระเจ้า พระองค์เป็นผู้ปกครองเรา
อยู่ในอาณาจักรของพระองค์ (Kingdom of God)
อยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์ เราต้องทำตามกฎของพระองค์
-พระเจ้าทรงรักเราก่อน แล้วเราล่ะ?
-เราต้อง "ติดสนิท" มีความสัมพันธ์กับพระเยซูอย่างลึกซึ้ง
แล้วพระองค์จะมีแนวทาง สิ่งดีๆที่จะบอกกับเราในทุกวัน

 

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #299: 19 เม.ย. 11, 11:55 น

From: Thanida Chaisuvan
Date: 2011/3/7
Subject: AGAPE NEWS #5: คำเทศนา โดย อาจารย์ประยูร ลิมะหุตะเศรณี (20
กุมภาพันธ์ 2554)
 
 
 
AGAPE
20 กุมภาพันธ์ 2554
คำเทศนา โดย อาจารย์ประยูร ลิมะหุตะเศรณี
 
จิตวิญญาณ
 
โรม 1:1-6
"ชีวิตเราผูกอยู่กับเรื่องจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน"
"ถ้าเราขาดสายตา เราก็จะมองไม่เห็น"
เปาโลเสนอตัวเป็นผู้รับใช้ เป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า
เป็นการรับใช้โดยไม่มีเงื่อนไขและไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ
-เรากับพระเจ้า เป็นครอบครัวเดียวกัน
ฉะนั้น การรับใช้ คือ การอุทิศตัวและสิ่งที่อยู่เบื้องหลังการกระทำนี้
คือ ความรัก จึงเป็นการปรนนิบัติรับใช้ที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน
เพราะชีวิตนิรันดร์ที่พระองค์ทรงประทานให้นั้น
เป็นสิ่งที่พิเศษที่สุดอยู่แล้ว
-รับใช้พระเจ้านั้น พระองค์ทรงเลือกเรา
เพื่อให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานในเรา นี่เป็นสิทธิพิเศษซ้อนคือ
การเลือกเราและการทำให้เกิดผล แต่ผลงานที่เกิดนั้น เป็นของเรา
ซึ่งจะเป็นบำเหน็จต่อชีวิตเราในสวรรค์เมื่อเราได้ไปอยู่กับพระองค์
-พระเจ้าเปิดโอกาศให้เราในการรับใช้ พระองค์ไม่ได้เลือกทุกคน
แต่พระองค์ทรงเลือกเรา
เราจะต้องมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าใน 3 สถานะ
 
สถานะที่ 1 : Lord (นาย)
เราต้องมีความสัมพันธ์กับพระองค์ในฐานะที่พระองค์เป็นนาย
ผู้คอยกำหนดงาน และสิ่งที่พระองค์ต้องการให้เราทำ ส่วนเราเป็นบ่าว
ซึ่งต้องเรียนรู้ที่จะทำในสิ่งที่พระเจ้าให้ทำ
ไม่ใช่ทำในสิ่งที่เราอยากทำ
 
สถานะที่ 2 : Jesus (ผู้ช่วย)
พระองค์คือที่พึ่งพาของเรา เป็นที่พึ่งพาของชีวิตที่แท้จริง
จงวางใจในพระองค์ เราต้อง "เชื่อ" และ "ไว้วางใจ" ในพระองค์
และความไว้วางใจนี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนให้เรารับใช้พระองค์
 
สถานะที่ 3 : Christ (พระคริสต์ หมายถึง กษัตริย์)
เราเป็นประชากรของพระเจ้า พระองค์เป็นผู้ปกครองเรา
อยู่ในอาณาจักรของพระองค์ (Kingdom of God)
อยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์ เราต้องทำตามกฎของพระองค์
-พระเจ้าทรงรักเราก่อน แล้วเราล่ะ?
-เราต้อง "ติดสนิท" มีความสัมพันธ์กับพระเยซูอย่างลึกซึ้ง
แล้วพระองค์จะมีแนวทาง สิ่งดีๆที่จะบอกกับเราในทุกวัน

 

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #300: 26 เม.ย. 11, 10:38 น


From: bandhit dawaen
Date: 2011/3/7
 
 
คิดอย่างบัณฑิต โดย บัณฑิต ดาแว่น
 
ที่ที่ควรจะอยู่
 
 
 
อย่าให้ใจท่านทั้งหลายวิตกเลย ท่านวางใจในพระเจ้า [ หรือ
จงวางใจในพระเจ้า ] จงวางใจในเราด้วย
ในพระนิเวศของพระบิดาเรามีที่อยู่เป็นอันมาก
ถ้าไม่มีเราคงได้บอกท่านแล้ว
เพราะเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย
เมื่อเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว
เราจะกลับมาอีกรับท่านไปอยู่กับเรา
เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนท่านทั้งหลายจะได้อยู่ที่นั่นด้วย
และท่านรู้จักทางที่เราจะไปนั้น" (John 14:1-4)
 
 
 
พระเยซูสัญญาว่าในพระนิเวศของพระเจ้านั้นมีห้องมากมาย
เพียงพอสำหรับทุกคนที่รู้จักทางที่ไปถึง นั่นคือ "ทางพระเยซู"
ดังที่ตรัสว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต
ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา" (ยน.14.6)
ทั้งยังสัญญาต่อไปว่า
หลังจากที่ได้ไปจัดเตรียมที่ไว้แล้วจะกลับมารับผู้เชื่อไปอยู่กับพระองค์
 
คำมั่นสัญญาดังกล่าวเป็นหลักประกันที่ทำให้สาวกในขณะนั้นและผู้เชื่อในปัจจุบัน
มีความมั่นใจ คลายความวิตกถึงอนาคต
และความกังวลถึงความเป็นอยู่ประจำวันได้อย่างดี
เพราะทำให้ชีวิตมีเป้าหมาย มีความหวัง
มีกำลังใจที่จะเผชิญกับสิ่งสารพัดไปได้
แม้ไม่อาจรู้ได้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร
แต่ยังสามารถมั่นใจได้เสมอว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะอยู่หรือตาย
ก็จะได้อยู่เคียงข้างกับพระเยซูแน่นอน
และที่สำคัญไม่ใช่เพราะการตะเกียดตะกายด้วยกำลังของตนเอง
แต่โดยพระคุณเพราะความเชื่อในพระเยซูผู้ที่จะกลับมารับผู้เชื่อด้วยพระองค์เอง
(อฟ.2.8-10)โดยระหว่างที่ห่างกันฝ่ายกายนั้นพระเยซูยังประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อเป็นมัดจำให้แก่ผู้เชื่อทุกคนด้วย
(อฟ.1.13-14) ดังที่ยืนยันกับสาวกว่า...
 
"เราได้กล่าวคำเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลาย เมื่อเรายังอยู่กับท่าน
แต่องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้น
จะทรงสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่ง
และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้ว
เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น
เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตก และอย่ากลัวเลย"
(ยน.14.25-27)
 
 
 
ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งไว้พร้อมทุกขั้นตอนแล้ว
มีที่ที่เราควรจะอยู่อย่างเพียงพอ มีหนทางที่จะไป
มีพระผู้ช่วยที่เป็นหลักประกันมัดจำไว้แล้ว คำถามคือ
จำนวนคนที่จะไปนั้นเพียงพอกับปริมาณพื้นที่หรือไม่ ?
มีคนเชื่อเป็นอันมากเหมือนที่พระเยซูเตรียมที่ไว้เป็นอันมากหรือไม่ ?
สถานที่ หรือบริเวณที่คุณและผม และคนเป็นอันมากอยู่ในเวลานี้นั้น
เป็นสถานที่ที่ควรจะอยู่หรือไม่ ?
 
