หน้า: 1 ... 3 4 5 6 7 8 9 10 11

ชนิดกระทู้ ผู้เขียน กระทู้: สาวบริสุทธิกับสาวไม่บริสุทธิต่างกันยังไง  (อ่าน 106446 ครั้ง)
add
เรทกระทู้
« ตอบ #405 เมื่อ: 21 พ.ย. 10, 13:26 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
Send E-mail

แบ่งปันกระทู้นี้ให้เพื่อนคุณอ่านไหมคะ?

ปิดปิด
 


ยุทธภัณฑ์ป้องกันมาร (Spiritual Armor Against the
Devil)

โดย ปัทมโรจน์ มากสุริวงศ์ คริสตจักรแห่งพระบัญชา กรุงเทพฯ

จากพระธรรม เอเฟซัส บทที่ 6:10-17 พระธรรมตอนนี้ อัครทูตเปาโล
กล่าวถึงการเตรียมรับมือกับมารซาตานในสงครามฝ่ายวิญญาณ
โดยให้ผู้เชื่อดำเนินชีวิตอย่างระมัดระวัง รับกำลังที่มาจากพระเจ้า
และสวมยุทธภัณฑ์ให้พร้อม เพื่อจะมีชัยชนะในสงครามฝ่ายวิญญาณ ยุทธภัณฑ์ทั้ง 6 ชิ้น
ในการป้องกันมารซาตาน มีดังนี้
1. ความจริง (ข้อ 14ก) (The belt of truth) "เหตุฉะนั้นท่านจงมั่นคง
เอาความจริงคาดเอว..."
พระวจนะเปรียบความจริงเป็นเข็มขัดที่คาดเอวเพื่อทำให้ชุดออกรบมีความกระชับและพร้อมสำหรับการต่อสู้เสมอ
อันเป็นการสะท้อนความหมายว่า
ให้เรายึดความจริงแห่งข่าวประเสริฐและความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าไว้
ในการรบของสงครามฝ่ายวิญญาณก็เช่นเดียวกัน คริสตชนต้องรู้กาลเวลา ในการทำการรบ
*"รู้เขา รู้เรา
รบร้อยครั้งชนะทั้งร้อยครั้ง"*เราต้องตั้งมั่นคงในความจริงแห่งพระวจนะและรู้กลอุบายของศัตรู(อฟ.6:10-14)
และเคลื่อนทัพไปตามการทรงนำและเวลาอขงพระเจ้า
2. ความชอบธรรม (ข้อ 14ข) (The breastplate of righteousness) "...
เอาความชอบธรรมเป็นทับทรวงเครื่องป้องกันอก"
ความชอบธรรมเป็นเสมือนเครื่องป้องกันใจของเรา

มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ กำแพงเมืองจีน
หนึ่งในสุดยอดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น
กล่าวกันว่าต้องใช้เงินและแรงงานคนจำนวนมหาศาลในการก่อสร้าง
ด้วยหวังว่าเมื่อสร้างเสร็จแล้ว
ความยิ่งใหญ่ของกำแพงจะช่วยปกป้องอาณาจักรของจากศัตรูผู้รุกรานได้ แต่ปรากฏว่า
ข้าศึกสามารถเข้ามาโจมตีเมืองได้ถึง 3 ครั้ง
โดยไม่ต้องทำลายกำแพงเมืองให้เสียหายแต่อย่างใด ...
ข้าศึกสามารถเข้าเมืองได้ด้วยวิธีใด
ก็ด้วยวิธีง่าย ๆ คือการติดสินบนทหารยามที่เฝ้าประตูเมืองเพื่อให้เปิดประตูให้
"...ความล้มเหลวของกำแพงเมืองจีนอยู่ที่คน คนไม่ซื่อสัตย์
มักสร้างความเสียหายอันยิ่งใหญ่เสมอ..."
ชีวิตของเราก็เช่นเดียวกัน ความไม่ชอบธรรมในชีวิตของเรา
จะนำผลเสียหายมาสู่ชีวิตของเราได้ อย่าปล่อยให้มารมาติดสินบน
ใช่เล่ห์กลล่อลวงเราให้หลง เปิดช่องประตูใจให้มารเข้าไปโจมตี
แต่จงสวมความชอบธรรมเป็นเกราะป้องกันประตูใจของเรา เอเมนไหมครับ
ในช่วง 40วันที่เราเตรียมใจอธิษฐานเผื่อประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1ต.ค.ถึง 9 พ.ย.
2010นี้ เราจะเป็นคนทหารยามที่เฝ้ายามที่กำแพงอธิษฐานเผื่อ อุดช่องโหว่ที่
ผมเชื่อว่า หลังจากการสัมมนา "Refining Fire for Revival:ไฟชำระสู่การฟื้นฟู"
ในวันที่ 15 -17 ต.ค.นี้โดย Dr.Chuck Pierce และทีมงานจาก Glory of Zion
คริสตจักรทั่วประเทศไทยจะเห็นการฟื้นฟูจากพระเจ้า
"ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ด้วยไฟแห่งการฟื้นฟู"
3.ข่าวประเสริฐ (ข้อ 15) (The gospel of peace) "และเอาข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข
ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความพรั่งพร้อมมาสวมเป็นรองเท้า"

รองเท้าของทหารโรมันในเวลานั้น จะมีสายรัดเพื่อยึดเท้าให้แน่น
และที่พื้นรองเท้ามีการตอกตะปูไว้สำหรับยึดกับพื้นดิน
เพื่อเวลาทำการสู้รบจะยืนได้อย่างมั่นคง
สะท้อนการดำเนินชีวิตที่ยึดมั่นในข่าวประเสริฐ
และการประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุขออกไปในทุกที่ทุกแห่ง
ฉะนั้นความงดงามของเท้าผู้เชื่อ
คือการสวมรองเท้าแห่งข่าวประเสริฐออกไปตามการประกาศข่าวดีให้กับทุกคน

4. ความเชื่อ (ข้อ 16) (The shield of faith) พระวจนะกล่าวว่า
"...จงเอาความเชื่อเป็นโล่
ด้วยโล่นั้นท่านจะได้ดับลูกศรเพลิงของพญามารเสีย"
อาวุธชนิดหนึ่งที่มารซาตานใช้โจมตีผู้เชื่อ
คือการหลอกลวงและการทำให้สงสัยในพระสัญญา ในความดีงาม และในความรักของพระเจ้า
โล่แห่งความเชื่อ จึงสามารถดับศรเพลิงแห่งการโป้ปดนี้ได้ และเมื่อเราเชื่อ
เราจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า มีสุภาษิตบทหนึ่งกล่าวว่า
*เขา.. .ผู้สูญสิ้นทรัพย์สินไป เขา..สูญเสียมากเหลือเกิน
เขา... ผู้สูญสิ้นเพื่อนไป เขา..สูญเสียมากกว่า
เขา... ผู้สูญสิ้นความเชื่อศรัทธา เขาผู้นั้น..สูญเสียทั้งหมด
("He who loses money, loses much; He who loses a friend, loses more; He who
loses faith, loses all.")*
วันนี้ขอให้เรารักษาความเชื่อไว้อย่างเต็มกำลัง จนกว่าจะถึงวันสุดท้าย (*2 ทธ.
4:7 )* เอเมนไหมครับ

5. ความรอด (ข้อ 17ก) (The helmet of salvation) พระวจนะกล่าวว่า"
จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ..." ศีรษะเป็นอวัยวะที่สำคัญ
เป็นศูนย์รวมความคิดและการสั่งการไปยังร่างกาย
เราก็จะยังคงรักษาความรอดที่พระเจ้าประทานให้แก่เราได้
ที่ประเทศอิตาลี ศิลปินหนุ่มคนหนึ่ง พยายามที่จะแกะสลักหินอ่อน
รูปปั้นทูตสวรรค์ ศิลปินหนุ่มคนนี้ ใช้ความพยายามอย่างมาก ลงมือ ลงแรง
และใช้เวลายาวนาน เมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้ว ศิลปินหนุ่มคนนี้ก็ได้ ขอให้

ไมเคิลแองเจลโล มาตรวจดู รูปปั้นหินอ่อนอันนี้ ไมเคิลแองเจลโล
ตรวจดูอย่างละเอียด ถี่ถ้วน ทุกกระเบียดนิ้ว มันดูเหมือนจะเป็นงานที่สมบูรณ์แบบ
ไร้ที่ติ แม้แต่นิดเดียว
แต่แล้ว หัวใจของ ศิลปินหนุ่มคนนี้ ก็แทบจะแตกสลาย เมื่อได้ยิน ไมเคิลแองเจลโล
พูดบอกว่า "มันขาดเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น !" เวลาผ่านไป ศิลปินหนุ่มคนนี้
ต้องไปถาม ไมเคิลแองเจลโล ถึงความหมายของ คำพูดในวันนั้น
ไมเคิลแองเจลโล ตอบบอกว่า "สิ่งที่ขาดเพียงสิ่งเดียว คือชีวิต !"
ผู้ดำเนินชีวิตห่างไกลจากพระเจ้าก็ไม่ต่างกับรูปปั้นที่ขาดชีวิต

วันนี้ขอให้เรามีชีวิตกับพระเจ้า
มั่นใจในความรอดที่มาผ่านทางพระโลหิตของพระเยซูคริสต์
ดำเนินกับพระองค์อย่างคนที่รู้จักกันอย่างสนิทสนมแล้วชีวิตของเราจะมีชีวิต
ทั้งชีวิตในฝ่ายกายภาพที่สดชื่น เข็มแข็งเสมอยามเผชิญปัญหา และชีวิตฝ่ายวิญญาณ
คือ ความรอดที่ได้รับจากพระเจ้า
6. พระวจนะ (ข้อ 17ข) (God's word: the sword of the Spirit) พระวจนะกล่าวว่า
"...จงถือพระแสงของพระวิญญาณ คือ พระวจนะของพระเจ้า"
การต่อสู้ด้วยพระแสงดาบเป็นภาพการโต้ตอบกลับไป
เราต้องโต้ตอบการโจมตีของมารด้วยพระวจนะ คือสัจธรรมความจริงของพระเจ้า
ที่ถูกสำแดงผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์
เมื่อเราต่อสู้อย่างเต็มกำลังโดยยึดพระวจนะไว้ มารซาตานก็จะพ่ายแพ้ไปในที่สุด (
ยก.4:7)
ถึงเวลาแล้วที่คริสตชนต้องตอบโต้กลับ (Strike back!)
พญามารให้พ่ายแพ้แตกทัพกลับบ้านเก่า
ด้วยการอธิษฐานซึ่งเป็นเสมือนปืนใหญ่ฝ่ายวิญญาณที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงในการจัดการกับมาร(
อฟ.6:18) เพราะพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่กางเขน
ได้จัดการมารและประจานมารถึงความพ่ายแพ้ไปแล้ว
ขอคืนพื้นที่ของโลกนี้คืนจากมารที่แอบอ้างครองอยู่
และขอให้แผ่นดินของพระเจ้ามาตั้งอยู่ (มธ.6:10)
และเราทั้งหลายจะมีชัยชนะร่วมครอบครองกับพระเยซูคริสต์
ในการเสด็จกลับมาของพระองค์!
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://pattamarot.blogspot.com/
เข้าไปฟังคำสอนของอ.นิมิต พานิช
และอ่านบทความต่างๆได้ที่ http://www.uccfellowship.com/



noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #406 เมื่อ: 28 พ.ย. 10, 13:18 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

โดย ดร.เฮ็นรี ซี ซัน

ไม่ทำบาป


พระคัมภีร์กล่าวว่า "ผู้ใดบังเกิดจากพระเจ้า ผู้นั้นไม่กระทำบาป
เพราะสภาพของพระเจ้าดำรงอยู่กับผู้นั้น และเขากระทำบาปไม่ได้
เพราะเขาเกิดจากพระเจ้า" (2 ยอห์น 3:9)

ในพระธรรม 1 ยอห์น 5:18 บันทึกไว้ว่า "เราทั้งหลายรู้ว่า
คนที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาป แต่พระบุตรของพระเจ้าได้ทรงคุ้มครองรักษาเขา
และมารร้ายไม่แตกต้องเขา"

ผู้ใดบังเกิดใหม่โดยพระเจ้า ปรกติจะไม่มีทำบาป แต่บางครั้งก็ยังทำบาป
ดังนั้น คำว่า "ไม่ทำบาป" หรือ "ไม่มีบาป" หมายความว่า
คนที่บังเกิดใหม่แล้วจะเลิกทำบาป คือเขาจะไม่มีนิสัยทำบาปเป็นปรกติวิสัย
เพราะพระเจ้าทำให้เขารู้สึกทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ
จนเขาต้องหยุดทำบาป

เมื่อผู้ที่บังเกิดใหม่แล้วทำบาป เขาจะรู้สึกเจ็บปวดเสียใจมาก
เหมือนคนที่เอามือไปถูกเตาร้อนๆ เขาจะรีบชักมือกลับเพราะความเจ็บปวดนั้น
มีแต่คนที่ความรู้สึกทางประสาทตายด้าน เช่น
คนโรคเรื้อนเท่านั้นที่จะไม่รีบชักมือกลับ

ดังนั้น ถ้าบุคคลใดอ้างว่าบังเกิดใหม่แล้ว
แต่ยังดำเนินชีวิตในความบาปอย่างไม่สะทกสะท้าน
เขาก็ยังไม่ได้บังเกิดใหม่จริงๆ

แต่เมื่อใครบังเกิดใหม่ เขาก็ไม่ได้กลายเป็นเหมือนทูตสวรรค์ในทันที
เขายังมีธรรมชาติเก่า ยังอยู่ในเนื้อหนัง จึงถูกล่อลวงให้ทำบาปอยู่เสมอ
โดยความใคร่ของเนื้อหนัง โดยโลกียวิสัยหรือโดยมารซาตาน

ดังนั้น การต่อสู้ระหว่างฝ่ายเนื้อหนังกับฝ่ายวิญญาณ
จึงเริ่มขึ้นตั้งแต่นาทีที่เขาบังเกิดใหม่ ดังที่อาจารย์เปาโลได้กล่าวว่า
"โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้
ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากร่างกายนี้ ซึ่งเป็นของความตายได้" (โรม 7:24)

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่บังเกิดใหม่แล้ว สามารถเอาชนะเนื้อหนัง โลกียวิสัย
และมารซาตานได้ด้วยการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้า ดังนั้น
บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่า "ลูกทั้งหลายเอ๋ย ท่านเป็นฝ่ายพระเจ้า
และได้ชนะเขาเหล่านั้น
เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงอยู่ในท่านทั้งหลายเป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลก" (1ยอห์น
4:4)

เมื่อคนที่บังเกิดใหม่แล้วพลาดทำความบาป สิ่งที่ต้องทำก็คือ

ประการแรก เขาจะรู้สึกอายและรู้สึกผิด
และรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจต่อสิ่งที่ตนทำลงไป
เขาควรสารภาพความผิดบาปต่อพระเจ้า

ประการที่สอง เขาควรกลับใจใหม่ ตั้งใจจะไม่ทำผิดทำบาปอีก
และหันหลังให้ความบาปอย่างสิ้นเชิง ละทิ้งชีวิตคริสเตียนฝ่ายเนื้อหนัง
หันมาดำเนินชีวิตที่เปี่ยมล้นด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า

ประการที่สาม เขาควรจะขอบคุณพระเจ้าสำหรับการให้อภัยของพระองค์
ซึ่งพระองค์ได้อภัยให้ทั้งสิ้นแล้ว
เมื่อเขาได้บังเกิดใหม่พร้อมกับชำระเขาให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น
โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์เจ้า ทั้งบาปในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
โดยเหตุนี้ เขาจึงไม่มีบาป

พระคัมภีร์กล่าวว่า "เมื่อมีการลบบาปแล้ว
ก็ไม่มีการถวายเครื่องบูชาลบบาปอีกต่อไป" (ฮีบรู 10-18)
มีเพียงสิ่งเดียวที่ชำระบาปของเราได้คือ พระโลหิตของพระเยซูคริสต์
"เพราะเลือดโคผู้และเลือดแพะไม่สามารถชำระบาปให้หมดสิ้นไปได้" (ฮีบรู
10:4)

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 281 วันที่ 16 - 22 ตุลาคม
พ.ศ. 2553 หน้า 25 คอลัมน์ พระวจนธรรม โดย ดร.เฮ็นรี ซี ซัน


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #407 เมื่อ: 30 พ.ย. 10, 17:22 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
พระสัญญาว่าจะถูกกดขี่ข่มเหง

แท้จริงบรรดาคนที่ปรารถนาจะดำเนินชีวิตตามทางของพระเจ้า
ในพระเยซูคริสต์จะถูกกดขี่ข่มเหง (2ทิโมธี 3:12)

ถ้าคุณดำเนินชีวิตตามทางของพระเจ้า คุณจะถูกกดขี่ข่มเหง แน่ใจได้เลย
ไม่ใช่แค่อาจจะ แต่เป็นมากน้อยขนาดไหน และเมื่อไหร่

เราชอบอ้างถึงพระสัญญาของพระเจ้า
เราชอบอ้างพระสัญญาในเรื่องของการจัดเตรียมและปกป้องดูแล
แต่มีกี่คนกันที่อ้างถึงพระสัญญาข้อนี้
"แท้จริงบรรดาคนที่ปรารถนาจะดำเนินชีวิตตามทางของพระเจ้า
ในพระเยซูคริสต์จะถูกกดขี่ข่มเหง" (2ทิโมธี 3:12)?
ผมเองก็ไม่เคยอ้าง...ใครบ้างล่ะ ที่อยากถูกกดขี่ข่มเหง?

แต่พระเยซูตรัสว่า "บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม
ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหง
และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข" (มัทธิว
5:10-11)

ในคำเทศนาบนภูเขา คำว่า "เป็นสุข" มีอยู่หนึ่งครั้งในแต่ละข้อ
แต่ในข้อพิเศษนี้ พระเยซูทรงใช้ถึงสองครั้ง
เพื่อย้ำว่าพระเจ้าจะทรงประทานพรมากมายแก่ผู้ที่ถูกกดขี่ข่มเหง

ธรรมชาติของความชอบธรรมคือกล้าเผชิญหน้า
ความจริงที่ว่าเมื่อคุณเชื่อในพระเยซู คนอื่นจะไม่ค่อยชอบใจ
เพราะพระเยซูตรัสไว้แล้วว่า "เพราะทุกคนที่ประพฤติชั่วก็เกลียดความสว่าง
และไม่มาถึงความสว่าง ด้วยกลัวว่าการกระทำของตนจะปรากฏ" (ยอห์น 3:20)

ผู้คนมีข้ออ้างต่างๆนาๆที่ทำไมพวกเขาถึงไม่อยากเป็นคริสเตียน
แต่ผมจะบอกว่าเหตุผลแท้จริงที่ทำไมคนไม่ยอมมาหาพระเยซูเพราะพวกเขาไม่ต้องการให้การประพฤติชั่วเป็นที่ปรากฎ
ไม่ต้องการยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป

คุณเป็นตัวแทนของพระคริสต์ และความจริงที่ว่าเมื่อคุณติดตามพระเยซู
คุณจะเผชิญกับการถูกข่มเหง เพราะ
"บรรดาคนที่ปรารถนาจะดำเนินชีวิตตามทางของพระเจ้า
ในพระเยซูคริสต์จะถูกกดขี่ข่มเหง"

Pastor Greg Laurie

อนุญาตโดย Harvest Ministries with Greg Laurie

PO Box 4000, Riverside, CA 92514

ข่าวประชาสัมพันธ์
พระเยซูสัญญาไว้แล้วว่าคนที่ถูกกดขี่ข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม
ผู้นั้นจะ "เป็นสุข" และจะได้ "แผ่นดินสวรรค์"
ถูกกดขี่ข่มเหง เป็นวาระ "ชั่วคราว" แต่ "เป็นสุข และได้แผ่นดินสวรรค์"
เป็นวาระแห่ง "นิรันดร" ... เกินคุ้มมั้ยคะ?...สรรเสริญพระเจ้า

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #408 เมื่อ: 1 ธ.ค. 10, 10:47 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

โดย ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

อิทธิพลลบ



คนแต่ละคนล้วนมี อิทธิพลต่อใครบางคน พ่อแม่มีอิทธิพลต่อลูก
บางทีลูกก็มีอิทธิพลต่อพ่อแม่ พ่อค้าหัวใสเห็นความจริงข้อนี้
จึงมักผลิตสินค้าล่อใจบรรดาผู้เป็นลูกให้อยากได้
เป็นเหตุให้พ่อแม่ยอมควักเงินซื้อของนั้นให้แก่ลูก
เช่นเดียวกับสามีมีอิทธิพลต่อภรรยา แต่ที่เห็นชัดเจนมากกว่าก็คือ
ภรรยามีอิทธิพลต่อสามีเช่นกัน
บรรดาพ่อค้าแม่ค้าหัวแหลมก็ตระหนักในข้อเท็จจริงนี้
เป็นเหตุให้ผู้เป็นสามีต้องล้วงเงินหรือหยิบการ์ด (เครดิต)
ออกมารูดจ่ายเพื่อซื้อสิ่งที่ภรรยาพอใจ

ใช่ครับ คนเราแต่ละคนมักมีอิทธิพลต่อคนบางคน ขนาดคนที่ไม่เคยรู้จักกัน
ก็อาจมีอิทธิพลต่อกันได้อย่างเหลือเชื่อ
อย่างเช่นคนที่เป็นผู้นำหรือนักคิดนักเขียนเจ้าลัทธิบางคน
อาจมีอิทธิพลต่อคนที่อ่านผลงานของเขา
และโน้มน้าวให้ผู้ที่ชื่นชอบเขากระทำตามในสิ่งที่เขาเสนอ
หรือแม้แต่ศิลปินนักแสดงนักร้องก็อาจมีอิทธิพลต่อแฟนคลับที่คลั่งไคล้พวกเขา
และอิทธิพลที่สูงเช่นนั้นอาจชักจูงให้บรรดาสาวกของพวกเขากระทำอะไรก็ได้
แม้แต่ฆ่าตัวตาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อศิลปินคนโปรดของพวกเขากระทำเช่นนั้นให้เห็นเป็นแบบอ
ย่าง

เมื่อไม่นานมานี้ มีการสำรวจโดยสถานีวิทยุบีบีซี ภาคเวิลด์ เซอร์วิส
เกี่ยวกับประเทศที่มีอิทธิพลต่อโลกมากที่สุด
ที่น่าประทับใจและดีใจก็คือประเทศแคนาดา
ได้รับการมองดูว่าเป็นชาติที่ส่งอิทธิพลด้านบวกมากที่สุดของโลก
แต่ประเทศที่ได้รับการมองว่าเป็นประเทศที่มีอิทธิพลในด้านลบมากที่สุดของโลก
คือ อิสราเอลและอิหร่าน
ทั้งๆที่อิสราเอลน่าจะเป็นประเทศที่แผ่อิทธิพลในทางบวกต่อโลกมากที่สุด
เพราะพระเจ้าทรงเลือกสรรชนชาติอิสราเอลผ่านทางการทรงเรียกอับราม
ผู้เป็นต้นตระกูล ซึ่งต่อมาภายหลังท่านได้เปลี่ยนชื่อเป็นอับราฮัม
และจากอับราฮัมกลายมาเป็นประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน

อิสราเอลจึงได้รับการกำหนดมาให้เป็นแสงสว่าง
ที่ส่องแก่บรรดาประชาชาติทั้งหลายในโลก
พวกเขาได้รับพรสวรรค์มากมายจากพระเจ้าเบื้องบน
แต่น่าเสียดายที่เพราะความดื้อและความบาปของพวกเขาทำให้พวกเขาต้องกลายเป็น
ชาติพันธุ์ที่ต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสตลอดประวัติศาสตร์
ทำให้พวกเขาเป็นชนชาติที่ดูเหมือนจะเห็นแก่ตัวและก้าวร้าวที่สุดประเทศหนึ่ง
ในเวทีโลก

จึงเป็นเหตุให้เกิดการรังเกียจต่อต้านพวกเขาและกลายมาเป็นจุดกำเนิดของ
การก่อการร้าย โดยเริ่มจากชาวปาเลสไตน์พลัดถิ่น (PLO)
และขยายไปเป็นองค์กรต่อต้านอิสราเอลหรือยิวที่อำมหิตที่สุดในโลก
เป็นเหตุให้สหรัฐอเมริกาที่สนับสนุนอิสราเอลมาตลอดต้องกลายเป็นเป้าการก่อ
การร้ายที่ได้รับผลแห่งความเจ็บปวดมากที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเหตุการณ์ 9-11 (วันที่ 11 กันยายน 2001)
ที่สะเทือนขวัญคนทั่วโลก

หากกลับมาย้อนมองดูตัวของคุณบ้างล่ะครับ
วันนี้ตัวของคุณมีอิทธิพลในด้านใดต่อคนที่อยู่รอบตัวของคุณและสังคมที่คุณ
อยู่ ครั้งสุดท้ายที่มีคนบอกกับคุณอย่างจริงใจว่า
คุณมีอิทธิพลต่อเขาหรือเธอในเชิงบวก คือเมื่อไร?
และเรื่องใดที่คุณมีอิทธิพลในเชิงสร้างสรรค์ต่อเขา?
หากมีคนบอกกับคุณเช่นนั้นจริง ผมขอแสดงความยินดีกับคุณด้วย
แต่หากว่าไม่มีใครกล่าวชื่นชมต่อคุณเช่นนั้นเลย
คุณก็ควรจะเฉลียวใจบ้างแล้วนะครับ

แต่นั่นยังไม่เลวร้ายเท่ากับว่ามีคนกล้าพูดใส่หน้าคุณว่า
คุณมีอิทธิพลในทางลบต่อเขาหรือผู้อื่น หากมีเช่นนั้นจริงๆ
คุณน่าจะสำนึกเสียใจและรีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคุณเสียใหม่ได้แล้วนะครับ
จะบอกให้

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 282 วันที่ 23-29 ตุลาคม
พ.ศ. 2553 หน้า 25 คอลัมน์ พลังชีวิต โดย ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์




--------------------------------------------------------------------------------

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #409 เมื่อ: 2 ธ.ค. 10, 16:04 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
โดย ไก่นักบุญเปโตร



อย่าทำบุญเอาหน้า



พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนทั้งหลายว่า "จงระวัง
อย่าปฏิบัติศาสนกิจของท่านต่อหน้ามนุษย์เพื่ออวดคนอื่น
มิฉะนั้นท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์...ท่านทำบุญมือขวาอย่าให้มือซ้ายรู้...พระบิดาจะประทานบำเหน็จให้ท่าน" (มธ
6:1-4)

ไม่มีใครในโลกนี้จะบอกว่า "ฉันทำบุญเอาหน้านะเนี่ย" ดอกครับ
มีแต่เล่าความดีของตนให้คนอื่นฟังเท่านั้น เช่นฉันไปสร้างวัดที่นั่น
ที่นี่ ฉันไปทำบุญให้เด็กกำพร้า สร้างโรงเรียนไว้หลายๆแห่ง ฯลฯ
ฉันไม่เอาหน้าดอก อย่าไปบอกใครนะ

ฉันทำบุญตั้งเยอะ ไม่เห็นออกชื่อฉันสักหน่อย
น่าจะติดชื่อไว้หน้าวัดให้คนอื่นได้รับรู้บ้าง จริงๆฉันก็ไม่เอาหน้าดอก
แล้วไปนั่งน้อยใจ เสียใจ บ่นกับคนโน้นคนนี้ทั่วไปหมด
คนทำบุญไม่เอาหน้าแบบนี้มีเยอะเลย

การทำดี มิใช่แค่ทำบุญทำทานเท่านั้น การสวดภาวนา จำศีล อดอาหาร
การแสดงความรักต่อผู้อื่นอย่างจริงใจ เช่น
ช่วยเหลือผู้อื่นในทุกๆเรื่องด้วยความยินดี เต็มใจและทันที
หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส อดทน
และอภัยความผิดบกพร่องของผู้อื่นอย่างจริงใจนี่แหละ ทำดีแท้ๆ
ได้ไปสวรรค์แน่ๆ จริงๆ เขาจะได้ไปสวรรค์ในโลกนี้ด้วยแล้ว

ตรงข้าม คนทำบุญเอาหน้า
บ่อยๆเขาจะไม่ได้หน้าแล้วยังถูกติฉินนินทาว่าร้ายอีกต่างหาก
คนอื่นอาจชมต่อหน้า แต่ด่าว่าลับหลังเป็นเช่นนี้เยอะเลย แล้วบุญก็ไม่ได้
สวรรค์ก็ไปไม่ถึงตั้งแต่ในโลกนี้แล้วด้วย

ยิ่งกว่านั้นใครที่เห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบคนอื่น ฉ้อโกง ปลิ้นปล้อน
หลอกลวง ด่าว่าทะเลาะกับคนทั่วไป และอื่นๆที่ชั่วร้ายต่างๆมากมาย
จะมีใครนิยมชมชอบเขาไหม เขาเองจะมีความสุขใจไหม
เขาจะได้รางวัลในสวรรค์อีกไหม เขาจะกล้าถามพระเยซูเหมือนเปโตรไหมว่า
"ผมขี้โกงมาเยอะแล้ว ผมจะได้รับอะไรตอบแทนบ้าง?" (มธ 19:27-28)
คงไม่กล้าถามแน่ๆ ถึงแม้จะถาม คำตอบจะเป็นอย่างไร
"...จงเอามันไปทิ้งในที่มืดภายนอก
ที่นั่นจะมีแต่เสียงร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน" (มธ 25:30)
หมายถึงโทษนรกนั่นเอง

พระเยซูเชิญให้เราทุกคนทำดี โดยไม่ต้องหวังผลตอบแทนจากมนุษย์
ยิ่งกว่านั้นจงชื่นชมยินดีเถิด เมื่อทำดีแล้วไม่มีใครชม
มิหนำซ้ำยังติฉินนินทา ด่าว่าร้ายอีกต่างหาก จงชื่นชมยินดีเถิด
รางวัลของท่านในสวรรค์ใหญ่ยิ่งนัก (มธ 5:11-12)

ใครจะมีบุญกว่าผู้ที่ถูกด่าว่า ถูกเบียดเบียน ข่มเหง และยังยิ้มให้
สุขใจได้ คนเหล่านี้สามารถเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส สุขใจในโลกนี้
มีรางวัลในสวรรค์อีกด้วย ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง
ขอให้ทุกคนมีบุญเช่นนี้ตลอดไปด้วยครับ

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 282 วันที่ 23-29 ตุลาคม
พ.ศ. 2553 หน้า 24 คอลัมน์ ข้างธรรมาสน์ โดย ไก่นักบุญเปโตร

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #410 เมื่อ: 3 ธ.ค. 10, 17:38 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ทำเนียบพ่อต้นแบบ

โดย ปัทมโรจน์ มากสุริวงศ์ คริสตจักรแห่งพระบัญชา กรุงเทพฯ

สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน ในเดือนนี้เป็นเดือนธันวาคม
ซึ่งเป็นเดือนที่มีความสำคัญสำหรับปวงชนชาวไทย เป็น
เดือนแห่งความภาคภูมิใจของคนไทย เพราะมีวันสำคัญ คือในวันที่ 5
ธันวาคมเป็นวันพระราชสมภพของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย
พระองค์ทรงเป็นศูนย์รวมใจแห่งความศรัทธาของคนไทยทั้งชาติ

ประโยคสำคัญที่ยังตราตึงหัวใจคนไทยคือ "เราจะครอง แผ่นดินโดยธรรม
เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม "
เป็นประโยคที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่
หัวเมื่อครั้งเสด็จขึ้นครองราชย์ในปีพุทธศักราช 2489
ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการไว้ว่าดังนี้
และจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาเป็นเวลามากกว่า 60 ปีแล้ว
ท่านทรงตั้งมั่นอยู่ในทศพิธราชธรรมอย่างมิเคยเสื่อมคลาย

ในวันที่ 5 ธันวาคมของทุก ปี จึงถือเป็นวันพ่อแห่งชาติ
เพื่อให้เราได้ระลึกถึงพระคุณของพ่อหลวงของปวงชนชาวไทย
และเป็นวันที่เราทุกคนได้ระลึกถึงคุณพ่อผู้เป็นผู้นำครอบครัวและเป็น
ต้นแบบของเราในการดำเนินชีวิตของเรา สำหรับผมแล้ว คุณพ่อของผม
เป็นครูคนแรกของผม ที่สอนสั่งและเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิต
คุณพ่อของผมเป็นครูโดยชีวิตและอาชีพของท่านมากว่า 40 ปี
ก่อนเกษียนอายุราชการ

คำขวัญประจำใจของท่านที่ให้ไว้ในวันเกษียนอายุราชการ คือ
"ชีวิตคนเราก็เท่านี้ ทำความดีก่อนจากกัน"

พ่อจึง เป็นต้นแบบของชีวิต!