พระเยซูไปจัดเตรียมที่ไว้เป็นอันมากแล้ว ดังนั้น
เป็นหน้าที่ของเราที่จะเตรียมคนเป็นอันมากให้เข้าไปอยู่ในที่ที่สมควรจะอยู่ให้มากขึ้น
เมื่อถึงเวลานั้นจะได้มีเสียงสรรเสริญพระเจ้าดังกึกก้องทั่วฟ้าสวรรค์อย่างสมพระเกียรติ
ตกลงไหมครับ ?

 

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #301: 26 เม.ย. 11, 10:46 น


From: bandhit dawaen
Date: 2011/3/7
 
 
คิดอย่างบัณฑิต โดย บัณฑิต ดาแว่น
 
ที่ที่ควรจะอยู่
 
 
 
อย่าให้ใจท่านทั้งหลายวิตกเลย ท่านวางใจในพระเจ้า [ หรือ
จงวางใจในพระเจ้า ] จงวางใจในเราด้วย
ในพระนิเวศของพระบิดาเรามีที่อยู่เป็นอันมาก
ถ้าไม่มีเราคงได้บอกท่านแล้ว
เพราะเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย
เมื่อเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว
เราจะกลับมาอีกรับท่านไปอยู่กับเรา
เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนท่านทั้งหลายจะได้อยู่ที่นั่นด้วย
และท่านรู้จักทางที่เราจะไปนั้น" (John 14:1-4)
 
 
 
พระเยซูสัญญาว่าในพระนิเวศของพระเจ้านั้นมีห้องมากมาย
เพียงพอสำหรับทุกคนที่รู้จักทางที่ไปถึง นั่นคือ "ทางพระเยซู"
ดังที่ตรัสว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต
ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา" (ยน.14.6)
ทั้งยังสัญญาต่อไปว่า
หลังจากที่ได้ไปจัดเตรียมที่ไว้แล้วจะกลับมารับผู้เชื่อไปอยู่กับพระองค์
 
คำมั่นสัญญาดังกล่าวเป็นหลักประกันที่ทำให้สาวกในขณะนั้นและผู้เชื่อในปัจจุบัน
มีความมั่นใจ คลายความวิตกถึงอนาคต
และความกังวลถึงความเป็นอยู่ประจำวันได้อย่างดี
เพราะทำให้ชีวิตมีเป้าหมาย มีความหวัง
มีกำลังใจที่จะเผชิญกับสิ่งสารพัดไปได้
แม้ไม่อาจรู้ได้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร
แต่ยังสามารถมั่นใจได้เสมอว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะอยู่หรือตาย
ก็จะได้อยู่เคียงข้างกับพระเยซูแน่นอน
และที่สำคัญไม่ใช่เพราะการตะเกียดตะกายด้วยกำลังของตนเอง
แต่โดยพระคุณเพราะความเชื่อในพระเยซูผู้ที่จะกลับมารับผู้เชื่อด้วยพระองค์เอง
(อฟ.2.8-10)โดยระหว่างที่ห่างกันฝ่ายกายนั้นพระเยซูยังประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อเป็นมัดจำให้แก่ผู้เชื่อทุกคนด้วย
(อฟ.1.13-14) ดังที่ยืนยันกับสาวกว่า...
 
"เราได้กล่าวคำเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลาย เมื่อเรายังอยู่กับท่าน
แต่องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้น
จะทรงสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่ง
และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้ว
เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น
เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตก และอย่ากลัวเลย"
(ยน.14.25-27)
 
 
 
ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งไว้พร้อมทุกขั้นตอนแล้ว
มีที่ที่เราควรจะอยู่อย่างเพียงพอ มีหนทางที่จะไป
มีพระผู้ช่วยที่เป็นหลักประกันมัดจำไว้แล้ว คำถามคือ
จำนวนคนที่จะไปนั้นเพียงพอกับปริมาณพื้นที่หรือไม่ ?
มีคนเชื่อเป็นอันมากเหมือนที่พระเยซูเตรียมที่ไว้เป็นอันมากหรือไม่ ?
สถานที่ หรือบริเวณที่คุณและผม และคนเป็นอันมากอยู่ในเวลานี้นั้น
เป็นสถานที่ที่ควรจะอยู่หรือไม่ ?
 
พระเยซูไปจัดเตรียมที่ไว้เป็นอันมากแล้ว ดังนั้น
เป็นหน้าที่ของเราที่จะเตรียมคนเป็นอันมากให้เข้าไปอยู่ในที่ที่สมควรจะอยู่ให้มากขึ้น
เมื่อถึงเวลานั้นจะได้มีเสียงสรรเสริญพระเจ้าดังกึกก้องทั่วฟ้าสวรรค์อย่างสมพระเกียรติ
ตกลงไหมครับ ?

 

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #302: 3 พ.ค. 11, 10:28 น

From: bandhit dawaen
Date: 2011/3/7
 
 
คิดอย่างบัณฑิต โดย บัณฑิต ดาแว่น
 
ที่ที่ควรจะอยู่
 
 
 
อย่าให้ใจท่านทั้งหลายวิตกเลย ท่านวางใจในพระเจ้า [ หรือ
จงวางใจในพระเจ้า ] จงวางใจในเราด้วย
ในพระนิเวศของพระบิดาเรามีที่อยู่เป็นอันมาก
ถ้าไม่มีเราคงได้บอกท่านแล้ว
เพราะเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย
เมื่อเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว
เราจะกลับมาอีกรับท่านไปอยู่กับเรา
เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนท่านทั้งหลายจะได้อยู่ที่นั่นด้วย
และท่านรู้จักทางที่เราจะไปนั้น" (John 14:1-4)
 
 
 
พระเยซูสัญญาว่าในพระนิเวศของพระเจ้านั้นมีห้องมากมาย
เพียงพอสำหรับทุกคนที่รู้จักทางที่ไปถึง นั่นคือ "ทางพระเยซู"
ดังที่ตรัสว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต
ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา" (ยน.14.6)
ทั้งยังสัญญาต่อไปว่า
หลังจากที่ได้ไปจัดเตรียมที่ไว้แล้วจะกลับมารับผู้เชื่อไปอยู่กับพระองค์
 
คำมั่นสัญญาดังกล่าวเป็นหลักประกันที่ทำให้สาวกในขณะนั้นและผู้เชื่อในปัจจุบัน
มีความมั่นใจ คลายความวิตกถึงอนาคต
และความกังวลถึงความเป็นอยู่ประจำวันได้อย่างดี
เพราะทำให้ชีวิตมีเป้าหมาย มีความหวัง
มีกำลังใจที่จะเผชิญกับสิ่งสารพัดไปได้
แม้ไม่อาจรู้ได้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร
แต่ยังสามารถมั่นใจได้เสมอว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะอยู่หรือตาย
ก็จะได้อยู่เคียงข้างกับพระเยซูแน่นอน
และที่สำคัญไม่ใช่เพราะการตะเกียดตะกายด้วยกำลังของตนเอง
แต่โดยพระคุณเพราะความเชื่อในพระเยซูผู้ที่จะกลับมารับผู้เชื่อด้วยพระองค์เอง
(อฟ.2.8-10)โดยระหว่างที่ห่างกันฝ่ายกายนั้นพระเยซูยังประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อเป็นมัดจำให้แก่ผู้เชื่อทุกคนด้วย
(อฟ.1.13-14) ดังที่ยืนยันกับสาวกว่า...
 