การเป็น "พ่อ" ถือเป็นบทบาทหน้าที่ที่สำคัญยิ่ง
อาจกล่าวได้ว่าพ่อเป็นผู้กำหนดอนาคตของครอบครัว อนาคตของสังคม
และอนาคตของประเทศชาติเลยทีเดียว
เป็นบทบาทที่ยืนอยู่บนความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ในการเลี้ยงดู
สร้างชีวิตลูกให้เติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ

มีข้อคิดเรื่องพ่อ ตอนหนึ่งกล่าวว่า "หน้าที่
ที่สำคัญยิ่งของพ่อก็คือการรับผิดชอบในการเป็นแบบอย่างชีวิตให้แก่ลูก
เพื่อลูกจะสามารเลียนแบบความคิด ค่านิยม บุคลิกลักษณะและพฤติกรรมต่าง ๆ
ของพ่อในการดำเนินชีวิตได้
เป็นเหมือนการประทับตราแห่งความเหมือนเพื่อสืบทอดให้กับคนรุ่นต่อไป"

"เช่นเดียวกับที่ชาวสวนรับ ผิดชอบต่อผลผลิตที่อยู่ในสวนของตนเช่นใด
พ่อก็เช่นกัน ย่อมต้องรับผิดชอบต่อบุคลิกภาพและความประพฤติของลูกฉันนั้น"

ในวันแม่ที่ผ่านมา ผมได้เขียนบทความ "ความรักตัวแม่"
และรวบรวมเรื่องราวของคุณแม่ที่ถูกบันทึกในพระคัมภีร์
เป็นทำเนียบแม่ดีเด่น ในครั้งนี้ขอจัดทำ "ทำเนียบ พ่อต้นแบบ"
พระวจนะของพระเจ้าได้ให้แบบอย่างคุณพ่อที่ดีไว้มากมาย แต่ใน
ครั้งนี้ขอยกตัวอย่างไว้ 3 ท่านดังนี้ครับ

1. พ่อผู้จัดเตรียม อนาคต - อับราฮัม (ปฐก.24:1-9)

อับราฮัมมีบุตรคืออิสอัค ท่านได้ดูแลเอาใจใส่เขาอย่างดี
อับราฮัมตระหนักดีว่าอิสอัคคือเชื้อสายของท่าน
ผู้ที่พระเจ้าจะอวยพรและทำให้พระสัญญาที่พระเจ้าตรัสกับท่านไว้สำเร็จ
(ปฐก.7:15) เมื่อชรามากขึ้น
อับราฮัมเป็นห่วงถึงอนาคตเรื่องการเลือกคู่ครองของลูก
ท่านเกรงว่าการอยู่ในแผ่นดินคานาอัน
จะเป็นเหตุให้อิสอัคได้แต่งง่านกับหญิงต่างชาติ กราบไหว้รูปเคารพ
ท่านจึงให้คนใช้ที่ท่านไว้วางใจช่วยจัดการหาหญิงชาวฮีบรูซึ่งเป็นชนชาติที่
ยำเกรงพระเจ้าให้แก่เขา เพื่ออิสอัคจะมีอนาคตที่ดี
โดยดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

พ่อที่ดีย่อมอยากเห็นลูกมีอนาคต ที่ดี คำสั่งสอนของพ่อในเรื่องต่างๆ
จะช่วยเตรียมชีวิตลูกไปสู่การมีอนาคตที่ดี
พระเยซูคริสต์เองก็ทรงเป็นพ่อผู้จัดเตรียมอนาคตที่ดีให้แก่ผู้ที่เชื่อวางใจ
ในพระองค์ พระองค์ทรงมอบคำสอนเพื่อให้เราดำเนินชีวิตอยู่ในน้ำพระทัยของพระองค์
และทรงจัดเตรียมที่สำหรับเราบนสวรรค์ (ยน.14:3)
ผู้เชื่อทุกคนจึงสามารถมั่นใจในอนาคตที่ดีเมื่อดำเนินชีวิตติดตามพระองค์

2. พ่อผู้เป็นแบบอย่างชีวิต - โยบ (โยบ 1:1-5)

พระวจนะกล่าวว่า โยบเป็นคุณพ่อที่ดี เพราะเป็นแบบอย่างของ
"คนดี รอบคอบและเที่ยงธรรม" (ข้อ 1) โยบเป็นหัวหน้าครอบครัวใหญ่
เป็นบิดาของบุตรชายเจ็ดคน และบุตรหญิงสามคน ทั้งยังมีฝูงสัตว์
และคนรับใช้มากมายพระวจนะกล่าวว่าเขา "เป็นบุคคลที่มั่งคั่ง
และใหญ่โตที่สุดในบรรดาชาวตะวันออก" (ข้อ 3)
สะท้อนถึงการมีลักษณะชีวิตที่ดี
พระเจ้าจึงยกชูชีวิตของโยบให้ครอบครองสิ่งใหญ่โต
และมีชื่อเสียงดีเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป
โยบใช้เวลาในการอบรมบุตรอย่างใกล้ชิด โดยการที่ท่านเองทำเป็นแบบอย่าง
และวางมาตรฐานที่ดีงามไว้ในชีวิตของลูก

พ่อที่ดีย่อมเป็นแบบอย่างให้ ลูกเห็นได้
พระเยซูคริสต์เองก็ทรงเป็นแบบอย่างแก่เราด้วยชีวิตของพระองค์เอง
เพื่อให้เราเลียนแบบจากพระองค์ (อฟ.5:1) และไปสู่ความไพบูลย์ในพระคริสต์

3. พ่อผู้สนับสนุนลูกในทางพระเจ้า - ดาวิด (1 พศด.28:9-10)

ดาวิดเป็นคุณพ่อที่รักพระเจ้ามาก
วิญญาณความรักพระเจ้าได้ถ่ายทอดถึงซาโลมอนราชโอรสของพระองค์
(1พกษ.3:3) ดาวิดพยายามสนับสนุนซาโลมอนในทางพระเจ้า
ไม่เพียงสนับสนุนซาโลมอนให้ "รู้จักพระเจ้า" ในความประเสริฐของพระองค์
แต่ยังสนับสนุนให้ "ปรนนิบัติพระองค์" (ข้อ 9) อีกด้วย

พ่อที่ดีย่อมสนับสนุนลูกให้ ดำเนินในความถูกต้องชอบธรรม
คือวิถีทางของพระเจ้า พระเยซูคริสต์เอง
ผู้เป็นบิดาในฝ่ายวิญญาณของเราก็ทรงสนับสนุนเราให้มีชีวิตกับพระเจ้า
รู้จักพระเจ้า และปรนนิบัติพระองค์
โดยทรงมอบพระมหาบัญชาไว้ให้กับผู้เชื่อทุกคนให้ออกไปประกาศข่าวประเสริฐ
(มธ.28:19-20)
คุณพ่อจึงเป็นต้นแบบที่ดีที่ทำให้ลูกเห็นและสนับสนุนลูกในการทำ สิ่งที่ดี

ครั้งหนึ่ง จอห์น เวสลีย์ ผู้รับใช้พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ ได้กล่าวไว้บอกว่า
"ให้เราทำความดีมากที่สุด เท่าที่จะทำได้ ด้วยทุกวิธี ในทุกหนทาง
ในทุกที่ ในทุกเวลา กับทุกคน และทำนานที่สุด เท่าที่จะทำได้"

ขอหนุนใจทุกท่านเนื่องในเทศกาลวันพ่อแห่งชาติในปีนี้
เราทุกคนขอร่วมเทิดทูนพระคุณของ คุณพ่อร่วมกัน
และในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
โดยการร่วมกันสานสิ่งดีที่พ่อหลวงที่ทรงทำไว้ ด้วยการทำสิ่งดีให้พ่อดู
บทกลอนทำดีเพื่อพ่อบทหนึ่งได้กล่าวว่า

การทำดี ทำ ถูก นั้นมีค่า
การ ทำดี ถูกเวลา ค่ามหันต์
การทำดี ถูกคน ผลอนันต์

การทำดี เป็นประจำ นั้นแหละดี

พ่อเป็นต้นแบบที่ดี เราควรเลียนแบบ
และควรจะเป็นแบบอย่างที่ดีต่อไปให้ลูกหลานของเราต่อไป ....

อ่านบทความรายละเอียดได้ที่ http://pattamarot.blogspot.com/
และติดตามคำสอนและบทความต่างๆ ของคริสตจักรแห่งพระบัญชา ได้ที่
http://www.uccfellowship.com/

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #411 เมื่อ: 9 ธ.ค. 10, 11:20 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

โดย ดร.ประสิทธิ์ ฤกษ์พิศุทธิ์

Wasting is Unjust ความสูญเปล่าเป็นความไม่ชอบธรรม


ครั้งหนึ่งพวกผู้นำศาสนายิวได้กล่าวหาพระเยซูว่า
คบหากับคนบาปหรือผิดศีลธรรม
และคนเก็บภาษีหรือคนที่ทรยศต่อเพื่อนเพื่อเงิน
พระเยซูจึงได้ตอบโต้พวกยิวด้วยคำอุปมาหลายเรื่อง เช่นเรื่องแกะหาย
เหรียญหาย บุตรน้อยหลงหายและผู้จัดการเจ้าปัญญา
ทั้งสี่เรื่องมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน

เรื่องแกะหายเป็นเรื่องที่เล่าถึงชายคนหนึ่งมีแกะร้อยตัวหายไปหนึ่งตัว
เจ้าของได้ไปหาแกะที่หลงหาย เมื่อพบแล้วก็พาแกะนั้นกลับบ้านด้วยความยินดี

เรื่องเหรียญหาย เป็นเรื่องของหญิงคนหนึ่งมีเหรียญเงินสิบเหรียญ
และหายไปหนึ่งเหรียญ
หญิงนั้นหาจนพบด้วยความยินดีจึงอดไม่ได้ต้องบอกกับเพื่อนบ้านให้มาร่วมยินดีกับเธอ

เรื่องบุตรน้อยหลงหายเป็นเรื่องของชายคนหนึ่งมีลูกชายสองคน
ลูกคนเล็กขอแบ่งทรัพย์สมบัติแล้วนำเงินทั้งหมดที่ได้ไปใช้ชีวิตเสเพลจนเงินหมด
ต้องเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างเลี้ยงหมู
ชีวิตตกต่ำสุดขีดจึงตัดสินใจกลับไปหาพ่อ เมื่อถึงบ้านพ่อรอรับและให้อภัย
พ่อดีใจมากเหมือนตายจากกันและได้ฟื้นคืนชีพ
เหมือนกับลูกหายไปแล้วได้พบกันอีก

เรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องของอภิมหาเศรษฐีมีผู้จัดการที่ฉ้อฉลทำให้ทรัพย์สินสูญเปล่า
จึงตัดสินใจไล่ผู้จัดการออก แต่ผู้จัดการคนนี้ฉลาด
เริ่มต้นใช้ทรัพย์สินของเศรษฐีผูกมิตรกับลูกหนี้ทุกคนโดยการลดหย่อนหนี้สินให้
เศรษฐีถึงกับออกปากชมผู้จัดการคนนี้ว่าเป็นคนฉลาด
รู้จักใช้ทรัพย์สินเพื่อสร้างมิตรภาพ

พระเยซูต้องการสอนสาวกของพระองค์ว่า
ความชอบธรรมไม่ใช่การแยกตัวจากคนไม่ชอบธรรม แต่การละเลย "คน"
แม้จะเป็นคนไร้ศีลธรรมหรือคนเห็นแก่เงินต่างหากที่เป็นความไม่ชอบธรรม
ทำให้ลูกของพระเจ้ากลายเป็นความสูญเปล่าสิ่งเหล่านี้ต่างหากเป็นความไม่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า

ทั้งสี่เรื่องนี้มีความเกี่ยวโยงกัน
ประเด็นของทุกเรื่องอยู่ที่การไม่ทำให้เกิดความสูญเปล่า
และการฟื้นฟูความสัมพันธ์ของพ่อกับลูก เพื่อนกับเพื่อน
เป็นความถูกต้องชอบธรรม เป็นความฉลาด
เป็นเป้าหมายของกิจกรรมทุกอย่างของชีวิต

กิจกรรมที่ว่าไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงแกะคือการเกษตร
กิจกรรมดูแลทรัพย์สินคือการเงินการธนาคาร เรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว
และเป็นเรื่องการจัดการของผู้จัดการคือการทำธุรกิจ
ทั้งหมดนี้ครอบคลุมกิจกรรมทุกอย่างของเรา
เราอาจถามว่าแกะจะหายไปสักตัวหนึ่ง เหรียญหายไปสักเหรียญหนึ่ง
คนจะใช้ชีวิตเสเพลสักคนหนึ่ง ทำงานแบบทิ้งๆขว้างๆมันจะอะไรนักหนา
คำตอบก็คือ
เมื่อทุกคนคิดเช่นนี้โลกก็เต็มไปด้วยของและคนที่ไม่มีใครต้องการเต็มโลก
แต่ถ้าเราตั้งใจว่าต่อไปนี้เราจะไม่ทำอะไรให้สูญเปล่า ขยะก็ไม่ล้นโลก
คนที่หิวโหยใกล้ตาย 1.3 พันล้านคนจะมีอาหารพอกิน ธุรกิจทำร้ายสังคมจะลดลง
อากาศเสียจะลดลง บรรยากาศของโลกจะสะอาดขึ้น

ถ้าความสูญเปล่าเป็นความไม่ชอบธรรมและเป็นหลักการที่ครอบคลุมการทำธุรกิจ
จุดมุ่งหมายการทำธุรกิจควรเป็นอย่างไร บางท่านก็อาจกำลังคิดถึงกำไรสูงสุด
บางท่านก็อาจกำลังคิดถึงกิจการมูลนิธิต่างๆที่ไม่แสวงหาผลกำไรที่มักใช้คำนี้เพื่อจะลดหย่อนภาษีหรือได้รับประโยชน์บางอย่าง
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีประสิทธิภาพดีกว่า สูญเปล่าน้อยกว่า
ค่าบริการถูกกว่าหรือให้ความพอใจแก่ผู้รับบริการมากกว่ากิจการที่มีจุดมุ่งหมายอย่างอื่น
ประเด็นของเรื่องนี้เพื่อเสนอกับผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ควรแบ่งกิจการหรือธุรกิจโดยพิจารณาประเด็น
"การไม่แสวงหาผลกำไร"
เพราะจะทำให้เข้าใจผิดได้ว่าธุรกิจทุกอย่างมีเพียงจุดมุ่งหมายเพียงหนึ่งประการคือ
"ไม่แสวงหาผลกำไร" ส่วนธุรกิจอื่นๆที่เหลือมีจุดมุ่งหมายคือ
"แสวงหาผลกำไร"
ข้อเสียตามมาคือทำให้คนที่อยากช่วยสังคมไม่กล้าเข้ามาทำธุรกิจด้วยจุดมุ่งหมายอื่นที่อาจเป็นประโยชน์กับสังคม
เช่น ช่วยให้คนมีงานทำ รักษาสิ่งแวดล้อม
ส่งเสริมศีลธรรมและยังไม่ขอยกเว้นภาษี

ดังนั้น
จึงควรใช้หลักการลดความสูญเปล่ามากน้อยเป็นตัวแบ่งประเภทธุรกิจหรือกิจการ
และเราไม่ควรพิจารณาแต่เพียงประโยชน์มากน้อยเป็นเกณฑ์
เพราะยังมีธุรกิจที่มีประโยชน์แต่ก่อให้เกิดความสูญเปล่ามากมาย เช่น
ธุรกิจยาสูบ ทำให้คนมีงานทำจำนวนมาก
แต่ในเวลาเดียวกันทำให้คนเสียชีวิตมากมาย อาจมากกว่าการจ้างงานก็เป็นได้

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 282 วันที่ 23-29 ตุลาคม
พ.ศ. 2553 หน้า 25 คอลัมน์ พระวจนธรรม โดย ดร.ประสิทธิ์ ฤกษ์พิศุทธิ์



noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #412 เมื่อ: 15 ธ.ค. 10, 15:11 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

นักวิจัยอังกฤษระบุว่า
สุราเป็นสารเสพติดอันตรายที่สุดเมื่อคำนึงถึงผลร้ายที่เกิดขึ้นกับผู้ดื่มและสังคม

MCOT Online ลอนดอน 1 พ.ย.- นักวิจัยอังกฤษระบุว่า
สุราเป็นสารเสพติดอันตรายที่สุดเมื่อคำนึงถึงผลร้ายที่เกิดขึ้นกับผู้ดื่มและสังคม

คณะนักวิทยาศาสตร์ประกอบด้วย
คณะกรรมการวิทยาศาสตร์อิสระว่าด้วยยาเสพติดและที่ปรึกษาศูนย์สังเกตการณ์ยาเสพติดและการติดยายุโรป
ได้จัดทำตารางอันดับความอันตรายของสารเสพติดขึ้นใหม่
เพราะการจำแนกประเภทสารเสพติดในปัจจุบันไม่คำนึงถึงอันตรายเท่าใดนัก
ตารางใหม่จัดให้สุราอันตรายเป็นอันดับหนึ่ง เฮโรอีน อันดับ 2
โคเคนสำหรับสูบ หรือสูดควัน อันดับ 3 เห็ดเมา อันดับ 5 แอลเอสดี อันดับ 7
เอ็กตาซี หรือยาอี อันดับ9 แวเลี่ยม หรือยานอนหลับ อันดับ 15 กัญชา
อันดับ 20 แอมเฟตามีน อันดับ 23 ยาสูบ อันดับ 26
การจัดอันดับคำนึงถึงอันตรายต่อผู้เสพ เช่น การเสียชีวิต การติดยา
การสูญเสียความสัมพันธ์กับผู้อื่น และอันตรายต่อสังคม เช่น อาชญากรรม
ความขัดแย้งในครอบครัว ความสูญเสียทางเศรษฐกิจ ความแตกแยกของชุมชน


องค์การอนามัยโลกประเมินว่า สุราเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตปีละ 2.5
ล้านคน จากโรคหัวใจ โรคตับ อุบัติเหตุบนถนน การฆ่าตัวตาย และมะเร็ง
คิดเป็นร้อยละ 3.8 ของการเสียชีวิตทั่วโลก และเป็นสาเหตุอันดับ 3
ที่ทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรและพิการ.-สำนักข่าวไทย


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #413 เมื่อ: 17 ธ.ค. 10, 21:11 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ไม่น่าสนใจ


วันอาทิตย์เวลาเช้ามืด มารีย์ชาวมักดาลามาถึงอุโมงค์ฝังศพ
นางเห็นหินออกจากปากอุโมงค์อยู่แล้ว (ยอห์น 20:1)

คุณ อาจเป็นคนหนึ่งที่ถูกเลือกท้ายสุดในทีมเสมอ เป็นคนที่ถูกมองข้าม
แต่ผมมีข่าวดีมาบอกครับ พระเจ้าทรงทำสิ่งที่เหนือธรรมดาผ่านคนธรรมดาๆ
และพระเจ้ารักคนที่มีตำหนิ คนธรรมดาสามัญ

พวกเขาเองก็ไม่ได้ดีไปกว่า เปโตร มารีย์ มักดาลา หรือยอห์น
เปโตรปฏิเสธพระเยซูสามครั้ง มารีย์ครั้งหนึ่งเคยถูกผีสิงถึงเจ็ดตน
ยอห์นเป็นหนึ่งในที่ได้ชื่อว่าลูกฟ้าร้อง และยังมีข้อตำหนิอื่นๆด้วย
แต่พระเจ้าทรงใช้สามคนนี้ให้เป็นเหมือนมิชชันนารีออกไปสู่โลกกว้าง
เพื่อบอกกับทุกคนว่าพระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตายแล้ว

พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่ผู้ที่แสวงหาพระองค์ด้วยสิ้นสุดใจ
มารีย์มอบถวายชีวิตทั้งสิ้นของเธอให้กับพระเยซู พระคัมภีร์บอกเราว่า
ในขณะที่คนอื่นๆยืนดูพระเยซูถูกตรึงอยู่บนกางเขนไกลออกไป
มารีย์ยืนอยู่ที่โคนไม้กางเขน พระเยซูททอดพระเนตรเห็นเธอ
สตรีที่พระองค์เคยทรงขับผีออก เป็นคนอยู่สุดท้ายที่ไม้กางเขนนั้น
และเป็นคนแรกที่ไปยังอุโมงค์ฝังพระศพ

มีพระพรเสมอสำหรับคนที่ใช้เวลาแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า
พระคัมภีร์กล่าวว่า จง แสวงหาพระเจ้า เมื่อจะพบพระองค์ได้ จงทูลพระองค์
ขณะพระองค์ทรงอยู่ใกล้ ให้คนอธรรมละทิ้งทางของเขา
และคนไม่ชอบธรรมสละความคิดของเขา ให้เขากลับยังพระเจ้า
เพื่อพระองค์จะทรงกรุณาเขา และยังพระเจ้าของเรา
เพราะพระองค์จะทรงอภัยอย่างล้นเหลือ (อิสยาห์ 55:6-7)

เราจำเป็นต้องแสวงหาพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตใจ และมารีย์ได้ทำสิ่งนี้
เธอจึงได้รับพระพร
ขณะที่เธอไปหาองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เช้าที่อุโมงค์ฝังพระศพ
เธอกลับพบพระองค์ผู้ทรงคืนพระชนม์ และถ้าคุณยอมให้เวลากับพระองค์
คุณก็จะพบพระองค์ครับ

Pastor Greg Laurie

อนุญาตโดย Harvest Ministries with Greg Laurie

PO Box 4000, Riverside, CA 92514


* เราอาจเป็นคนสุดท้ายที่ถูกเลือก อาจถูกมองข้าม
ไม่มีใครเห็นความสำคัญ ทำให้อาจสั่นไหวในความเชื่อ
แต่พระเจ้าทรงเห็นความสำคัญของเราเสมอ
เพียงแต่เราต้องแสวงหาพระองค์ด้วยสิ้นสุดจิตใจ
และไม่ใช้เวลาไปแสวงหาการยอมรับจากเพื่อนมนุษย์และผิดหวัง!!
* ให้เราเป็นคนแรกที่ตื่นแต่เช้า
เข้าเฝ้าพระเจ้าเหมือนมารีย์ที่ไปยังอุโมงค์ฝังพระศพของพระเยซูแต่เช้ามืด
เพื่อจะได้พบกับพระองค์เป็นคนแรก พระเจ้าอวยพระพรค่ะ


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #414 เมื่อ: 19 ธ.ค. 10, 13:38 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

พระองค์คือ "เราเป็น" ผู้ยิ่งใหญ่


"พระ เจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น" แล้วพระองค์ตรัสว่า
"ไปบอกชนชาติอิสราเอลว่า 'พระองค์ผู้ทรงพระนามว่าเราเป็น
ทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย'" (อพยพ3:14)

คุณเคยสังเกตุหรือไม่ว่าพระเจ้าทรงเลือกตรัสถึงพระองค์ในประโยคที่ยังไม่
สมบูรณ์? คนทั่วไปส่วนใหญ่จะพูดเต็มประโยค - "ฉันเป็น...(บางสิ่ง)"
แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราไม่เป็นเช่นนั้น
พระองค์ทรงตั้งพระทัยที่จะปล่อยให้เป็นเช่นนั้น

"เราเป็น" -- นั่นคือพระองค์

คุณหิวหรือ? พระองค์ทรงเป็นอาหาร

คุณอยู่ในความมืดหรือ? พระองค์ทรงเป็นความสว่าง

คุณกำลังแสวงหาหรือ? พระองค์ทรงเป็นความจริง

คุณกำลังหลงทางหรือ? พระองค์ทรงเป็นทางนั้น

คุณกำลังขาดแคลนหรือ? พระองค์ทรงเป็นพระผู้เลี้ยงของคุณ

คุณกำลังมองหาความช่วยเหลือจากพระองค์อยู่หรือเปล่า? วางใจในพระองค์
และพระองค์จะมาพบคุณ

โดย: Pastor Adrian Rogers

Daily devotional

Love worth finding ministries: www.lwf.org


* พระเจ้าทรงเป็น...ทุกสิ่งที่เราแสวงหาเพื่อจะได้ชีวิตที่ครบบริบูรณ์
* พระองค์ทรงเป็นคำตอบสำหรับทุกสิ่งในชีวิตคุณหรือไม่?
ถ้าไม่แน่ใจลองถามตัวเองดูค่ะ - ขอพระเจ้าอวยพร

churchofjoy.net

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #415 เมื่อ: 22 ธ.ค. 10, 15:56 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
โดย ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คุณค่าของความหายนะ



ในปี คศ. 1917 โทมัส อัลวา เอดิสัน มีอายุ 67 ปี
วันหนึ่งห้องทดลองของท่านในรัฐนิวเจอร์ซีย์ถูกไฟไหม้เป็นเถ้าถ่าน
เอดิสันสูญเสียและเสียหายไปกับเพลิงไหม้ในครั้งนั้นสูงถึง 2 ล้านเหรียญ
เฉพาะค่าวัสดุ อุปกรณ์ต่างๆ
โดยยังไม่ได้รวมถึงความเสียหายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรายงานบันทึกผลการทดลองและเอกสารการค้นคว้าวิจัยตลอดชีวิตของท่าน

เช้าวันรุ่งขึ้น
ในขณะที่เอดิสันเดินดูซากเถ้าที่มอดไหม้พร้อมกับบุตรชายของท่าน
เอดิสันหันมากล่าวกับบุตรชายว่า
"มีคุณค่าอันยิ่งใหญ่ซุกซ่อนอยู่ในความหายนะครั้งนี้
เพราะบัดนี้ความผิดพลาดทั้งหลายของเราถูกเผามอดไหม้ไปหมดแล้ว
บัดนี้ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงให้เราเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง"

เรื่องราวที่สะกิดใจข้างต้นปรากฏอยู่ในข้อเขียนเรื่อง "Love your Job"
ของ ดร.พอล พาเวอร์ส และเดบอลาห์ รัสเซลล์
ผมไม่ทราบว่าหากคุณผู้อ่านต้องประสบกับเคราะห์ภัยเช่นเดียวกันอย่างกับที่เอดิสันประสบพบ
คุณจะรู้สึกและมีปฏิกิริยาอย่างไร?

น่าสะเทือนใจที่เราจะอ่านพบปฏิกิริยาในเชิงลบอย่างสิ้นหวังของคนจำนวนไม่น้อยในสังคม
เป็นเหตุให้บางคนเลือกหนีทุกสภาพเบื้องหน้าโดยการกระทำอัตวินิบาตกรรม
และทิ้งปัญหากับความทุกข์ทรมานไว้กับคนรักที่อยู่เบื้องหลัง
หรือไม่ก็ตัดสินใจแทนคนรัก ไม่ว่าจะเป็นลูกหรือเมีย
โดยการปลิดชีพคนเหล่านั้นด้วยความรัก (ตามความคิดของตนเอง)
เพื่อไม่ให้คนที่ตนรักต้องทนอยู่ในสภาพที่ยากลำบากในโลกนี้อีกต่อไป
ดังที่ปรากฏเป็นข่าวตามหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์หัวสีต่างๆในประเทศไทย

ซึ่งหากบรรดาบุตรภรรยาทั้งหลายที่ถูกปลิดชีพโดยบิดาหรือสามี
ผู้ผิดพลาดในการทำธุรกิจ
ธุรกรรมทั้งหลายเหล่านั้นสามารถเลือกทางเดินของพวกตนได้
พวกเขาคงจะยกมือขึ้นพนมเหนือหัวแล้วกล่าวกับผู้เป็นบิดาหรือสามีด้วยความเคารพอย่างสูงว่า

"สามีที่รัก! หากคุณรักฉันและลูกก็กรุณาปล่อยพวกเราอยู่ต่อไปเถอะ
ไม่ต้องห่วงพวกเราหรอก หากคุณจะไปก็ไปคนเดียวเถอะ" หรือ "คุณพ่อที่รักขา/
ครับ...หากคุณพ่อรักพวกเรามากจนต้องปลิดชีวิตของพวกเรา
พวกเราก็อยากจะวิงวอนขอให้คุณพ่อรักพวกเราให้น้อยลงสักนิดเถอะ
ปล่อยพวกเราให้เผชิญความยากลำบากตามลำพังต่อไปเถอะค่ะ/ครับ"

คุณผู้อ่านครับ อย่ากลัวเคราะห์ร้ายหรือโชคร้าย
ทุกโศกนาฏกรรมมักแฝงไว้ซึ่งสุขนาฏกรรมเสมอความเจ็บปวดไม่จำเป็นต้องนำสิ่งเลวร้ายมาให้เสมอไป
บางครั้งความปวดร้าวกลับนำมุมมองใหม่ๆมาให้

ทุกครั้งที่คุณผู้อ่านเผชิญกับความหายนะของชีวิต
ขอให้มีสติและรู้จักปรับมุมมองของชีวิต
โดยมองชีวิตให้กว้างและไกลจากสภาวะที่ดูสิ้นหวังเบื้องหน้า
เป็นไปได้ว่าชีวิตด้านใดด้านหนึ่งของคุณอาจจบสิ้น
แต่นั่นเป็นเพียงแค่เสี้ยวเล็กๆเสี้ยวหนึ่งในชีวิตอันกว้างใหญ่ไพศาล
ยังมีพื้นที่แห่งโอกาสอีกมากมายในชีวิตของคุณ

หากคุณเริ่มต้นชีวิตใหม่ในวันนี้
โดยการเลือกพันธุ์แห่งความดีงามและกำลังใจบรรจงปลูกหว่านลงไป
แล้วในไม่ช้าคุณจะอัศจรรย์ใจกับความงดงามและความเรืองรองของชีวิตใหม่จากซากแห่งความหายนะในอดีต

แล้วคุณจะเอ่ยปากเช่นเดียวกับที่เอดิสันได้เคยกล่าวไว้แล้วว่า
"ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงให้เราได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง"

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 284 วันที่ 6 - 12
พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 หน้า 27 คอลัมน์ พลังชีวิต โดย ศจ.ธงชัย
ประดับชนานุรัตน์

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #416 เมื่อ: 22 ธ.ค. 10, 16:34 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
Thanking blessed Mary for "Light Divine".


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #417 เมื่อ: 22 ธ.ค. 10, 16:36 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
The heart of Christmas is "Christ".


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #418 เมื่อ: 22 ธ.ค. 10, 16:44 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
Thanks God, The Father, for The Great High Priest Whose Name is "LOVE"!


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #419 เมื่อ: 22 ธ.ค. 10, 19:41 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
Praise the Lord.

http://www.youtube.com/watch?v=ijm1K9Pfkww
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #420 เมื่อ: 24 ธ.ค. 10, 14:17 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
Christmas History.

http://www.catholic.or.th/spiritual/article/xmas/christmas2008/xmas01.html
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #421 เมื่อ: 24 ธ.ค. 10, 14:19 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
Christmas Joy.

http://www.youtube.com/watch?v=Pld0mZfQV1w&feature=related
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #422 เมื่อ: 24 ธ.ค. 10, 14:26 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
May all of you have a blessed Christmas season N' a Happy New Year.



noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #423 เมื่อ: 26 ธ.ค. 10, 15:40 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

Subject: เชื่อในส่วนดีอยู่เสมอ โดยรัฐศาสตร์ สร้างถิ่น


(ความรัก) เชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ -1 โครินธ์ 13:7



ผมเชื่อมั่นว่าเราทุกคนมีเพื่อนจะมากหรือน้อย จะสนิทสนม หรือไม่สนิทสนม
ก็สุดแล้วแต่ แต่เราทุกคนย่อมมีเพื่อน และหลายๆ ครั้ง
เราก็พบว่าเพื่อนบางคนมีอุปนิสัยบางอย่างที่เราเองบ่อยครั้งที่เบื่อและเอือมระอา
แต่เราก็ยังคบหาสมาคมกับเขาอยู่



ปัจจุบัน ในสภาพแวดล้อมที่เรารู้สึกเหมือนกับว่าความรัก และ
มิตรภาพที่เคยมีมาในสังคมเสื่อมทรามลง หลายคนเพียงแค่ผิดใจกันเล็กน้อย
หรือมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ก็เกลียดกันเลิกคบหาสมาคมกัน
โดยลืมไปเลยว่าในอดีตที่ผ่านมา คนๆ นั้น
เราเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาอย่างไร



อ.เปาโล เขียนพระธรรมโครินธ์ "(ความรัก) เชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ" (1
คร.13:7) ความรัก "เชื่อ" ในคนอื่น
มองเห็นความเป็นไปได้ที่อยู่ในตัวของพวกเขา
เชื่อว่าพระเจ้าจะทรงสามารถเปลี่ยนคนที่ไม่น่ารักที่สุด
ไม่คู่ควรที่สุดให้กลายเป็นงานศิลปะชิ้นเอกอันงดงามและทรงคุณค่า
หากความรักจะทำให้ผิดไปบ้าง ก็จะผิดที่มอบความไว้ใจและหวังใจให้มากมาย



ผมขอหนุนใจเราทุกคน อย่าให้ชีวิต ความคิด
ความรู้สึกของเราผันแปรไปตามกระแสสังคมที่เมื่อไม่รักไม่ชอบ
ก็คือความเกลียดชัง การไม่ยอมรับ การเลิกสมาคม
แต่ให้เราดำเนินชีวิตโดยมีความรักของพระเจ้าเป็นที่ตั้ง
ความรักที่เชื่อในส่วนดีของมนุษย์ทุกคนอยู่เสมอ มองคนอื่นๆ
ด้วยสายตาแห่งความรักของพระเจ้า
แล้วเราจะรู้ว่าทุกคนมีส่วนดีที่จะให้เรายังคงรักเขาได้อยู่ตลอดเวลา



ขอพระเจ้าอวยพร



รัฐศาสตร์ สร้างถิ่น

คจ.สายธารแห่งชีวิต แบ๊บติสต์

1/90 ซอยนาทอง ถ.ประชาสงเคราะห์

ดินแดง กรุงเทพฯ 10310

โทร 02-2745597


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #424 เมื่อ: 27 ธ.ค. 10, 20:05 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

เดโบราห์ ผู้นำทาง

นางเดโบราห์จึงกล่าวแก่บาราคว่า ลุกขึ้นเถิด
เพราะว่านี่เป็นวันที่พระเจ้าทรงมอบสิเสราในมือของท่าน
พระเจ้าเสด็จนำหน้าท่านไปมิใช่หรือ (ผู้วินิจฉัย 4:14)