"เราได้กล่าวคำเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลาย เมื่อเรายังอยู่กับท่าน
แต่องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้น
จะทรงสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่ง
และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้ว
เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น
เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตก และอย่ากลัวเลย"
(ยน.14.25-27)
 
 
 
ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งไว้พร้อมทุกขั้นตอนแล้ว
มีที่ที่เราควรจะอยู่อย่างเพียงพอ มีหนทางที่จะไป
มีพระผู้ช่วยที่เป็นหลักประกันมัดจำไว้แล้ว คำถามคือ
จำนวนคนที่จะไปนั้นเพียงพอกับปริมาณพื้นที่หรือไม่ ?
มีคนเชื่อเป็นอันมากเหมือนที่พระเยซูเตรียมที่ไว้เป็นอันมากหรือไม่ ?
สถานที่ หรือบริเวณที่คุณและผม และคนเป็นอันมากอยู่ในเวลานี้นั้น
เป็นสถานที่ที่ควรจะอยู่หรือไม่ ?
 
พระเยซูไปจัดเตรียมที่ไว้เป็นอันมากแล้ว ดังนั้น
เป็นหน้าที่ของเราที่จะเตรียมคนเป็นอันมากให้เข้าไปอยู่ในที่ที่สมควรจะอยู่ให้มากขึ้น
เมื่อถึงเวลานั้นจะได้มีเสียงสรรเสริญพระเจ้าดังกึกก้องทั่วฟ้าสวรรค์อย่างสมพระเกียรติ
ตกลงไหมครับ ?

 

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #303: 3 พ.ค. 11, 10:33 น

From: อัมรินทร์ พวงสุมาลย์
Date: 2011/3/15
Subject: ข้อคิดดีๆ จากเหตุการณ์สึนามิที่ผ่านมา
 
 
จากภาพเหตุการณ์สึนามิ ทำให้เข้าใจได้ว่า พระเจ้าทรงใช้เราไปประกาศ
ในเวลาที่พวกเขาสบายดี แต่พวกเขาไม่ฟัง
และนี่คือไม้เรียวจากพระเจ้าสำหรับคนที่ใจแข็งกระด้าง
เป็นวิธีสุดท้ายที่พระองค์จะช่วยมนุษย์ที่ดื้อดึง
ก่อนจะเข้าสู่การพิพากษาที่นิรันดร์
เข้าไปดูภาพเหตุการ์ได้ที่ https://www.thankgod7.com/

 

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #304: 10 พ.ค. 11, 11:21 น

  โรคไม่ติดต่อมัจจุราช    หลีกเลี่ยงได้โดยไม่เกี่ยวดองกับสุราบุหรี่

     องค์การอนามัยโลกระบุโรคเรื้อรัง  หรือโรคไม่ติดต่อ   หากเป็นโรคมัจจุราชซึ่งคร่าชีวิตมนุษย์ลงได้ปีละไม่น้อย   หากแต่สามารถจะป้องกันได้เพียงแค่กลับตัวกลับใจเสียใหม่เท่านั้น

     โรคเหล่านั้นได้แก่  โรคเบาหวาน  มะเร็ง  โรคระบบทางเดินหายใจและโรคหัวใจ  ผู้ที่รักตัวกลัวตาย  จะสามารถหลีกเลี่ยงมันได้   โดยละเว้นปัจจัยเสี่ยงใหญ่ๆเสีย

     ปัจจัยเสี่ยงอย่างแรก  ได้แก่  บุหรี่  ปีหนึ่งๆ จะคร่าชีวิตคนไปเกือบ 6 ล้านคน  และอาจเพิ่มมากเป็น 7.5 ล้านคน  ในปี พ.ศ.2563 นี้  มันทำให้คอยาถึงร้อยละ 71 ตายด้วยโรคมะเร็งปอด

     อย่างที่สอง  การขาดการออกกำลังทำให้ผู้คนต้องเสียชีวิตลงปีละ 3.2ล้านคน   การออกกำลังประจำจะช่วยป้องกันการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด   พวกความดันโลหิตสูง  เบาหวาน  มะเร็งเต้านมและลำไส้   ตลอดจนเศร้าซึมได้

     อย่างที่สาม  ได้แก่สุรา  คร่าผู้คนลงปีละ 2.5ล้านคน

     และอันดับสุดท้าย  ได้แก่  การกินอาหารไม่เหมาะสม  ทำให้เป็นโรคอ้วน  จนมีผู้เสียชีวิตลงปีละอย่างน้อย 2.8ล้านคน.

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #305: 12 พ.ค. 11, 17:59 น

ข่าวประเสริฐของปลอม
 
 
ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจ ที่พวกท่านพากันละทิ้งพระองค์ไปอย่างรวดเร็ว
พระองค์ทรงเรียกท่านมาโดยพระคุณของพระคริสต์
แต่ท่านกลับหันไปหาข่าวประเสริฐอื่นเสีย (กาลาเทีย 1:6)
 
ไม่นานมานี้ ผมดูนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งให้สัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์
เมื่อพูดถึงหัวข้อความบาป นักเทศน์ท่านนั้นกล่าวว่า
"ผมไม่เคยพูดเรื่องบาป ไม่เคยใช้คำว่า 'บาป'
เพราะผู้คนรู้ดีอยู่แล้วว่าตัวเองเป็นคนบาป
ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำให้คนรู้สึกแย่ ผมต้องการยกจิตใจพวกเขาขึ้นครับ"
 
จะอย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่ไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนบาป
และงานของเราไม่ใช่มายกจิตใจผู้คนขึ้น แต่มาชี้ทางไปหาพระเยซูคริสต์ครับ
เราจึงจำเป็นต้องใช้คำว่า "บาป"
 
เดี๋ยวนี้มีข่าวประเสริฐของปลอมเต็มไปหมด
อ.เปาโลเคยเขียนถึงคริสตจักรในกาลาเทียว่า "ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจ
ที่พวกท่านพากันละทิ้งพระองค์ไปอย่างรวดเร็ว
พระองค์ทรงเรียกท่านมาโดยพระคุณของพระคริสต์
แต่ท่านกลับหันไปหาข่าวประเสริฐอื่นเสีย (กาลาเทีย 1:6) แค่บางคนใช้คำว่า
"ข่าวประเสริฐ" ไม่ได้หมายความว่าพวกเขากำลังหมายถึงข่าวประเสริฐแท้
แม้บางคนอ้างว่ากำลังประกาศข่าวประเสริฐ
ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นข่าวประเสริฐแท้
เพราะข่าวประเสริฐจะเป็นของแท้ได้ต้องมีปัจจัยหลายอย่าง
และหนึ่งในนั้นคือการยอมรับว่าทุกคนทำบาป ตามที่ใน 1ยอห์น 1:8 กล่าวไว้
"ถ้าเราทั้งหลายจะว่าเราไม่มีบาป เราก็ลวงตนเอง
และสัจจะไม่ได้อยู่ในเราเลย"
 
ทางเดียวที่จะกำจัดบาปได้คือไม้กางเขน
ถ้าไม่มีการประกาศเรื่องของไม้กางเขน ก็ยังไม่ใช่ข่าวประเสริฐ
การนำเสนอข่าวประเสริฐแห่งพระกิตติคุณต้องประกอบด้วย พระชนม์ชีพ
การสิ้นพระชนม์ และการคืนพระชนม์ขององค์พระเยซูคริสต์ครับ
อ.เปาโลเขียนถึงผู้เชื่อในเมืองโครินธ์ว่า
"เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่แสดงความรู้เรื่องใดๆ ในหมู่พวกท่านเลย
เว้นแต่เรื่องพระเยซูคริสต์และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน"
(1โครินธ์ 2:2)
 