ผู้นำสตรีในพระคัมภีร์เดิมมีน้อยและอยู่ในยุคที่ห่างกัน
แต่สำหรับเรื่องราวของเดโบหราห์ในหนังสือผู้วินิจฉัยบทที่สี่
ก็มีมากพอให้สตรีทั้งหลายปลื้มใจได้
ฉันแน่ใจว่าเธอน่าจะเป็นหนึ่งในสตรีคนโปรดของพระเจ้า

เดโบราห์เป็นผู้เผยพระวจนะสตรี
ที่นำอิสราเอลในช่วงเวลาที่ประชาชนถูกกดขี่โดยกษัตริย์ต่างชาติชาวคานาอัน
ชื่อของเธอแปลว่า ผึ้ง และเธอก็เป็นผึ้งงานที่ทำงานอยู่ตลอดเวลา
เธอเป็นทั้งผู้ให้คำปรึกษา ผู้วินิจฉัยตัดสินคดีความ
และยังเป็นนักรบอีกด้วย สำนักงานของเธอตั้งอตู่ใต้ต้นอินทผลัม
ที่ใครๆก็รู้จักกันในนามของดงอินทผลัมของเดโบราห์

วันหนึ่งเดโบราห์ให้คนไปตามบาราค หนึ่งในผู้นำกองทัพอิสราเอลมาพบ
พระเจ้าทรงมีพระบัญชาให้เรียกนักรบผู้กล้าคนนี้ที่มีชื่อแปลว่า สายฟ้า
เมื่อเขามาถึง เธอบอกกับเขาชัดเจนถึงพระบัญชาที่มีมาจากจอมเจ้านายสูงสุดองค์พระผู้เป็นเจ้า
สั่งให้เขาออกไปทำศึกสงคราม (ผู้วินิจฉัย 4:6-7)

บาราคไม่กล้าพอที่จะปฏิบัติตามพระบัญชา และพูดออกมาราวกับเป็นเด็กว่า
ถ้าแม้นางไปกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไป ถ้าแม้นางไม่ไปกับข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าก็ไม่ไป (ผู้วินิจฉัย 4:8)

ก็ได้ เดโบราห์ตอบ ฉันจะไปกับท่าน
แต่ว่าทางที่ท่านไปนั้นจะไม่นำท่านไปถึงศักดิ์ศรี
เพราะว่าพระเจ้าจะขายสิเสราไว้ในมือของหญิงคนหนึ่ง (ผู้วินิจฉัย 7:9)
(เดโบราห์ไม่ได้หมายถึงตัวเธอเอง
แต่เป็นหญิงอีกคนที่จะเป็นผู้จัดการศัตรูจนได้รับชัยชนะ -ผู้วินิจฉัย
4:17-24) เห็นได้ชัดว่าบาราคไม่ได้วางใจในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า
แต่ยังดึงดันจะให้เดโบราห์สตรีแห่งความเชื่อท่านนี้เดินทางไปสนามรบด้วย

เดโบราห์ตำหนิบาราคที่ขาดความเชื่อ
แต่เธอไม่ได้ทำให้เขาอับอายหรือเข้าไปทำหน้าที่แทน
เธอรู้ว่าเขาเป็นนักรบที่ต้องนำกองทัพออกสู่สมรภูมิ
เธอเป็นผู้เผยพระวจนะที่คอยส่งเสริม กระตุ้น และให้กำลังใจ
เดโบราห์ไม่ได้เป็นผู้นำทัไป
แต่ก้าวไปพร้อมกับบาราคเพื่อให้เป้าหมายขององค์พระผู้เป็นเจ้าสำเร็จ
เธอไปกับเขาที่สนามรบ และเมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น
เธอคอยแนะนำและให้กำลังใจ

บาราคเองได้รับกำลังใจจากสตรีที่น่าทึ่งท่านนี้
เธอจุดประกายความกล้าเข้าไปในหัวใจที่ขลาดกลัวของเขา
ทำให้เขาทำตามพระบัญชา นำทัพติดตามพระเจ้าเข้าสู่สนามรบได้
เธอบอกให้เขาไม่ต้องสนใจในรถเหล็กร้อยคันของศัตรู
แต่ให้วางใจในพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ
ในวันนั้นพระเจ้าทรงทำให้สิเสราสับสนจนกองทัพอิสราเอลสามารถจัดการกับศัตรูจนได้ชัยชนะ
หลังจากนั้น ทั้งเดโบราห์และบาราคได้ร่วมกันขับร้องบทเพลงเฉลิมฉลองชัยชนะของประเทศ

เราเรียนรู้เรื่องใดบ้างจากอำนาจแห่งถ้อยคำของเดโบราห์?
กำลังใจของเธอกระตุ้นให้บาราคเดินหน้าทำตามสิ่งที่พระเจ้าบัญชาได้
เธอไม่เพียงแต่มอบถ้อยคำแห่งกำลังใจ แต่ร่วมเดินทางด้วยกันไปสู่สมรภูมิรบ
ถ้อยคำของเธอไม่เพียงแต่หนุนกำลังให้แก่บาราค
แต่ค่อยเติมเชื้อไฟให้แก่หายนะของศัตรู เธอทำหน้าที่ของเธอครบถ้วน
หนุนกำลัง เสริมและกระตุ้นให้บาราคทำหน้าที่นักรบได้อย่างเต็มกำลัง
เธอไม่ได้พยายามแย่งหน้าที่เพื่อให้ตัวเองโดดเด่น
แต่ทำงานร่วมกับคนอื่นๆเพื่อให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จลงในผู้รับใช้ของพระองค์ทุกคน

โดย: Sharon Jaynes

Girlfriends in God: www.crosswalk.com


เราทุกคน ไม่ว่าหญิงหรือชายเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า
เราควรเป็นผู้ที่ให้กำลังใจ หนุนใจ หรือให้คำแนะนำแก่ผู้คนรอบข้างได้
แต่ต้องทำด้วยใจถ่อมสุภาพ ด้วยความรัก และถูกต้องตามกาละเทศะ
เมื่อเราให้กำลังใจผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เราเองก็ทุกข์ใจ
เหมือนพระเจ้าเติมกำลังใจคืนให้เราอย่างนึกไม่ถึงทีเดียว
สรรเสริญพระเจ้า

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #425 เมื่อ: 6 ม.ค. 11, 16:44 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 


เกษตรฯหนุนสืบทอดใช้ภูมิปัญหาท้องถิ่นทำนาแบบวิถีคริสต์สร้างสามัคคีในชุมชน

หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- พฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน 2553 09:00:46 น.

นายศุภชัย โพธิ์สุ รมช.เกษตรและสหกรณ์
เปิดเผยภายหลังร่วมกิจกรรมเกี่ยวข้าวในโครงการทำนาแบบวิถีคริสต์
ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่บ้านคำเกิ้ม อ.เมือง จ.นครพนม ว่า
เป็นกิจกรรมที่ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น
ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องในแผนปฏิบัติการของโรงเรียนบ้านคำเกิ้ม
โดยได้ดำเนินการเป็นปีที่ 2
เพื่อเปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาทั้ง 4 ด้าน ได้แก่
ด้านวิชาการ ด้านงบประมาณ ด้านบริหารงานบุคคล และด้านบริหารทั่วไป
โดยวัดนักบุญยอเซฟบ้านคำเกิ้ม ได้สนับสนุนพื้นที่นาจำนวน 5 ไร่
เพื่อสนับสนุนการดำเนินวิถีชีวิตแบบพอมีพอกินตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
คำนึงถึงความพอประมาณ มีเหตุผล สร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนเอง
ใช้ความรู้และคุณธรรมเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน



นายศุภชัย กล่าวต่อไปว่า สำหรับกิจกรรมการทำนาแบบภูมิปัญญา
ได้ใช้ควายไถนา มีการลงแขกดำนาและเกี่ยวข้าว การใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพ
และการนวดข้าวแบบโบราณ โดยใช้ครูภูมิปัญญาในชุมชน
ในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่นักเรียน และผลผลิตที่ได้จากการทำนา
ก็นำมาใช้สนับสนุนโครงการอาหารกลางวันของนักเรียนโรงเรียนบ้านคำเกิ้ม
เพื่อมีข้าวรับประทานตลอดปีการศึกษา
ส่วนที่เหลือก็นำไปขายแล้วนำเงินมาสนับสนุนส่วนที่ขาดแคลนส่วนอื่น

"การจัดกิจกรรมทำนาและเกี่ยวข้าวโดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น มีคุณค่ามหาศาล
นอกจากจะเป็นการสืบทอดประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของชาติแล้ว
ยังสร้างความรัก ความสามัคคี ให้แก่คนในชุมชน
ตลอดจนการปลูกฝังให้เยาวชนรุ่นใหม่ได้เห็นคุณค่าและความสำคัญของอาชีพการทำนาด้วย"
นายศุภชัย กล่าว



noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #426 เมื่อ: 9 ม.ค. 11, 13:31 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ตัวปลอม

"มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า 'พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า'
จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา
ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้" (มัทธิว 7:21)

ทราบหรือไม่ว่าคนที่อธิษฐาน รับบัพติศมา รักษาพระบัญญัติสิบประการ
ไปโบสถ์สม่ำเสมอ ไม่จำเป็นต้องเป็นคริสเตียน?
คริสเตียนโดยทั่วไปต้องทำสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว
แต่การทำสิ่งต่างๆเหล่านี้โดยตัวของมันเองไม่ได้แปลว่าคุณเป็นคริสเตียน

พระเยซูตรัสว่า "มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า 'พระองค์เจ้าข้า
พระองค์เจ้าข้า' จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์
แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้"
(มัทธิว 7:21)

ในโบสถ์จะมีคนประเภทตัวปลอม พวกเขาอาจนั่งข้างๆเรา
ร้องเพลงเดียวกันกับเรา อธิษฐานเหมือนกับเรา
รู้ศัพท์คริสเตียนเป็นอย่างดี ดูยังไงๆก็เหมือนคริสเตียน
แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่

เมื่อมีบางสิ่งดีๆเกิดขึ้น คุณแน่ใจได้เลยจะมีของลอกเลียนแบบ
และมารก็เป็นเจ้าพ่อแห่งการลอกเลียนแบบ
พระเยซูทรงเล่าอุปมาเรื่องข้าวสาลีและข้าวละมานที่ชาวนาคนหนึ่งลงแรงปลูกข้าวสาลีไว้
พอตอนกลางคืนพวกศัตรูก็มา และหว่านเมล็ดข้าวละมาน
หรือวัชพืชอื่นๆไว้ลงในแปลงข้าวสาลี
ชาวนาจะไม่มีทางรู้จนพืชนั้นโผล่ยอดขึ้นมาเหนือดิน
และโตจนพอสังเกตุเห็นได้ ที่แย่คือ
พวกข้าววัชพืชเหล่านี้จะดึงเอารากของข้าวสาลีขึ้นมา
ที่พระเยซูตรัสนั้นทรงหมายถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อพระองค์เสด็จกลับมา
จะมีของแท้และของปลอมปรากฎให้เห็น ของปลอมจะยืนเคียงข้างกันกับของแท้
คริสเตียนปลอมจะไม่ค่อยบากบั่นดิ้นรนมากนัก
เพราะคริสเตียนแท้ทุกคนจะมีชีวิตที่บากบั่นดิ้นรน
คริสเตียนทุกคนมีเวลาที่ล้มลง คริสเตียนปลอมจะมีฟอร์ม จะแสร้งทำ
เป็นพวกที่สวมบทบาทการแสดง พวกเขาแสร้งประพฤติตนดียามเมื่ออยู่ในโบสถ์
แต่เป็นคนละคนในชีวิตประจำวันข้างนอกโบสถ์

ถ้าคุณเป็นคริสเตียนแท้ มันจะสำแดงออกมาในการดำเนินชีวิตของคุณในแต่ละวันครับ

โดย: Pastor Greg Laurie

อนุญาตโดย Harvest Ministries with Greg Laurie

PO Box 4000, Riverside, CA 92514



เจ้าของลิขสิทธิ์ผลงานต่างๆจะรู้พิษสงของการลอกเลียนแบบเป็นอย่างดี
มนุษย์อาจหลุดรอดไปได้
แต่ในวันสุดท้ายพระเจ้าไม่ปล่อยให้ของปลอมหลุดรอดไปได้แน่นอน
ใครที่ยังทำตัวเป็นของปลอมอยู่ กลับใจเถอะค่ะ ยังไม่สายเกินไป - ขอพระเจ้าเมตตา

ChurchofJoy
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #427 เมื่อ: 19 ม.ค. 11, 10:48 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
บทความ

พระเจ้ามองคริสตจักรของพระองค์อย่างไร

โดย อ.นิมิต พานิช คริสตจักรแห่งพระบัญชา

พระธรรมมัทธิว 16:18 ฝ่ายเราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร {ภาษากรีกว่า
เปโตร} และบนศิลา {ภาษากรีกว่า เปตรา} นี้
เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้
และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้

เราเห็นสิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสถึงเปโตร
ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเชื่อที่ถูกต้องอย่างแท้จริง
ที่พระเจ้าจะสร้างคริสตจักรของพระองค์ มี 3
สิ่งด้วยกันที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากพระวจนะของพระเจ้าในวันนี้

ประการแรก พระเจ้ามองว่า คริสตจักรเป็นของพระองค์

พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า "เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้..."
พระเยซูได้ตรัสไว้อย่างชัดเจนว่าพระเยซูไม่ได้สร้างคริสตจักรโดยเป็นของใครคนใดคนหนึ่ง
พระเจ้ากำลังมองหาคริสตจักรของพระองค์ในวันนี้
เราจะต้องเข้าใจถึงคริสตจักรว่าคริสตจักรนั้นเป็นสิ่งที่พระองค์มองหา
และพระองค์กำลังมองหาคริสตจักรที่ยอมให้พระองค์เป็นเจ้าของคริสตจักร
เราต้องยอมรับความจริงโดยที่ใจเราต้องไม่มีอคติ ไม่ว่าเราจะเป็นใครก็ตาม

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่อันตรายมากในการที่เราไม่ได้เข้าใจแผนการของพระเจ้าอย่างแท้จริง
สิ่งหนึ่งที่ผู้รับใช้พระเจ้าจะต้องตระหนักอย่างแท้จริง
และสมาชิกผู้เชื่อจะต้องเข้าใจก็คือ คริสตจักรนั้นเป็นของพระเจ้า

ข้าพเจ้าและภรรยามาถึงจุดแห่งความเข้าใจในเรื่องนี้ เมื่อสองปีที่ผ่านมา
เมื่อเราได้มอบคริสตจักรของพระเจ้ากลับคืนแก่พระเจ้า
ข้าพเจ้าชันสูตรใจทุกวันเวลาตั้งแต่เมื่อสองปีที่แล้ว
ที่เมื่อพระเจ้าได้ทรงย้ำเตือนและมาพูดกับเราให้ถวายคริสตจักรกลับคืนแก่พระองค์
ให้พระองค์เป็นเจ้าของคริสตจักรอย่างแท้จริง
เราเป็นเพียงผู้รับใช้ของพระเจ้าที่พระองค์ทรงเรียกมา
การพูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่รักห่วงใย
เมื่อพระเจ้าได้ทรงเรียกเรามาเป็นผู้อารักขา
เราต้องอารักขาทุกสิ่งของพระเจ้าเป็นอย่างดี
เราต้องอารักขาฝูงแกะของพระเจ้าเป็นอย่างดี

เมื่อพระเจ้าแต่งตั้งผู้เลี้ยง ผู้เลี้ยงเป็นเหมือนตัวแทน
พระเจ้าให้สิทธิอำนาจแก่ผู้เลี้ยงเพื่อนำแกะไปสู่แผนการของพระองค์
เราในฐานะผู้รับใช้ของพระองค์ เราต้องทำให้ฝูงแกะได้ยินเสียงของพระองค์
แกะทุกตัวที่ได้ยินเสียงของพระเจ้าในวันนี้
บางครั้งเมื่อคนตั้งใจจะไม่เชื่อฟังสิทธิอำนาจของพระเจ้าผ่านทางคริสตจักร
เมื่อคนไม่ตั้งใจที่จะเชื่อฟังผู้นำหรือผู้เลี้ยงที่พระเจ้าได้ทรงโปรดแต่งตั้งขึ้น
เขามักจะอ้างว่า เขาฟังเสียงพระเจ้าเอง เขาจะไม่ฟังเสียงมนุษย์ทั้งสิ้น
ความคิดแบบนี้ หรือความเชื่อแบบนี้ก็ตกขอบและเป็นความเชื่อที่อันตราย
เราจะต้องติดตามผู้เลี้ยงที่ได้ยินเสียงของพระเจ้า
และข้าพเจ้าเชื่อว่าไม่ใช่ผู้เลี้ยงทุกคนที่จะเป็นผู้เลี้ยงของพระเจ้า
พระวจนะก็พูดว่า ไม่ใช่ผู้เลี้ยงทุกคนที่จะเป็นผู้เลี้ยงของพระเจ้า
พระเจ้าได้เตือนใจผู้เลี้ยงไว้ตั้งแต่ในพระคัมภีร์เดิม
ในพระธรรมเอเสเคียล บทที่ 34:2-6 นั้น
พระวจนะได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ต่อว่าผู้เลี้ยง
พระเจ้าไม่เคยบอกว่า
แกะที่พระเจ้ามอบไว้ในมือของผู้เลี้ยงจะกลายเป็นแกะของผู้เลี้ยง
แต่ผู้เลี้ยงต้องรักแกะเหมือนอย่างที่พระเจ้ารัก