เมื่อใดก็ตามที่มีของแท้ จะมีของปลอมเกิดขึ้น
และพวกมารมีของเลียนแบบทุกรุ่น ทุกขนาด และใช้ได้ในทุกโอกาส -
แม้แต่เรื่องราวข่าวประเสริฐครับ
 
โดย: Pastor Greg Laurie
 
อนุญาตโดย Harvest Ministries with Greg Laurie
 
PO Box 4000, Riverside, CA 92514
 
หมั่นศึกษาพระวจนะนะคะ จะได้ไม่ถูกหลอก
หรือประกาศข่าวประเสริฐออกไปอย่างไม่ถูกต้อง
เราต้องเป็นตัวแทนที่ดีรอบคอบขององค์พระเยซูคริสต์ค่ะ
อธิษฐานเผื่อสถานการณ์โลก ภัยธรรมชาติ ภัยพิบัติ การสงคราม การก่อการร้าย
ฯลฯ เพราะผู้รับผลกระทบเต็มๆไม่ใช่ใครที่ไหน มนุษย์ด้วยกันนี่เอง -
ขอพระเจ้าสถิตย์อยู่ด้วยค่ะ
 
ChurchofJoy.net

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #306: 16 พ.ค. 11, 16:44 น

อดทนระหว่างกระบวนการ
 
from คริสตจักรแห่งความสุข by 9mon
 
ดู ก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายประสบความทุกข์ยากลำบากต่างๆ
ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะท่านทั้งหลายรู้ว่า
การทดลองความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง
และจงให้ความมั่นคงนั้นบรรลุผลอันสมบูรณ์
เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนที่ดีพร้อม มีคุณสมบัติครบถ้วน
ไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย (ยากอบ 1:2-4)
 
พระเจ้าปรารถนาสิ่งใดจากคุณ?
พระองค์ต้องการให้คุณมีประสบการณ์เต็มล้นด้วยพระเยซูคริสต์
และหนทางที่จะนำไปถึงได้คือผ่านการทดลองและความทุกข์ยาก
คุณสามารถอดทนในช่วงกระบวนการเหล่านี้ได้หรือไม่?
ถ้าคุณเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่คืออาจทำไม่ได้
 
เราจะเป็นเหมือนเด็กที่ ไม่รู้จักความแตกต่างระหว่าง "ไม่ได้" และ
"ยังไม่ได้" ถ้าคุณพูดว่า "รอหน่อย" กับเด็กๆ สำหรับพวกเขาแปลว่า
"ไม่ได้" เพราะพวกเขาต้องการในทันที
แต่พระเจ้าทรงสนพระทัยในการฟูมฟักเลี้ยงดูคุณ
มีสุภาษิตของเดนมาร์กกล่าวว่า "ตามใจให้หมูเมื่อมันร้องฮึดๆ
และตามใจให้ลูกเมื่อร้องโยเย คุณจะได้หมูดีมีคุณภาพ
แต่จะได้ลูกนิสัยเสีย" ความทุกข์ยากนำมาซึ่งความอดทน
และความอดทนทำให้เราโตมีวุฒิภาวะเป็นผู้ใหญ่
 
มี สิ่งใดหรือเปล่าที่คุณกำลังรออยู่?
มีเรื่องใดที่คุณกำลังต่อสู้ดิ้นรน?
มอบเรื่องราวเหล่านั้นให้พระเยซูคริสต์
วางใจในเวลาและวิธีการจัดเตรียมที่เหมาะสมจากพระองค์
 
โดย: Pastor Adrian Rogers
 
Love worth finding ministries: www.lwf.org

 

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #307: 18 พ.ค. 11, 15:18 น

AGAPE
8 พฤษภาคม 2554
คำเทศนา โดย อาจารย์ยินดี จัง
 
พระคุณอันล้ำเลิศ
 
พระคุณ (Charis) คือ พระคุณของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์
ไม่คำนึงว่าจะมีคุณงามความดีใดๆ ได้กระทำไว้ หรือเป็นคนบาป
คนที่ไม่สมควรได้รับแต่พระองค์ก็ทรงประทานให้
 
พระคุณของพระเจ้า ต้องมีมากล้นอยู่ในชีวิตของเราเสมอ
 
เอเฟซัส 1 :1 - 10
 
พระคุณอันอุดมสมบูรณ์ล้นเหลือ พระคุณที่เราไม่สามารถอธิบายได้โดยคำของมนุษย์
 
พระคุณของพระเจ้ามักประสบปัญหา 3 ประเด็นหลัก
 
1) ปัญหาเกี่ยวกับสถานภาพ
 
- เมื่อก่อนชีวิตเราอยู่ที่หนึ่งแต่ตอนนี้เปลี่ยนที่อยู่ใหม่แล้ว
 
เอเฟซัส บทที่ 2
 
- พระองค์ยกชีวิตของเราจากที่หนึ่งมาอีกที่หนึ่ง
ที่อยู่ใหม่ของเราคือ เราเป็นลูกของพระเจ้า
 
- สถานภาพของเราเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง
ความเป็นตัวตนของเราในอดีตนั้นไม่ใช่อีกแล้ว เราเป็นคนใหม่ อยู่ที่ใหม่
 
- ที่อยู่ของเราสำคัญ ที่อยู่ของเราคือ ลูกของพระเจ้า
แม้ว่าในสังคมของเราจะเต็มไปด้วยความบาป ความวุ่นวาย
 
- ให้จิตใจเราเหมือนเด็ก เราจะอยู่ไหน ทำอะไร ตลอด 24 ชั่วโมง
ให้มีจุดยืนว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า
 
2) ปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพ
 
2 โครินธ์ 5: 17 : เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์
ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป
นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น
 
- ถ้าเรารับรู้พระคุณของพระเจ้า คุณภาพชีวิตของเราควรตามมา ความคิด
วิสัยทัศน์ และการกระทำ สอดคล้องกับความเป็นลูกพระเจ้า
 
3) ปัญหาเกี่ยวกับอานุภาพ
 
- ข่าวประเสริฐเป็นฤทธิ์เดชของพระองค์
 
- เปาโลประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์เสมอ
 
- ข่าวประเสริฐสำหรับอาจารย์เปาโล คือ วัตถุระเบิด (Dynamite) -
ยิงครั้งเดียว ตายหลายพันคน หมายถึง
การประกาศข่าวประเสริฐครั้งเดียวแต่ถูกกระจายไปสู่คนมากมาย
 
- ผู้ได้รับพระคุณไม่ใช่แค่คนที่นุ่มนวล สุภาพอ่อนน้อมเท่านั้น แต่ทุกๆคนได้รับ
 
ให้ทบทวนถามตัวเองเสมอว่า
 
1) สถานภาพตอนนี้อยู่ที่ไหน
 
2) คุณภาพอยู่ระดับไหน สมกับเป็นลูกแห่งความสว่างไหม
 
3) อานุภาพมีอิทธิพลเพียงใดในสังคม
 
AGAPE เราได้รับฤทธิ์เดชของพระเจ้า ให้เราถ่ายทอดความมั่งคั่งนี้ไปสู่ผู้อื่น

 