ผู้เลี้ยงแกะจะต้องยืนกล่าวรายงานต่อพระพักตร์ของพระเจ้า
และเราต้องดูแลแกะด้วยหัวใจขององค์พระเยซูคริสต์ ในวันนี้
พระเจ้ามองหาหัวใจของผู้เลี้ยงแกะ วันนี้หัวใจของผู้เลี้ยงแกะอยู่ที่ไหน
วันนี้หัวใจของผู้เลี้ยงที่พระเจ้ามองหา คือ ท่านหรือไม่

ข้าพเจ้าหนุนใจผู้รับใช้พระเจ้าทุกคน ข้าพเจ้าหนุนใจผู้เลี้ยงทุกคน
ข้าพเจ้าหนุนใจทุกคนแม้ท่านจะมีแกะในมือเพียงไม่กี่คน แกะเป็นของพระเจ้า
นี่คือสิ่งที่พระเจ้ามองคริสตจักรของพระองค์ว่าคริสตจักรเป็นของพระองค์

ประการที่สอง พระองค์กำลังสร้างคริสตจักรของพระองค์

พระเจ้ากำลังสร้างคริสตจักรของพระองค์
เราทั้งหลายจะต้องตระหนักถึงสิ่งที่พระองค์กำลังสร้าง
คริสตจักรนั้นต้องเป็นคริสตจักรที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า
คริสตจักรต้องเป็นคริสตจักรแห่งความบริสุทธิ์ชอบธรรมของพระองค์

ข้าพเจ้าเชื่อว่า ผู้รับใช้พระเจ้ามากมายที่มีความจริงใจ
กำลังสร้างคริสตจักรของพระเจ้า
และข้าพเจ้าขอเป็นกำลังใจถึงผู้รับใช้ทุกท่านร่วมกันสร้างคริสตจักรของพระองค์อย่างแท้จริง
คริสตจักรที่พระองค์มีแผนการ

เราต้องสร้างคริสตจักรตามแผนการของพระเจ้า
เราต้องสร้างคริสตจักรตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
ไม่ใช่สร้างคริสตจักรที่เป็นอาณาจักรของผู้นำเราไม่ได้สร้างคริสตจักรที่เป็นอาณาจักรขององค์กร

เราไม่ได้สร้างคริสตจักรที่เป็นอาณาจักรของใครคนใดคนหนึ่ง
แต่เขาต้องสร้างคริสตจักรตามแผนการและน้ำพระทัยของพระองค์
คริสตจักรจะต้องสร้างด้วยหัวใจของพระ

เอเฟซัส 4:11 11 ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต
บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ
บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์



ทำไมพระเจ้าต้องให้ของประทานทั้งห้า เพื่อสร้างคริสตจักรของพระองค์
เพื่อเตรียมธรรมิกชน
เพื่อสร้างคริสตจักรให้จำเริญเติบโตไปสู่ความจำเริญขององค์พระเยซูคริสต์

เราจะต้องเชื่อในการขับเคลื่อนของของประทานทั้งห้า
ขอพระเจ้าอวยพรให้คริสตจักรในประเทศไทยนี้เป็นคริสตจักรที่ถูกสร้างขึ้นตามแบบแผนของพระเจ้า
พิมพ์เขียวเป็นมาจากพระองค์ พระเยซูกำลังสร้างคริสตจักรของพระองค์
และพระองค์กำลังมองหาคริสตจักรของพระองค์

คริสตจักรที่ถ่อมใจยอมรับความแตกต่าง ยอมรับการทรงเรียก
ยอมรับของประทานของกัน ไม่แข่งขัน ไม่ชิงดีชิงเด่นกัน
ข้าพเจ้าวิงวอนว่าขอพระเจ้าสร้างคริสตจักรอย่างนี้
ผ่านหัวใจของผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ ข้าพเจ้าเชื่อว่า คนที่จริงใจ
คนที่สัตย์ซื่อ คนที่ตายต่อตัวเองอย่างแท้จริง
เขาจะเป็นคนที่สร้างคริสตจักรของพระเยซู
อาจารย์เปาโลนั้นเรียกร้องว่าให้เราตายต่อตนเอง แบกกางเขนตามพระเยซูไป
พระเยซูได้ท้าทายเหล่าสาวกของพระองค์ ผู้ใดที่เอาชนะตนเอง
แบกกางเขนตามพระองค์ไป

วันนี้ขอให้ความรักของพระเจ้าเต็มเปี่ยมผู้นำทุกระดับในคริสตจักรของพระองค์ในเช้าวันนี้
ข้าพเจ้าขอวิงวอนพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ได้เพิ่มพูนความรัก
ได้เพิ่มพูนของประทาน ได้เพิ่มพูนความถ่อมใจ
ได้เพิ่มพูนฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ได้เพิ่มพูนความบริสุทธิ์ชอบธรรม
ขอทรงให้คริสตจักรได้เรียนรู้ที่จะร่วมมือกันและกัน
ประสานพระกายกันและกัน เพื่อคริสตจักรจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
เพื่อคริสตจักรนั้นจะนำพระพร
เพื่อคริสตจักรนั้นจะสามารถบังคับบัญชาพระพรของพระเจ้า
เหมือนในพระธรรมสดุดี 133

ข้าพเจ้าเรียกร้องศิษยาภิบาล

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #428 เมื่อ: 21 ม.ค. 11, 10:41 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

มีอะไรที่ยากเกินไปสำหรับพระเจ้าหรือ?

9mon 15 ธ.ค. 2010,

"มีสิ่งใดที่อัศจรรย์เกินฤทธิ์พระเจ้าจะทำได้ ..." ปฐมกาล 18:14

เด็กผู้ชายคนหนึ่งพยายามกลิ้งหินให้ออกไป ขณะที่ผู้เป็นพ่อมองดูอยู่ไกลๆ
เด็กน้อยทั้งหอบทั้งเหนื่อยแต่หินก็ไม่ขยับไปจากที่

ผู้เป็นพ่อจึงยิ้มและพูดว่า "ลูกรัก ลูกใช้กำลังที่มีอยู่หมดแล้วหรือ?"
เด็กตอบว่า "ใช่ครับพ่อ ผมใช้แรงที่มีอยู่ทั้งหมดแล้ว" พ่อตอบว่า
"ไม่หรอก ลูกยังไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมดที่ลูกมี
เพราะลูกยังไม่ได้ขอให้พ่อช่วย กำลังของพ่อก็คือกำลังของลูกด้วย"

บางครั้งเราปล้ำสู้อยู่กับปัญหา แล้วก็พูดว่า "ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว"
แต่พระบิดาของเราอยากให้เราพูดว่า "ลููกหมดกำลังแล้ว"
และวิ่งเข้าไปหาพระองค์ พระองค์ทรงคอยอยู่

ไม่มีปัญหาใดใหญ่เกินกว่าที่พระเยซูจะแก้ได้

คุณเชื่อเช่นนั้นหรือเปล่า? ผมหวังว่าคุณเชื่อ

คุณมีปัญหาใดใหญ่เกินแก้หรือ? มอบให้พระเยซู พระองค์จัดการได้

โดย: Pastor Adrian Rogers

Daily devotional

Love worth finding ministries: www.lwf.org

เคยบอกกับเพื่อนที่ยังไม่เชื่อและมีปัญหาหนักว่าให้ลองทูลขอความช่วยเหลือ
จากพระเจ้าสิ เขาตอบว่า "ไม่มีทางหรอก
ปัญหาของฉันใหญ่เกินกว่าที่พระเจ้าจะช่วยได้"
นี่คือความรู้สึกของคนที่ยังไม่เชื่อในพระเจ้า แต่สำหรับเรา
พระเจ้าตรัสไว้ในพระคัมภีร์ว่า
"เพราะว่าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งพระเจ้าทรงกระทำไม่ได้ " (ลูกา 1:37) ...
เราเองเชื่อเช่นนี้หรือไม่? - ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ChurchofJoy
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #429 เมื่อ: 22 ม.ค. 11, 10:40 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ความพอใจ

หนึ่งในสิ่งฉลาดที่สุดที่ผมเคยอ่านเจอเป็นข้อเขียนของนักปรัชญาท่านหนึ่งที่พูดว่า
"สำหรับคนที่สิ่งเล็กน้อยก็ไม่เพียงพอ ก็จะไม่มีอะไรพอเพียงเลย"
ถ้าคุณยังไม่ได้เรียนรู้ที่จะมีความพอใจในฐานะที่คุณเป็นอยู่
คุณก็จะไม่มีความพอใจในเรื่องอื่นใดได้เลย

อ.เปาโลได้ให้แบบอย่างแก่เราไว้เมื่อท่านกล่าวว่า
"ข้าพเจ้าไม่ได้บ่นถึงเรื่องความขัดสน เพราะข้าพเจ้าจะมีฐานะอย่างไรก็ตาม
ข้าพเจ้าก็เรียนรู้แล้วที่จะพอใจอยู่อย่างนั้น
ข้าพเจ้ารู้จักที่จะเผชิญกับความตกต่ำ
และรู้จักที่จะเผชิญกับความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าในกรณีใดๆ
ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับที่จะเผชิญกับความอิ่มท้องและความอดอยาก
ความสมบูรณ์พูนสุข และความขัดสน" (ฟีลิปปี 4:11-12)

1ทิโมธี 6:8 ท้าทายเราว่า "แต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้า
ก็ให้เราพอใจด้วยของเหล่านั้นเถิด"

พระเยซูทรงอธิษฐานว่า
"ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในกาลวันนี้" (มัทธิว
6:11)

ผมเองรู้ว่าผมต้องการสิ่งใด และรู้ด้วยว่าคุณต้องการสิ่งใด
ผมต้องการมีเพียงพอจนไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงพระเจ้า
ผมต้องการมีเงินในธนาคารมากพอที่จะมีใช้จ่ายในวันพรุ่งนี้
และไม่ต้องกังวลไปกับมัน นี่คือสิ่งที่พวกเราทุกคนต้องการ ใช่หรือไม่?
เราเรียกสิ่งนี้ว่า "ความมั่นคง"

คำถาม: ใช่ความมั่นคงแน่จริงหรือ? ใครกันแน่ที่มั่นคงกว่า -
ชายคนที่มีโกดังเต็มไปด้วยขนมปังเหม็นเน่า ที่มีทั้งหนูมาแทะกิน
หรือมีขโมยเข้ามาลักไปได้
หรือชายที่มีบิดาที่เป็นเจ้าของโรงงานขนมปังที่ร่ำรวยที่สุด?

โดย : Pastor Adrian Rogers

Daily treasure

Love worth finding ministries: www.lwf.org


พวกเรามักมีความกังวลว่าจะไม่มีเงินในกระเป๋า ไม่มีอาหารบนโต๊ะ
ไม่มีค่าเล่าเรียนลูก ค่ารักษาพยาบาล ฯลฯ
จึงยากที่จะนำความกังวลนี้มามอบวางไว้ที่พระเจ้ได้
แต่หลายครั้งในพระวจนะ พระองค์ก็บอกให้เราละความกระวนกระวาย
มาวางใจในพระองค์แทน คงเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝน
และพึ่งพิงพระองค์วันต่อวันทีเดียว

อธิษฐานขอการปกป้องไปถึงทุกคนที่ต้องเดินทางไกลไปต่างจังหวัด
ในช่วงวันหยุดยาวนี้ - ขอพระเจ้าอวยพระพรค่ะ


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #430 เมื่อ: 23 ม.ค. 11, 13:12 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
ดำเนินชีวิตด้วยความรอบคอบ และด้วยคำอธิษฐาน

"มีใครในพวกท่านโดยความกระวนกระวาย
อาจต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ?" (มัทธิว 6:27)

ความกระวนกระวายไม่อาจต่อชีวิตให้ยืนยาวต่อไปได้
มีแต่จะทำให้คุณไม่สบายใจยิ่งขึ้น
ที่จริงความกระวนกระวายอาจทำให้ชีวิตคุณสั้นลง - หรืออาจทำให้ยากขึ้น
นอกจากลุ่มหลงกับรูปกายภายนอกแล้ว
วัฒนธรรมของเรายังหมกมุ่นกับการยื้อชีวิตให้ยืนยาว
เราออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ กินอาหารถูกสุขลักษณะ
กินวิตามินและอาหารเสริม
ตรวจสุขภาพเพื่อให้แน่ใจว่าชีวิตอาจยาวออกไปได้อีกหลายปี

ผมไม่ได้คิดในแง่ต่อต้านนะครับ ผมคิดว่าการดูแลร่างกายเป็นสิ่งที่ดี
เพราะเราต่างก็อยากอยู่ให้นาน และด้วยสุขภาพที่ดีเท่าที่ทำได้
แต่พระเยซูตรัสว่า "ใครในพวกท่านโดยความกระวนกระวาย
อาจต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ?" (มัทธิว 6:27) คำภาษากรีก
"ศอก" หมายถึง "ระยะเวลายาวของชีวิต" สิ่งที่พระเยซูตรัสคือ
"ใครในพวกท่าน โดยความกระวนกระวาย
สามารถต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกได้หรือ?"คำตอบคือ-ไม่มีใคร

มีสถานที่หลายแห่งที่ช่วยคุณดูแลสุขภาพกาย
และคุณเองก็ไม่ควรละเลยในเรื่องนี้ แต่ถ้าคุณมัวแต่เน้นเรื่องทางกาย
และละเลยเรื่องวิญญาณ หรือเน้นแต่เรื่องจิตวิญญาณจนละเลยเรื่องทางกายไป
อย่าลืมว่า พระเจ้าใส่วิญญาณเข้าไปในร่างกายคุณ ดูแลกันด้วยนะครับ

ดังนั้น ให้เข้าใจเถิดว่าคุณจะมีชีวิตอยู่ได้ตามที่พระเจ้ากำหนด
ไม่มากไม่น้อยกว่านั้น คุณไม่ได้กำหนดวันเกิดของคุณเอง
และคุณก็ไม่ได้กำหนดวันตายเองด้วย
แต่ในระหว่างที่มีชีวิตอยู่คุณสามารถเลือกที่ทำสิ่งต่างๆได้
นี่คือสิ่งที่สดุดี 90:12 กล่าวไว้

"ขอพระองค์ทรงสอนให้นับวันของข้าพระองค์
เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะมีจิตใจที่มีปัญญา"

จงดำเนินชีวิตด้วยความรอบคอบ ด้วยการอธิษฐาน
และตระหนักว่าความวิตกและความกระวนกระวายไม่อาจต่อชีวิตคุณให้ยืนยาวออกไปได้ครับ

Pastor Greg Laurie

อนุญาตโดย Harvest Ministries with Greg Laurie

PO Box 4000, Riverside, CA 92514


ปีที่กำลังจะผ่านไปเราอาจใส่ใจเรื่องอื่นๆมากมาย แต่ลืมใส่ใจเรื่องวิญญาณ
ขอให้ปีใหม่ที่จะมาถึงนี้
ให้เราดูแลจิตวิญญาณให้ตรงต่อจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า
พระองค์เฝ้ารออยู่ค่ะ

ขอให้ทุกคนมีความสุข
และมีสันติสุขขององค์พระผู้เป็นเจ้าติดตามไปทุกหนแห่งในปีใหม่ที่จะมาถึงนี้
- พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยค่ะ


ChurchofJoy.net
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #431 เมื่อ: 26 ม.ค. 11, 14:20 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
เมื่อคนอื่นปฏิเสธคุณ

9mon 9 ม.ค. 2011, 20:19 -

ฝ่ายพระเยซูจึงเสด็จเข้าเมืองเยรีโคและกำลังจะทรงผ่านไป ดูเถิด
มีชายคนหนึ่งชื่อศักเคียส เป็นนายด่านภาษีและเป็นคนมั่งมี
ศักเคียสพยายามจะดูให้เห็นพระเยซูว่า
พระองค์เป็นผู้ใดแต่ดูไม่เห็นเพราะคนแน่น ด้วยเขาเป็นคนเตี้ย
เขาจึงวิ่งไปข้างหน้าขึ้นต้นมะเดื่อ
เพื่อจะได้เห็นพระองค์เพราะว่าพระองค์จะเสด็จไปทางนั้น
เมื่อพระเยซูเสด็จมาถึงที่นั่น
พระองค์ทรงแหงนพระพักตร์ดูศักเคียสแล้วตรัสแก่เขาว่า "ศักเคียสเอ๋ย
จงรีบลงมา เพราะว่าเราจะต้องพักอยู่ในตึกของท่านวันนี้"
แล้วเขาก็รีบลงมาต้อนรับพระองค์ด้วยความปรีดี (ลูกา 19:1-6)

สิ่งหนึ่งที่ผมชอบเวลาไปเยือนแผ่นดินอิสราเอลคือไปที่เมืองเยริโค
ไปดูต้นมะเดื่อโบราณ
ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าต้นมะเดื่อต้นไหนกันที่ศักเคียสปีนขึ้นไปดูพระเยซู

สำหรับคนส่วนมากแล้ว ในสมัยนั้น ศักเคียสเป็นตัวปัญหาน่ารำคาญ
คนเก็บภาษีชาวยิวเป็นเหมือนพวกทรยศหักหลัง ร่ำรวยจากการทำงานให้พวกโรมัน
โดยบีบบังคับจากคนในชาติเดียวกัน ไม่มีใครอยากเกี่ยวข้องด้วย

ไม่มีใครเลย เว้นแต่พระเยซู...

เมื่อฝูงชนเริ่มแน่นหนา ศักเคียสจึงถูกไล่ไปให้พ้นทาง
เขาจึงตัดสินใจค่อยๆไต่ขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อมองหาพระเยซู
พอพระเยซูเสด็จมาถึง
ด้วยความประหลาดใจที่สุดสำหรับชายตัวเล็กที่ไม่มีใครเอาคนนี้ พระเยซูหยุด
เงยหน้าขึ้นไป และเรียกชื่อเขา ศักเคียสคงคิดว่า
"พระองค์รู้จักชื่อเราด้วยหรือนี่?"

นี่คือความมหัศจรรย์ขององค์พระเยซูคริสต์ ใช่หรือไม่?
พระเจ้าทรงรู้จักคุณ และทรงรู้จักผม
ทรงรู้จักผมของคุณและทรงนับไว้แล้วทุกเส้น

ไม่ว่าคุณเป็นใคร เคยทำอะไรมา สหายเลิศที่คุณมีได้คือองค์พระเยซูคริสต์
พระองค์ทรงรักคุณมาก มากจนยอมตายบนกางเขนเพื่อคุณ
ดังนั้นขอให้ใช้เวลาทุกวันกับพระองค์ในคำอธิษฐาน และในพระวจนะคำ

เมื่อคนอื่นปฏิเสธคุณ พระเยซูยอมรับคุณ ดังนั้นจงเข้าใกล้พระองค์ทุกๆวัน

อนุญาตโดย: Pastor Jack Graham


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #432 เมื่อ: 29 ม.ค. 11, 11:46 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
อย่าประหลาดใจที่ข่าวประเสริฐถูกต่อต้าน
9mon 10 ม.ค. 2011,

เมื่ออะไรๆดูแย่ไปหมด ขอให้พูดว่า "โอ้ นี่ดีมากๆ
เพราะเป็นสิ่งที่พระเยซูตรัสเอาไว้แล้วว่ามันจะเกิดขึ้น"

และเมื่อความมืดคืบคลานเข้ามา
ให้เราสามารถพูดได้ว่าความมืดที่น่าพิศวงนี้กำลังจะเกิดขึ้น
และเป็นไปตามที่พระคัมภีร์เคยพยากรณ์ไว้ทุกประการ
อย่ามีแนวคิดว่าถ้าพระเยซูนำชัยชนะของพระองค์มาเปิดเผย นำความบริสุทธิ์
งดงาม สติปัญญา และความรัก มาประกาศให้ผู้คนรู้ แล้วผู้คนจะทรุดตัวลง
ยอมจำนนหมดสิ้น และเข้ามาหาพระองค์ ถ้าคุณเชื่อเช่นนั้น
คุณก็มีความคาดหวังที่ผิด และในที่สุดก็ผิดหวัง...

บางทีคุณไปประกาศข่าวประเสริฐกับเพื่อนบ้าน หรือคนอื่นๆ
และคุณคิดว่าสิ่งที่ต้องทำคือสอนเรื่องหนทางสู่ความรอดที่ชัดเจน
คนที่ฟังจะมารับเอาพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด
อย่าไปคาดหวังนะครับว่าทุกคนจะรับฟังเรื่องราวข่าวประเสริฐ
เพราะพวกเขาจะไม่ฟัง แต่ไม่ได้หมายความว่าข่าวประเสริฐนั้นหมดความหมาย

โดย: Pastor Adrian Rogers

Daily treasure from the Words

Love worth finding ministries: www.lwf.org


ขอบคุณพระเจ้าที่ ผู้จัดการออนไลน์ ฉบับ 7
มกราคมนำบทสัมภาษณ์คำพยานของคุณโบ - สุรัตนาวี ลงอย่างละเอียด
ถึงแม้จะถูกต่อต้านด้วยความไม่เข้าใจ
แต่นี่คือยุคสุดท้ายที่เราต้องประกาศพระนามพระเยซูออกไป
เพื่อดวงจิตวิญญาณมากมายจะได้รับความรอด
อธิษฐานให้พระเจ้าเปิดตาใจฝ่ายวิญญาณของผู้อ่านทุกท่าน นำการกลับใจ
และความรอดฝ่ายวิญญาณไปถึงพวกเขาค่ะ ฝากอธิษฐานเผื่อคุณโบด้วยนะคะ

ChurchofJoy.net
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Guest
สาวน้อย
เรทกระทู้
« ตอบ #433 เมื่อ: 22 ก.พ. 11, 13:41 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

เรานะมองว่าคนเราคบกันควรมองที่ใจ แต่ก้ออดหากระทู้แบบนี้อ่านไม่ได้ ก้อเราดูคนไม่ออกนี่เลยอยากหาความรู้ใส่หัว อิอิ
ในมุมของเรานะ ไม่สำคัญหรอก และเราก้อไม่อยากมีคัย ไม่อยากมีภาระ อยู่รักษามันไปเรื่อยๆอย่างนี้แหละ เพราะเด๋วนี้คนเราหนะมันมั่วเกินไป คนที่บิสุทใช่ว่าจะหน้าตาไม่ดีนะ แต่เพราะเราไม่ง่ายต่างหาก อาจเพราะความหยิ่งในเกิยดในศักศรีด้วยแหละ แต่คนที่ไม่บริสุทก้อช่ายว่าไม่ดี บางคนน่าสงสารออก โดนรังแก แต่จะโทดคัยได้ อะไรเปลี่ยน อารายๆเลยเปลี่ยนตาม ทุกอย่างอยู่ที่เราคิดความคิดเป็นสิ่งสำคัญ เราตัดสินใครด้วยความคิดของเรา แม้บางทีเรายังไม่ยอมฟังเหตุผลของเขาเลย คนที่รักกันนั้น ก้อควรที่จะเข้าใจกันเอาใจเขาส่ใจเรา จึงจะยืด คุณบริสุทเปล่าไม่สำคัญหรอกน่ะ

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #434 เมื่อ: 5 มี.ค. 11, 10:34 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

โกหกสีขาว(White Lies) การกระทำสีเทาๆ

โดย ปัทมโรจน์ มากสุริวงศ์ คริสตจักรแห่งพระบัญชา

สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน วันเวลาช่างผ่านไปไวเหมือนโกหก
เพิ่งสวัสดีปีใหม่ไปไม่นาน ตอนนี้จะเข้าสู่เดือนที่สองของปี 2011 แล้ว
ได้ข้อคิดว่า เราคงจะบริหารเวลาให้ดีไม่เช่นนั้น
วันเวลาจะผ่านไปอย่างเสียเปล่า
เราก็จะมาเสียใจและเสียดายเวลาไม่ได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้

ผมมีโอกาสได้คุยกับพี่น้องคริสเตียน มีคำถามประเด็นร่วมสมัย คือ
เรื่อง โกหกสีขาว ผิดพระคัมภีร์หรือไม่

ที่มาของการโกหกสีขาว (White Lies) เป็น การโกหกด้วยเจตนาดี
เพื่อถนอมความรู้สึกและรักษาน้ำใจ
แทนที่จะบอกความจริงที่เชื่อว่าผู้ฟังคงรับไม่ได้ออกไป
บางครั้งการโกหกในลักษณะนี้เป็นการพูดเพื่อให้กำลังใจอีกฝ่าย
เรียกได้ว่าเป็นการโกหกเพื่อทำให้ผู้อื่นมีความสุขนั่นเอง

การ "รู้จักโกหก" เพื่อเข้าสังคมนั้น ส่งผลให้บุคคลนั้นๆ
เป็นที่ชื่นชอบของคนในสังคมมากกว่าผู้ที่พูดแต่ความจริงเพราะการเข้าสังคม
บางครั้งจำเป็นต้องปรุงแต่คำพูดซึ่งต่างไปจากความรู้สึกที่แท้จริงเพื่อให้
คู่สนทนาสบายใจและประทับใจ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ใส่หน้ากากเข้าหากัน"

พอล เอ๊กแมน ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
ซึ่งศึกษาเรื่องการโกหกมานานกว่า 40 ปี ลงความเห็นว่า
"มนุษย์ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการโกหกได้
ดังนั้นการทำความเข้าใจเรื่องการโกหกจะเป็นผลดีต่อชีวิต"
ฉะนั้นเราต้องรู้จักแยกแยะข้อเท็จจริงกับข้อคิดเห็นเวลาที่มีคนมาพูดอะไรให้เราฟัง
อย่าเพิ่งเชื่อทันทีต้องใช้สติปัญญาในการกลั่นกรองข้อมูลอย่างถูกต้อง
เราคงต้องมาพิจารณาดูประเภทของการโกหกก่อน

1. โกหกเพื่อปกป้องตนเอง เป็นการโกหกเพื่อการเอาตัวรอด เช่น
กลัวความผิด กลัวถูกทอดทิ้ง กลัวเสียเกียรติ กลัวการเผชิญหน้า
กลัวความผิดหวัง ฯลฯ
การโกหกประเภทนี้ในบางครั้งอาจร้ายแรงถึงขั้นโยนความผิด ใส่ความผู้อื่น
เป็นพยานเท็จ ฯลฯ

2. โกหกเพื่อหวังผลประโยชน์
เป็นการโกหกเพื่อทำให้ตนเองได้รับการยอมรับ ความไว้วางใจ
ได้โอกาสในการทำงาน มักเป็นในรูปของการปลอมแปลงข้อมูลทางคุณวุฒิ
คุณสมบัติ ฐานะการเงิน

3. โกหกตนเอง มักเกิดกับคนที่สูญเสียความมั่นใจ สับสน
และหวาดกลัวความจริง คนประเภทนี้มักสร้างเรื่อง
"หลอกตนเอง"ให้คลายจากความทุกข์ชั่วขณะ
เช่นหลอกว่าคนรักที่ทอดทิ้งไปยังมีใจให้อยู่เสมอ
และสุดท้ายคนเหล่านี้มักโทษตนเอง
อาจเลยไปถึงขั้นทำร้ายร่างกายตนเองหรือตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า
เพราะไม่สามารถรับความเป็นจริงได้

ดัง นั้นในความคิดของผม คิดว่าการโกหกเป็นเพียงการหลีกเลี่ยงความจริง
เมื่อคนที่ฟังทราบความจริงแล้วจะเสียความรู้สึกมากกว่าพูดตั้งแต่ครั้งแรก
เราต้องใช้สติปัญญาในการพูดความจริงให้เหมาะสม
หรือมีวิธีการสื่อสารที่ดีมากกว่าตัดสินใจเลือกวิธีการโกหกแบบบริสุทธิ์ใจหรือโกหกสีขาว

สิ่งที่ผมคิดในใจก็คือ การโกหกไม่ว่าจะสีอะไร
ก็ผิดหลักการพระคัมภัร์อยู่แล้ว เพราะพระคัมภีร์บอกว่า มัทธิว 5:37
จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ พูดแต่เพียงนี้ก็พอ คำพูดเกินนี้ไป
มาจากความชั่ว {หรือ มารร้าย}
ในพระบัญญัติของพระจ้า พระองค์ก็ทรงตรัสไว้อย่างชัดเจน เช่น ในเลวีนิติ
19:11 กล่าวว่า "เจ้าอย่าลักทรัพย์หรือโกง หรือมุสาต่อกัน"
ดังนั้นชัดเจนอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องถอดรหัส
ตีความเกินเลยไปกว่านั้น
การโกหกไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ถือเป็นความผิดบาปทั้งสิ้น
เพราะบาปทุกบาปเป็นสิ่งที่ร้ายแรงในสายพระเนตรพระเจ้าหากเรามีเจตนาดีในการพูด
แต่ใช้วิธีโกหก นั่นก็ถือเป็นความผิดบาป เพราะพระเจ้าสนใจวิธีการ
เนื้อหาและท่าที ทั้ง 3
สิ่งนี้จึงเป็นส่วนประกอบสำคัญที่เราต้องพิจารณาให้พระเจ้าทรงชันสูตร
เพราะการโกหกนำมาซึ่งการปรับโทษ

เรายังเห็นตัวอย่างที่พระเจ้าไม่พอพระทัยเมื่ออานาเนียและสัปฟีรามุสาและพระองค์ลงโทษพวกเขาอย่างรุนแรง
(กจ.5:3-5) หรือแม้ว่าตัวอย่างการโกหกของบุคคลที่ถูกบันทึกในพระคัมภีร์

ตัวอย่างการโกหก Classic ของอับราฮัมโกหกต่ออาบีเมเลคพระราชาแห่งเกราร์ก็
ว่าซาราห์ ภรรยาเป็นน้องสาว (ปฐก.2:2-10)
ซึ่งส่งผลเสียมากกว่าผลดีในการปกป้องภรรยาและตนเอง

กรณีนี้ สามีหลายท่านก็มักจะใช้ไม้เด็ดในการบอกกับคนอื่นที่มาถามไถ่ถึงภรรยาก็บอกว่าเป็นน้องสาว
เรียกว่า "เป็นโสดเฉพาะคืนนี้"

ในทางตรงกันข้าม บางครั้ง การพูดแบบซื่อ ๆ ก็อาจจะไม่ดีเสมอไป
โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ประสงค์ดีต่อเรา

มีคำกล่าวว่า "ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่คนที่พูดความจริงอาจจะตายได้"
เช่น โยเซฟ แทบเอาตัวไม่รอดเมื่อเล่าเรื่องความฝันของตนให้พี่ชายฟัง(ปฐก.37)

ข้อคิดคือ เราจึงควรใช้สติปัญญาในการพูดด้วย ทั้งนี้
โดยไม่บิดเบือนความจริง ดังที่พระเยซูกล่าวไว้

มัทธิว 10:16 "ดูเถิด เราใช้พวกท่านไปดุจแกะอยู่ท่ามกลางหมาป่า
เหตุฉะนั้นจงฉลาดเหมือนงู และไม่มีภัยเหมือนนกพิราบ

การพูดต้องพูดให้ถูกที่ ถูกเวลาและถูกคนว่าพูดกับใครด้วย

องค์ประกอบในการพิจารณา
กล่าวโดยสรุป การพิจารณาว่า คำพูดใดเป็นการโกหกหรือไม่
ควรคำนึงถึงองค์ประกอบ 3 สิ่ง ดังนี้

1. แรงจูงใจ พระเจ้าสนพระทัยแรงจูงใจของเราแรงจูงใจที่ถูกต้อง คือ
ไม่เห็นแก่ประโยชน์ของตนเองเป็นหลักแต่เห็นแก่ผู้อื่น
ด้วยเห็นแก่สิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม
เราเห็นตัวอย่างที่ชัดเจนจากกรณีของนางผดุงครรภ์ช่วยโมเสสให้รอดจากการถูกฆ่า
(อพย .1:1-21) ไม่ได้พูดอย่างตรงไปตรงมาไม่โกหกแต่ใช้สติปัญญาทั้งนี้
เพราะยำเกรงพระเจ้า

2. วิธีการ วิธีการที่เราเลือกควรจะไม่ขัดแย้งกับหลักการพระคัมภีร์
เช่น ในการทำธุรกิจ เช่น พูดไม่ครบหรือถึงขนาดพูดโกหก
แต่คริสเตียนทำเช่นนั้นไม่ได้ แท้ที่จริง
การแข่งขันในการทำงานเพื่อให้ได้ผลกำไรไม่ผิด
แต่ต้องไม่ใช้วิธีการที่ผิดเช่นโกหก

3. จิตสำนึก เรารักษาจิตสำนึกชอบเสมอในการทำทุกสิ่ง
รวมทั้งในการพูดด้วย
เพราะหากเราเลือกวิธีการเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่คับขันด้วยการโกหก
จิตสำนึกของเราจะเริ่มเสื่อมไป เพราะคิดว่าจะไม่เป็นไร โกหก
ครั้งแรกได้ก็มีครั้งต่อๆไป จิตสำนึกเราจะถูกครอบงำโดยมารได้ง่าย 1
ทิโมธี 4:2 ซึ่งมาจากการหน้าซื่อใจคดของคนที่โกหก
คือคนที่จิตสำนึกเป็นทาสของมาร