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #308: 24 พ.ค. 11, 10:23 น

โรคไม่ติดต่อมัจจุราช    หลีกเลี่ยงได้โดยไม่เกี่ยวดองกับสุราบุหรี่

     องค์การอนามัยโลกระบุโรคเรื้อรัง  หรือโรคไม่ติดต่อ   หากเป็นโรคมัจจุราชซึ่งคร่าชีวิตมนุษย์ลงได้ปีละไม่น้อย   หากแต่สามารถจะป้องกันได้เพียงแค่กลับตัวกลับใจเสียใหม่เท่านั้น

     โรคเหล่านั้นได้แก่  โรคเบาหวาน  มะเร็ง  โรคระบบทางเดินหายใจและโรคหัวใจ  ผู้ที่รักตัวกลัวตาย  จะสามารถหลีกเลี่ยงมันได้   โดยละเว้นปัจจัยเสี่ยงใหญ่ๆเสีย

     ปัจจัยเสี่ยงอย่างแรก  ได้แก่  บุหรี่  ปีหนึ่งๆ จะคร่าชีวิตคนไปเกือบ 6 ล้านคน  และอาจเพิ่มมากเป็น 7.5 ล้านคน  ในปี พ.ศ.2563 นี้  มันทำให้คอยาถึงร้อยละ 71 ตายด้วยโรคมะเร็งปอด

     อย่างที่สอง  การขาดการออกกำลังทำให้ผู้คนต้องเสียชีวิตลงปีละ 3.2ล้านคน   การออกกำลังประจำจะช่วยป้องกันการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด   พวกความดันโลหิตสูง  เบาหวาน  มะเร็งเต้านมและลำไส้   ตลอดจนเศร้าซึมได้

     อย่างที่สาม  ได้แก่สุรา  คร่าผู้คนลงปีละ 2.5ล้านคน

     และอันดับสุดท้าย  ได้แก่  การกินอาหารไม่เหมาะสม  ทำให้เป็นโรคอ้วน  จนมีผู้เสียชีวิตลงปีละอย่างน้อย 2.8ล้านคน.

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #309: 30 พ.ค. 11, 19:39 น

From: Rattasart Sangthin
Date: 2011/5/18
Subject: มาเล่าเรื่องพระเจ้ากัน
 
 
 
โยเอล 1:2-3 ท่านผู้เฒ่าทั้งหลาย ขอจงฟังเรื่องนี้ ชาวแผ่นดินทั้งสิ้น
ขอจงเงี่ยหูฟัง สิ่งเหล่านี้เคยเกิดมาในสมัยของท่าน
หรือเกิดมาในสมัยบรรพบุรุษของท่านบ้างหรือ จงบอกให้ลูกของท่านทราบ
และให้ลูกบอกหลาน และให้หลานบอกเหลนอีกชั่วอายุหนึ่ง
 
 
 
วันนี้ผมขอยกพระธรรมโยเอลตอนนี้มาแบ่งปัน ก็เพราะว่าเมื่อผมได้อ่านในตอนต้น
ผมก็รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจยิ้มกริ่มๆ แบบประมาณว่า อืมมม
พระเจ้าของเราพระองค์ก็ทรงมีอารมณ์ประมาณอยากเล่าเรื่องหรืออยากให้คนของพระเจ้าเล่าเรื่องราวต่างๆ
ให้ลูกหลานฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประวัติศาสตร์ของชนชาติ
และพระราชกิจของพระองค์
 
หากเราได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนคุณปู่ คุณย่า หรือผู้สูงอายุ
เรามักจะได้ยินคำบอกกล่าวหรือเล่าประวัติประสบการณ์ที่ท่านๆ เหล่านี้ได้ผ่านมา
บางเรื่องก็ตื่นเต้น บางเรื่องก็น่าอัศจรรย์ใจ บางเรื่องก็เหมือนนิทาน
แต่แน่นอนทีเดียวสำหรับผม
ผมจะรู้สึกสุขใจทุกครั้งที่มีโอกาสได้คุยและได้ฟังผู้สูงอายุเล่าเรื่องราวต่างๆ
ให้ฟัง
 
พระเจ้าปรารถนาให้เราเล่าเรื่องของพระองค์ ประวัติศาสตร์ชนชาติของพระองค์
พระราชกิจของพระองค์ และ การอัศจรรย์ของพระองค์ ให้กับคนอื่นๆ ได้ฟัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกหลานของเรา
เพราะเหตุการณ์เหล่านี้จะเป็นพื้นฐานของความเชื่อ และปลูกฝังในจิตใจ และ
ความคิดของลูกหลานของเรา รวมไปถึงคนรอบข้างที่ได้ยินได้ฟัง
 
ถ้าวันนี้เราเล่าเรื่องเรยา เล่าเรื่องหนังละคร ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ในชีวิต
ให้เราหันมาเล่าเรื่องพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บ้างจะเกิดประโยชน์มากกว่านะครับ
 
 
 
ขอพระเจ้าอวยพร
 
 
รัฐศาสตร์ สร้างถิ่น
 
คจ.สายธารแห่งชีวิต แบ๊บติสต์
 
1/90 ซอยนาทอง ถ.ประชาสงเคราะห์
 
ดินแดง กรุงเทพฯ 10310
 
โทร. 022745597

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #310: 7 มิ.ย. 11, 10:58 น

หนังสือพื้นฐานที่สำคัญเกี่ยวกับเครือข่ายคริสตจักรตามบ้าน และคริสตจักรเครือข่ายรูปแบบอื่นๆ
โดย ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์
 
พี่น้องครับ ผมใคร่ขอแนะนำหนังสือพื้นฐานที่สำคัญเกี่ยวกับเรื่องเครือข่ายคริสตจักรตามบ้าน
ซึ่งเป็นรูปแบบที่สำคัญรูปแบบหนึ่งของคริสตจักรเครือข่าย
ผมได้ดำเนินการจัดพิมพ์หนังสือเหล่านี้ในภาษาไทยเมื่อหลายปีก่อน
ในครั้งที่ยังเป็๋นผู้อำนวยการของสถาบันคริสเตียนศึกษาและพัฒนาคริสตจักร (ซีอีดี)
เล่มแรก คือ กระแสการตั้งคริสตจักร (Church Planting Movement) โดย เดวิด แกริสัน
เล่มนี้ืถือว่าเป็นสุดยอดเล่มหนึ่ง พูดถึงกระแสการตั้งคริสตจักร
หรือขบวนการตั้งคริสตจักรที่กำลังเกิดไปทั่วโลก ผมมีโอกาสพบปะพูดคุยกับผู้เขียนด้วยตนเอง
เขาทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ในทั่วโลก จนสามารถสรุปเป็นทฤษฎีที่น่าเชื่อถือ
เล่มนี้กลายเป็นตำราหลักเล่มหนึ่งของบรรดานักพันธกิจวิทยา มิชชันนารี
และนักตั้งคริสตจักรรุ่นใหม่ทั่วโลกครับ หนังสือเล่มนี้ได้แย้งทฤษฎีเดิมๆ
ในเรื่องงานมิชชั่นและการตั้งคริสตจักรอย่างมาก
และที่น่าสนใจด้วยคือมีตัวอย่างกรณีที่เกิดในประเทศเพื่อนบ้านของไทยคือประเทศกัมพูชา
น่าสนใจมากครับ
ลืมบอกไปว่าหนังสือเล่มนี้จำหน่ายพร้อมวีซีดีเหตุการณ์จริง แนบอยู่ที่ปกหลังด้วยครับ
 
 
เล่มที่สองคือ เครือข่ายคริสตจักรตามบ้าน (House Church Network) โดย ลาร์รี่ ไครเดอร์
ผมได้พบผู้เขียนท่านนี้ด้วยตนเองเช่นกัน
ผู้เขียนท่านนี้ทำเรื่องเครือข่ายคริสตจักรตามบ้่านมาด้วยตนเอง รวมทั้งหาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ ด้วย
และได้สรุปเป็นทฤษฎีที่น่าสนใจมาก เช่น บอกว่า
คริสตจักรส่วนใหญ่ในโลกคือคริสตจักรเดี่ยวขนาดเล็ก ซี่งเปรียบได้กับร้านโชห่วย
แต่คริสตจักรทุกวันนี้ส่วนใหญ่อยากเป็นเมก้าเชิร์ช (หรือคริสตจักรยักษ์) ซึ่งเปรียบได้กับ
ห้างวอลมาร์ท (หรือแบบไทยก็ห้างแบบแมคโคร โลตัส นั่นเอง) แต่ที่จริงแล้วก็ไม่จำเป็น
แต่ก็มีคริสตจักรอีกแบบหนึ่งที่ควรจะเกิดขึ้น คือคริสตจักรแบบเครือข่ายคริสตจักรเล็ก
หรือเครือข่ายคริสตจักรตามบ้าน ซึ่งเปรียบเทียบได้กับ เซเว่นอีเลฟเว่น
คือกลุ่มเครือข่ายของคริสตจักรขนาดเล็กที่กระจายไปทั่ว
แต่แตกต่างกับคริสตจักรแบบโชห่วยก็คือคริสตจักรเล็กเหล่านี้มีการเชื่อมโยงกัน ช่วยเหลือกัน
เคลื่อนไปด้วยกันจนเป็นเหมือนคริสตจักรเดียวกัน
 
เล่มที่สามคือ เริ่มตั้งคริสตจักรตามบ้าน โดย เฟลิซิตี้ เดล ผมได้พบปะพูดคุยกับผู้เขียน
มาแล้วด้วยตนเองเช่นกัน เป็นหญิงเหล็กที่ทุ่มเทเรื่องการตั้งคริสตจักรตามบ้านอย่างมาก
เดินทางไปสอนเรื่องนี้ตามสัมนาต่างๆ ทั่วสหรัฐ หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้เรารู้สึกได้เลยว่า
การตั้งคริสตจักรเป็นเรื่องง่ายๆ ง่ายมากๆ อยากทำก็ทำได้เลย เมื่อเราอ่านแล้วจะรู้สึกว่า
เราตั้งคริสตจักรได้ และทำได้เดี๋ยวนี้เลย!
 
ส่วนเล่มที่สี่ คือ ตั้งคริสตจักร โดย ผมเป็นผู้เีขียนเอง
เล่มนี้ที่จริงแล้วถูกเขียนขึ้นเป็นหลักการพื้นฐานของการตั้งคริสตจักรในทุกแนว
แต่จุดแข็งคือมีความเป็นภาคปฏิบัติมากๆ และเข้าใจง่ายมากๆ
สามารถช่วยให้คริสเตียนทุกคนตระหนักได้ว่า เราทุกคนล้วนตั้งคริสตจักรได้ และทำได้หลายๆ แบบ
ตามแต่ความพร้อม ของประทาน และนิมิตภาระใจ ทั้งสี่เล่มนี้ ติดต่อได้ที่
สถาบันคริสเตียนศึกษาและพัฒนาคริสตจักร (ซีอีดี) สถานที่ตั้ง: 433/11 ซอยสวนพลู 8
ถนนสาทรใต้ ยานนาวา กรุงเทพ 10120 โทร 022861067-8 Fax: 022131259 Email:
ced@cedthai.org
 
 
หนังสือดีๆ ที่ให้ความเข้าใจเรื่องนี้ยังมีอีกหลายเ่ล่ม
แต่หนังสือทั้งสี่เล่มนี้สามารถเป็นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับพี่น้องที่ประสงค์จะเริ่มตั้งคริสตจักรโดยเฉพาะอย่างคริสตจักรเครือข่ายในรูปแบบคริสตจักรตามบ้าน
 
 
เดินหน้าไปด้วยกันครับ "Work Together We Can Do More"
 
 
--
เขียนโดย Blogger ถึง www.KaoChristian.com เวลา 6/05/2011 10:10:00 หลังเที่ยง

 

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #311: 18 มิ.ย. 11, 16:43 น

เคล็ดลับเพื่อสุขภาพดี & อายุยืนนาน

รับสอนเพาะกายฟิตเนสเพื่อสุขภาพอายุยืนนาน ไม่ใช้ยาทุกประเภททุกชนิด (สอนตัวต่อตัว)
ผู้สอนมีประสบการณ์ในการออกกำลังกายทั้งชีวิต
ผู้สอนได้รับคำชมเชยกล้ามเนื้อคมชัด 2 ปีซ้อนจากรายการแข่งขันงัดข้อที่พัทยา
กระผมเปิดบ้านสอนเพาะกายฟิตเนสเพื่อสุขภาพ
ผู้ที่สนใจ   สามารถทดสอบความแข็งแรงของผมได้   ด้วยวิธีการงัดข้อ
ผู้ที่น้ำหนักตัวไม่เกิน 60 กิโลกรัม   งัดข้อชนะผมได้
จะได้เงินเติมมือถือฟรี 500 บาท    แต่ถ้าแพ้จะไม่เสียอะไรเลย
สนใจรายละเอียดโทร 089-1637891

 น้ำหนักเกิน และ อ้วน



น้ำหนักเกิน หมายถึง น้ำหนักโดยรวมของร่างกายมากกว่ามาตรฐาน
ซึ่งน้ำหนักโดยรวมนี้คิดรวมจากกระดูก กล้ามเนื้อ ไขมันและ/หรือนิ่ว
ภาวะอ้วน หมายถึง
ร่างกายมีปริมาณไขมันสะสมสูงเกินไปโดยในเพศชายมีไขมันเกิน 25%
และผู้หญิงมีไขมันในร่างกายเกิน 30% ของปริมาณไขมันในร่างกายทั้งหมดถือว่า
อ้วน
ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินหรืออ้วนจะเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ความดันสูง
โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคข้อ และโรคไต
จะทราบได้อย่างไรว่าอ้วน
โดยการวัดดัชนีมวลกาย (Body mass index, BMI: บีเอ็มไอ)

โดยสูตรบีเอ็มไอ = นน.ตัว (กก.) / ส่วนสูง (เมตร )ยกกำลัง2 = นน.ตัว (กก.) หาร
ส่วนสูง (เมตร)ยกกำลัง2
ตัวอย่าง ชายน้ำหนัก 70 กก. สูง 1.70 เมตร จะสามารถคำนวณได้ดังนี้
บีเอ็มไอ = 70/(1.70)ยกกำลัง2 = 23.66
ถ้า บีเอ็มไอ มากกว่า 26 ในคนไทยถือว่า อ้วน
ตำแหน่งที่ไขมันสะสมมีส่วนทำนายการพยากรณ์โรค กล่าวคือ
ถ้าตำแหน่งที่ไขมันสะสมอยู่รอบเอว
จะเสี่ยงต่อโรคต่างๆที่ตามมามากกว่าไขมันสะสมที่สะโพก
*ผู้ที่อ้วนเกินไปจะทำให้ไตทำงานหนัก ดังนั้นไตจึงมักเสื่อมหน้าที่เร็วขึ้น
เพราะผู้ที่มีน้ำหนักมากเกินไปจะมีโปรตีนรั่วในปัสสาวะเพิ่มขึ้น
เพราะความอ้วนจะไปกดทับหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไตทำให้ความดันภายในไตสูงขึ้น
โปรตีนที่รั่วนี้จะเป็นตัวทำลายไต
การเปลี่ยนแปลงนี้จะดีขึ้นถ้าน้ำหนักตัวลดลง
จึงควรควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วน*

 

 

ชีวิตแขวนอยู่กับขนาดรอบเอว เอวโตส าเหตุใหญ่โรคหัวใจวาย 
ผลการสำรวจในหลายประเทศทำให้รู้ว่า
อย่าว่าแต่คนทั่วไปเลยแม้แต่แพทย์บางคนก็ยังไม่ทันนึกรู้ว่า
ไขมันแถวพุงและการมีเอวโตใหญ่เป็นตัวการร้าย
เป็นเหตุให้ล่อแหลมกับการเป็นโรคหัวใจ ซึ่งคร่าชีวิต
มนุษย์ทั่วโลกลงปีหนึ่งๆ มากถึง 17 ล้านคน
ผลการสำรวจทำให้ได้ทราบว่ามีเพียงคนไข้เพียงไม่กี่คนและหมอสัก 60%
เท่านั้น ที่รู้ดีว่ายิ่งเอวโต
เท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เสี่ยงกับโรคหัวใจวายยิ่งขึ้น
คนทั่วไปในปัจจุบันอาจจะรู้ว่าการปล่อยตัวให้อ้วน ทำให้
เป็นโรคหัวใจและอัมพาตง่ายขึ้น
แต่ไม่ได้คิดว่าบริเวณที่ไขมันเก็บสะสมอยู่ที่ไหน นั่นแหละยิ่งสำคัญกว่า
ศาสตราจารย์ซิดนีย์ สมิธ แห่งมูลนิธิโรคหัวใจ ที่นครเจนีวา
กล่าวว่าการปล่อยให้ขนาดของเอวโต
ต้องถือว่าเป็นเรื่องเสี่ยงกับการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจที่สำคัญมาก
ที่ถูกที่ควรแล้ว ควรจะให้มีการตรวจ
วัดขนาดรอบเอว ซึ่งไม่ต้องเสียอะไรเลย ร่วมกับการตรวจวัดอย่างอื่น เช่น
ความดันโลหิต ระดับไขมันและ&nb sp;
กลูโคสในเลือด เมื่อตรวจหาความเสี่ยงต่อโรคหัวใจด้วยซ้ำ
เขาชี้แจงต่อไปว่า สำหรับคนเอเชียแล้ว
ขนาดรอบเอวของผู้ชายที่วัดได้ถึง 90 ซม. และผู้หญิง 80 ซม.
ต้องถือว่าเป็นขนาดที่เสี่ยงกับการเป็นโรคหัวใจมาก
การสำรวจและสอบถามครั้งนี้ทำกับหญิงชายประมาณ 11,077 คน
ในชาติต่างๆ 27 ชาติ เพื่อ
หยั่งถึงความรอบรู้ในเรื่องโรคหัวใจของคนทั่วไป
อันเป็นโรคเพชฌฆาตใหญ่ที่สุดแห่งโลกสมัยอุตสาหกรรม.

 

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #312: 18 มิ.ย. 11, 16:56 น

From: bandhit dawaen
 

 
**
 
*คิดอย่างบัณฑิต โดย บัณฑิต ดาแว่น*
 
*
*
 
คนดีที่รอคอย 2
 
 
อ่านต้นฉบับได้ที่ ...https://bandhit.blogspot.com/2011/06/2.html
 
 
กระบวนการคัดเลือกตัวแทนในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของไทยเรานั้น
ได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง มีล้มลุกคุกคลานบ้าง
ถือว่าเป็นจังหวะลีลาวิถีชีวิตของคนในแต่ละยุคสมัย ไม่ว่าวันเวลา สถานการณ์
จะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่หัวใจสำคัญของการเลือกตัวแทนยังไม่เคยเปลี่ยน นั่นคือ
เราต้องการ คนดี คนเก่ง คนซื่อสัตย์เข้าไปนั่งในสภาอันทรงเกียรติ
เพื่อเป็นกระบอกเสียง และตัวแทนในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ
ของบ้านเมืองที่ประชาชนทุกคนนั้นเป็นเจ้าของ
ดังนั้นต้องตระหนักในเรื่องนี้ให้ดีก่อนคือ
คนที่เราจะเลือกนั้นต้องเต็มใจเป็นผู้รับใช้ประชาชน
ไม่ใช่เป็นเจ้านาย และไม่ใช่คนที่จะเข้าไปเพื่อหวังกอบโกยประโยชน์ส่วนตน
แต่ต้องเป็นคนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ย้อนกลับไปยุคโบราณก่อนคริสตกาล
ได้กำหนดคุณสมบัติของ
คนดี เพื่อจะคัดเลือกเป็นตัวแทนของประชาชน ตามการบันทึกของพระธรรมอพยพที่ว่า...
 
 
" ท่านจงเลือก*คนที่สามารถ*จากพวกประชาชน คือ*คนที่ยำเกรงพระเจ้า* *ไว้ใจได้*
และ*ไม่กินสินบน* แต่งตั้งคนอย่างนี้ไว้เป็นผู้ปกครองคนพันคนบ้าง ร้อยคนบ้าง
ห้าสิบคนบ้าง สิบคนบ้าง ให้เขาพิพากษาความของประชาชนอยู่เสมอ ส่วนคดีใหญ่ๆ
ก็ให้เขานำมาแจ้งต่อท่าน แต่คดีเล็กๆน้อยๆให้เขาตัดสินเอง การงานของท่านจะเบาลง
และพวกเขาจะแบกภาระร่วมกับท่าน ถ้าทำดังนี้และพระเจ้าทรงบัญชาแล้ว
ท่านก็จะสามารถทนได้ *ประชาชนทั้งปวงนี้ก็จะไปยังที่อาศัยของเขาด้วยความสงบสุข"
*
 
*
*
 
จากข้อความเหล่านี้ คุณลักษณะของคนดีที่เรารอคอยในยุคปัจจุบันก็ไม่ต่างกันคือ
 
*หนึ่ง* เราต้องการคนที่มีความสามารถ ทำงานได้ ทำงานเป็น
 
*สอง* เราต้องการคนที่ยำเกรงพระเจ้า หรือคนดำเนินชีวิตอยู่ในศีลธรรมที่ดีงาม
 
*สาม* เราต้องการคนที่ไว้ใจได้ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งก่อน
และหลังเลือกตั้ง
 
*สี่ *เราต้องการคนที่ ไม่กินสินบน ไม่ทุจริต คอรัปชั่น ไม่ฉ้อราษฎร์บังหลวง
 
*ห้า* เราต้องการคนที่จะทำให้ประชาชนมีความสงบสุขร่มเย็น
สามารถทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยความปลอดภัย
 
 
ถ้านับข้อดีได้ 5 ข้อก็เลือกได้เลย แม้จะหายากสักหน่อย แต่
เรายังมีความเชื่อเสมอว่าประเทศไทยยังไม่สิ้นคนดี
เพียงแต่ว่าคนดีคนนั้นจะกล้าออกมาอาสาสมัครเป็นตัวแทนมากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง
เท่าที่มีคนเสนอตัวออกมาบ้างแล้วก็เป็นโอกาสที่จะพิจารณาตามบรรทัดฐานที่นำมาเสนอได้
ขอให้เรามองหาคนดีที่รอคอยคนนั้นต่อไป
อย่าคาดหวังให้คนอื่นเป็นคนดีเท่านั้น
ตัวเราเองนี่แหละควรเป็นคนดีที่ให้คนอื่นรอคอยได้ด้วย
*คุณว่าจริงไหมครับ ?*

 

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #313: 4 ก.ค. 11, 19:38 น

กินถั่วและผลไม้มากขึ้นช่วยลดน้ำหนักได้

     สำหรับคนที่มีความมุ่งมาดปรารถนาจะลดน้ำหนักส่วนเกิน   ถ้าได้ยินสูตรอาหารลดน้ำหนักที่ไหนเป็นต้องหูผึ่ง   แต่สิ่งที่จะบอกวันนี้ไม่ใช่สูตรอาหารใดๆ

     เพียงแต่เป็นการสรุปเน้นย้ำมาจากนักวิจัยอีกครั้งที่บอกว่าการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพในปริมาณที่มาก  เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้เรือนร่างผอมเพรียว  ดีกว่าไปอดอาหารกันอย่างเอาเป็นเอาตาย

     ทีมนักวิจัยคณะสาธารณสุขศาสตร์ของฮาร์วาร์ดพบว่า  คนที่กินอาหารที่มีกากใยสูง  อย่างถั่ว  ผลไม้  โยเกิร์ต  และผัก  ในปริมาณที่มากกว่า  จะลดน้ำหนักได้จริง  โดยพวกเขาเชื่อว่าการกินอาหารมีกากใยมากๆอย่างที่ว่ามาจะช่วยกันพื้นที่อาหารที่มีไขมันให้อยู่ในตัวเราได้น้อยลง

     การศึกษาครั้งนี้ติดตามพฤติกรรมผู้เข้าร่วมศึกษาจำนวนมากถึง 120,000 คน  เป็นเวลากว่า 20 ปี และตีพิมพ์ผลการศึกษาลงในวารสารวิชาการนิวอิงแลนด์เจอร์นัล ออฟเมดิซิน   ยังบอกด้วยว่า  ไม่เป็นที่น่าประหลาดใจเลยที่พบว่าอาหารที่มีความเชื่อมโยงกับการเพิ่มน้ำหนักอย่างมากก็คือ  มันฝรั่งทอด  ส่วนพวกที่ให้ผลคล้ายกันก็คือ  คนที่กิน เครื่องดื่มผสมน้ำตาลในปริมาณมากและเนื้อ  ก็จะทำให้น้ำหนักเพิ่มเช่นกัน

    อย่างไรก็ตาม  พอหันมาดูกลุ่มที่กินอาหารในกลุ่มจำพวกโยเกิร์ต  ผัก  ผลไม้  และเมล็ดธัญพืช  เป็นประจำจะพบว่าน้ำหนักเพิ่มขึ้นน้อยมาก  ยกตัวอย่างเช่น  การกินโยเกิร์ตเพิ่มขึ้น  จะช่วยให้น้ำหนักลดลง 0.37 กิโลกรัม และถ้ากินผักเพิ่มขึ้น จะช่วยลดน้ำหนักลงได้ 0.1 กิโลกรัม

    ดาเรียช  โมซาฟฟาเรียน  รองศาสตราจารย์จากฮาร์วาร์ด  หัวหน้าคณะผู้ศึกษาครั้งนี้บอกว่า  กากใยที่มีอยู่ในอาหารเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่อธิบายได้ในผลกระทบที่เกิดขึ้น   อาหารที่มีกากใยสูงขึ้นและกระบวนการย่อยอาหารที่ช้าลงของอาหารเหล่านี้จะช่วยให้อิ่มนาน  และเมื่อกินอาหารเหล่านี้เพิ่มมันก็จะไปทดแทนการกินอาหารอื่นลง.

 

 

Tags:
add
ตอบโดยอ้างถึงข้อความอ้างถึง
Re : *ชีวิต + ความจริง + ความรัก = คืออะไร?*
        ความคิดเห็นที่ #314: 28 ก.ค. 11, 11:31 น

ชายผู้นี้ชื่อเจฟฟ์ เขาเสียชีวิตจากหัวใจวายอย่างรุนแรง
จนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจได้เซ็นต์ชื่อว่าเสียชีวิตไปแล้ว
แต่แพทย์ได้รับการดลใจให้อธิษฐานขอการอัศจรรย์เพื่อชุบเจฟฟ์ที่ตายแล้วให้ฟื้นขึ้น
และเจฟฟ์ก็ยังไม่ได้เชื่อในพระเจ้า
แพทย์ก็ได้ยอมเชื่อฟังและอยากจะใ้ห้เกิดการอัศจรรย์ที่จะเป็นการถวายเกียรติพระเจ้า
ได้อธิษฐานเพื่อคนตายต่อหน้าพยาบาลผู้ช่วยซึ่งงงกับการกระทำของหมอมาก หลังจากอธิษฐานแล้ว
แพทย์ก็ทำการช๊อคหัวใจเจ๊ฟฟ์อีกครั้ง แล้วเจฟฟ์ก็ได้กลับฟื้นขึ้นจากความตายอย่างอัศจรรย์
แล้วเจ๊ฟฟ์ และครอบครัว ก็ได้ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด
 
 

Tags:

หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 8
ตอบ
ชื่อ:
กระทู้:
ไอค่อนข้อความ:
ตัวหนาตัวเอียงตัวขีดเส้นใต้จัดย่อหน้าชิดซ้ายจัดย่อหน้ากึ่งกลางจัดย่อหน้าชิดขวา


[เพิ่มเติม]
ขอความร่วมมือท่านสมาชิก และผู้ใช้บริการเว็บบอร์ด
ห้ามมิให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ทั้งเนื้อหาและภาพของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
แนบไฟล์: (แนบไฟล์เพิ่ม)
ไฟล์ที่อนุญาต: gif, jpg, jpeg
ขนาดไฟล์สูงสุดที่อนุญาต 20000000 KB : 4 ไฟล์ : ต่อความคิดเห็น
ติดตามกระทู้นี้ : ส่งไปที่อีเมลของสมาชิกสนุก
  ส่งไปที่
พิมพ์อักษรตามภาพ: พิมพ์ตัวอักษรที่แสดงในรูปภาพ
หากท่านพบเห็นการกระทำ หรือพฤติกรรมใด ๆ ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รวมถึง การใช้ข้อความที่ไม่สุภาพ พฤติกรรมการหลอกลวง การเผยแพร่ภาพลามก อนาจาร หรือการกระทำใด ๆ ที่อาจก่อให้ผู้อื่น ได้รับความเสียหาย กรุณาแจ้งมาที่ แนะนำติชม
  • ข้อความของคุณอยู่ในกระทู้นี้
  • กระทู้ที่ถูกใส่กุญแจ
  • กระทู้ปกติ
  • กระทู้ติดหมุด
  • กระทู้น่าสนใจ (มีผู้ตอบมากกว่า 15 ครั้ง)
  • โพลล์
  • กระทู้น่าสนใจมาก (มีผู้ตอบมากกว่า 25 ครั้ง)
:  
ทางสนุก! จะทำการตรวจสอบ
และขออนุญาตไม่แสดงข้อความ
ที่ไม่เหมาะสม ข้อความที่
ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่
สถาบันชาติ ศาสนา
พระมหากษัตริย์ รวมถึงข้อความที่
เข้าข่ายหลอกลวง การเผยแพร่
ภาพลามกอนาจาร หรือข้อความ
ใดๆ ที่ทำให้ผู้อื่นได้รับความ
เสียหาย บนกระทู้นี้