ข้อแนะนำในภาคปฎิบัติ
1. เลือกใช้วิธีการที่ถูกต้องที่สุดอย่างสุดความสามารถโดยไม่ประนีประนอม
2. พิจารณาแรงจูงใจเบื้องหลังของผู้ถาม และตอบอย่างเหมาะสม
หรือบางครั้งไม่ตอบเสียดีกว่าตอบไปอย่างบิดเบือน
3. ในการสื่อสารควรคิดพิจารณาอย่างรอบคอบของผลที่จะตามมาก่อนจะสื่อสาร
หากไม่แน่ใจ ควรขอคำแนะนำจากผู้ที่มีประสบการณ์และมีความเข้าใจพระคัมภีร์
4. คิดก่อนที่จะพูดทุกครั้ง โดยเฉพาะในเรื่องที่สำคัญ
5. พูดความจริงด้วยใจรัก โดยเห็นแก่ความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่ง

ดัง นั้นการโกหกสีขาว เป็นการกระทำสีเทาๆ


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #435 เมื่อ: 12 มี.ค. 11, 17:53 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

พบพระพรของพระเจ้าผ่านการรับใช้


ครั้นเวลาเย็นแล้วพวกสาวกมาทูลพระองค์ว่า "ที่นี่กันดารอาหารนัก
และบัดนี้ก็เย็นลงมากแล้ว ขอพระองค์ทรงให้ประชาชนไปเสียเถิด
เพื่อเขาจะได้ไปซื้ออาหารรับประทานตามหมู่บ้าน"
ฝ่ายพระเยซูตรัสกับพวกสาวกว่า "เขาไม่จำเป็นต้องไปจากที่นี่
พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด" พวกสาวกจึงทูลพระองค์ว่า
"ที่นี่พวกข้าพระองค์มีแต่ขนมปังเพียงห้าก้อนกับปลาสองตัวเท่านั้น"
พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "เอาอาหารนั้นมาให้เราเถิด"
แล้วพระองค์ทรงสั่งให้คนเหล่านั้นนั่งลงที่หญ้า
เมื่อทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นแล้ว
ก็แหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ ถวายคำสาธุการ และหักส่งให้เหล่าสาวก
เหล่าสาวกก็แจกให้คนทั้งปวง เขาได้กินอิ่มทุกคน
ส่วนเศษอาหารที่ยังเหลือนั้น เขาเก็บไว้ได้ถึงสิบสองกระบุงเต็ม (มัทธิว
14:15-20)

คำถามหนึ่งที่ผมมักได้ยินบ่อยๆเมื่อคุยกันเรื่องพระเยซูเลี้ยงคน 5000
ว่าทำไมจึงมีอาหารเหลือ 12 กระบุงเต็ม มีหลายแนวความคิดในเรื่องนี้ เลข
12 เป็นเลขที่คุ้นเคย เห็นกันบ่อยในพระคัมภีร์ - 12 เผ่าของอิสราเอล สาวก
12 คนของพระเยซู ทั้งสองกรณีสามารถอธิบายได้ว่าทำไมจึงมีอาหารเหลือ 12
กระบุง

แต่ผมเชื่อจริงๆว่าอาหาร 12 กระบุงนั้นเหลือไว้ให้สาวกทั้ง 12
คนของพระเยซูที่อยู่ที่นั่นแต่ละคน
จะเห็นได้ว่าผู้ใดก็ตามที่ปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้า
จะชื่นชมในการจัดเตรียมอย่างล้นเหลือจากพระองค์

เราไม่จำเป็นต้องออกมาเป็นผู้รับใช้เต็มเวลาเพื่อจะได้รับพระพรที่มา
พร้อมกับการรับใช้
บำเหน็จมีพอเสมอสำหรับคนที่ยอมอุทิศตนให้แก่การงานของแผ่นดินสวรรค์

คุณทราบหรือไม่ว่าใครได้ประโยชน์มากที่สุดจากคำเทศนาของผม? ตัวผมเองครับ
และที่ทำให้ผมมีความสุขมากคือการใช้เวลาไปมากที่สุดเพื่อการนี้
คงไม่ต้องสงสัยว่าหนทางดีที่สุดที่จะเติบโตในองค์พระเยซูคริสต์คือการ
ปรนนิบัติพระองค์ และมอบถวายตัวเราให้เป็นไปตามพระประสงค์

ถ้าคุณต้องการความรัก คุณต้องให้ความรัก ถ้าคุณต้องการมีเพื่อน
คุณต้องทำตัวเป็นเพื่อนกับใครสักคน
และเมื่อผู้รับใช้ช่วยกันทำงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า
พวกเขาก็จะได้รับพระพรอันล้นเหลือร่วมกันครับ

ปรนนิบัติพระเจ้าด้วยชีวิตคุณ
และคุณจะปิติในพระพรที่มาพร้อมกับการเชื่อฟังอย่างสัตย์ซื่อ

โดย: Pastor Jack Graham

Jack Graham Power Point Ministries: www.powerpoint.org


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #436 เมื่อ: 12 มี.ค. 11, 18:19 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

พบพระพรของพระเจ้าผ่านการรับใช้


ครั้นเวลาเย็นแล้วพวกสาวกมาทูลพระองค์ว่า "ที่นี่กันดารอาหารนัก
และบัดนี้ก็เย็นลงมากแล้ว ขอพระองค์ทรงให้ประชาชนไปเสียเถิด
เพื่อเขาจะได้ไปซื้ออาหารรับประทานตามหมู่บ้าน"
ฝ่ายพระเยซูตรัสกับพวกสาวกว่า "เขาไม่จำเป็นต้องไปจากที่นี่
พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด" พวกสาวกจึงทูลพระองค์ว่า
"ที่นี่พวกข้าพระองค์มีแต่ขนมปังเพียงห้าก้อนกับปลาสองตัวเท่านั้น"
พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "เอาอาหารนั้นมาให้เราเถิด"
แล้วพระองค์ทรงสั่งให้คนเหล่านั้นนั่งลงที่หญ้า
เมื่อทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นแล้ว
ก็แหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ ถวายคำสาธุการ และหักส่งให้เหล่าสาวก
เหล่าสาวกก็แจกให้คนทั้งปวง เขาได้กินอิ่มทุกคน
ส่วนเศษอาหารที่ยังเหลือนั้น เขาเก็บไว้ได้ถึงสิบสองกระบุงเต็ม (มัทธิว
14:15-20)

คำถามหนึ่งที่ผมมักได้ยินบ่อยๆเมื่อคุยกันเรื่องพระเยซูเลี้ยงคน 5000
ว่าทำไมจึงมีอาหารเหลือ 12 กระบุงเต็ม มีหลายแนวความคิดในเรื่องนี้ เลข
12 เป็นเลขที่คุ้นเคย เห็นกันบ่อยในพระคัมภีร์ - 12 เผ่าของอิสราเอล สาวก
12 คนของพระเยซู ทั้งสองกรณีสามารถอธิบายได้ว่าทำไมจึงมีอาหารเหลือ 12
กระบุง

แต่ผมเชื่อจริงๆว่าอาหาร 12 กระบุงนั้นเหลือไว้ให้สาวกทั้ง 12
คนของพระเยซูที่อยู่ที่นั่นแต่ละคน
จะเห็นได้ว่าผู้ใดก็ตามที่ปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้า
จะชื่นชมในการจัดเตรียมอย่างล้นเหลือจากพระองค์

เราไม่จำเป็นต้องออกมาเป็นผู้รับใช้เต็มเวลาเพื่อจะได้รับพระพรที่มา
พร้อมกับการรับใช้
บำเหน็จมีพอเสมอสำหรับคนที่ยอมอุทิศตนให้แก่การงานของแผ่นดินสวรรค์

คุณทราบหรือไม่ว่าใครได้ประโยชน์มากที่สุดจากคำเทศนาของผม? ตัวผมเองครับ
และที่ทำให้ผมมีความสุขมากคือการใช้เวลาไปมากที่สุดเพื่อการนี้
คงไม่ต้องสงสัยว่าหนทางดีที่สุดที่จะเติบโตในองค์พระเยซูคริสต์คือการ
ปรนนิบัติพระองค์ และมอบถวายตัวเราให้เป็นไปตามพระประสงค์

ถ้าคุณต้องการความรัก คุณต้องให้ความรัก ถ้าคุณต้องการมีเพื่อน
คุณต้องทำตัวเป็นเพื่อนกับใครสักคน
และเมื่อผู้รับใช้ช่วยกันทำงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า
พวกเขาก็จะได้รับพระพรอันล้นเหลือร่วมกันครับ

ปรนนิบัติพระเจ้าด้วยชีวิตคุณ
และคุณจะปิติในพระพรที่มาพร้อมกับการเชื่อฟังอย่างสัตย์ซื่อ

โดย: Pastor Jack Graham

Jack Graham Power Point Ministries: www.powerpoint.org


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #437 เมื่อ: 13 มี.ค. 11, 13:41 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

Subject: ไม่ลืมพระคริสต์ โดย รัฐศาสตร์ สร้างถิ่น



*ลูกา 2**:29-30 "ข้าแต่พระเจ้า บัดนี้พระองค์ทรงให้ทาสของพระองค์ไปเป็นสุข
ตามพระดำรัสของพระองค์เพราะว่าตาของข้าพระองค์ได้เห็นความรอดของพระองค์แล้ว..."*



ข้อพระคำภีร์ตอนที่กล่าวถึงนี้เป็นคำอธิษฐานของสิเมโอน
ครั้นเมื่อพบพระกุมารเยซู ณ พระวิหารครั้งแรก
สิเมโอนเป็นผู้ชอบธรรมและพระวิญญานบริสุทธิ์ได้สำแดงแก่ท่านว่าท่านจะไม่ตายจนกว่าจะได้พบพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า
ครั้นเมื่อท่านได้เห็นพระกุมารเยซู ท่านจึงทราบได้ทันทีว่า
พระองค์คือพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้มาปลดปล่อยมนุษย์จากความบาปผิด
และท่านก็รู้สึกเป็นสุขในทันที



หลายครั้งในชีวิต เราลืมไปว่าพระคริสต์ได้สถิตอยู่เคียงข้างเราเสมอ
เรามักจะรู้สึกและใช้สายตามนุษย์มองดูสิ่งแวดล้อมรอบข้าง และ
เผชิญความทุกข์ยากลำบากด้วยตัวของเราเอง และเราก็จะบ่นพึมพรำต่อว่าพระเจ้า
ต่อว่าผู้รับใช้พระเจ้า
สมาชิกคริสตจักรที่ดูเหมือนจะปล่อยปะละเลยไม่สนใจใยดีในวิถีชีวิต
หรือความทุกข์ที่เราเผชิญอยู่



ผมใคร่ขอหนุนใจท่าน ในช่วงเทศกาลวันแห่งความรัก (วาเลนไทน์) ปีนี้ และในทุกๆ
วัน ให้เราเริ่มต้นคำอธิษฐานของเราเหมือนสิเมโอน คือ
"ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงให้เราเป็นไท
และมีความสุข เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าอยู่เคียงข้างเราเสมอ
เป็นกำลังให้แก่เราเมื่อเราเผชิญความทุกข์ยากลำบาก
และเราจะมีกำลังและความชื่นชมยินดีในพระเจ้าทุกเวลา"



ผมเชื่อมั่นว่า ด้วยการอธิษฐานด้วยความเชื่อ
และด้วยความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา
เราจะไม่มีความรู้สึกทุกข์เมื่อต้องเผชิญปัญหา แต่เราจะมีสันติสุขในพระเจ้า
และเมื่อเรามีความสุข เราก็จะมีปัญญา และปัญญาที่มาจากพระเจ้านี่แหละ
จะนำพาให้เรารู้วิธีแก้ไขปัญหา และ หนทางพ้นทุกข์ต่างๆ ได้อย่างแน่นอน



ขอพระเจ้าอวยพระพรทุกท่าน

รัฐศาสตร์ สร้างถิ่น

คจ.สายธารแห่งชีวิต แบ๊บติสต์

1/90 ซอยนาทอง ถ.ประชาสงเคราะห์

ดินแดง กรุงเทพฯ 10310

โทร. 02-2745597

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #438 เมื่อ: 16 มี.ค. 11, 12:28 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

บทเรียนจากอุทกภัยสมัยโนอาห์

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 296 วันที่ 29 มกราคม - 4
กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 หน้า 28 คอลัมน์ สันติธรรม โดย บรรจง บินกาซัน


ช่วงปีที่แล้วจนถึงปีนี้
หลายประเทศทั่วโลกประสบความหายนะอย่างรุนแรงจากสารพัดภัยธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง
อาทิ แผ่นดินไหวในจีน น้ำท่วมในปากีสถานและออสเตรเลีย โคลนถล่มในบราซิล
หิมะตกหนักในยุโรปและอเมริกา
ประเทศไทยเราก็โดนทั้งภัยแล้งและน้ำท่วมตั้งแต่เหนือจดใต้

เมื่อเกิดภัยพิบัติธรรมชาติคราวใด
นักวิชาการทั้งหลายก็ได้โอกาสออกมาแสดงภูมิรู้ของตนว่า
สาเหตุของภัยพิบัติเหล่านั้นมาจากปรากฏการณ์เอลนีโน่หรือไม่ก็ลานีน่า
หรือมิฉะนั้นก็เพราะการทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่บันยะบันยังของมนุษย์บ้าง
เป็นต้น

แต่ถึงรู้ก็ไม่สามารถทำอะไรได้? เพราะแม้จะมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
มนุษย์ก็ไม่มีอำนาจพอที่จะไปควบคุมปรากฏการณ์เหล่านั้น
และหายนภัยบางอย่างเช่นอุทกภัยก็ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการตัดไม้ทำลายป่าเสมอไป
อุทกภัยครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นทั่วโลกเร็วๆนี้ไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับอุทกภัยโลกครั้งใหญ่ในอดีตเมื่อครั้งสมัยโนอาห์ได้เลย

นักประวัติศาสตร์กล่าวว่า
ชุมชนของโนอาห์ตั้งอยู่ในเมืองโมซุลในประเทศอิรักปัจจุบัน
ในสมัยของโนอาห์มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์และไม่มีการตัดไม้ทำลายป่าเหมือนปัจจุบัน
เพราะผู้คนมีจำนวนไม่มาก
แต่แผ่นดินของโนอาห์ก็ยังประสบอุทกภัยใหญ่ถึงขั้นที่เรียกติดปากกันว่าน้ำท่วมโลกและยังเป็นที่จดจำกันอยู่ในความสำนึกของมนุษย์จนทุกวันนี้

ในคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอานเล่าตรงกันว่า
โนอาห์มีชีวิตจริงอยู่หลังสมัยอาดัมมนุษย์คนแรกเป็นเวลาหลายร้อยปี
โนอาห์(หรือนูฮฺ)ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสนทูตของพระเจ้าเพื่อตักเตือนผู้คนในสมัยของท่านที่กำลังหลงผิดเคารพกราบไหว้รูปปั้นบรรพบุรุษแทนที่จะเคารพสักการะพระเจ้าที่แท้จริงซึ่งเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง
เพราะก่อนหน้านี้ลูกหลานของอาดัมไม่เคยเคารพกราบไหว้บูชาสิ่งใดนอกจากพระเจ้าที่อาดัมสั่งสอนไว้เท่านั้น

นักประวัติศาสตร์ศาสนากล่าวว่า
การเคารพกราบไหว้รูปปั้นเริ่มมีขึ้นครั้งแรกบนโลกใบนี้ในสมัยของโนอาห์
สาเหตุก็เนื่องมาจากคนดีมีศีลธรรมและเป็นที่เคารพรักของผู้คนในสังคมได้ตายจากไป
ด้วยความรักความอาลัยในการจากไปของคนดีเหล่านี้
ผู้คนจึงได้เริ่มปั้นหรือไม่ก็แกะสลักรูปปั้นของคนเหล่านี้จากไม้หรือหินเพื่อเป็นที่ระลึก
นานวันเข้าความรักความอาลัยที่เกินพอดีก็กลายเป็นความคิดผิดว่ารูปปั้นเหล่านี้มีวิญญาณของผู้ตายสิงสถิตอยู่
จึงได้มีการวิงวอน บนบาน
อธิษฐานและกราบไหว้รูปปั้นเหล่านั้นด้วยจินตนาการที่ต่างกันไป

บางคนทึกทักเอาว่าวิญญาณของคนที่ล่วงลับไปเป็นวิญญาณของคนดีและเป็นที่รักของพระเจ้า
จึงน่าจะช่วยเป็นสื่อในการติดต่อหรือขออะไรบางอย่างจากพระเจ้าให้ตัวเองได้ดีกว่าที่ตัวเองจะขอโดยตรง
บางคนมากราบไหว้ก็เพราะสำนึกในบุญคุณ
หรือไม่ก็เพราะความรักและเทิดทูนคนดี ในที่สุดเมื่อมีคนทำตามกันมากเข้า
การเคารพกราบไหว้บูชารูปปั้นก็เป็นที่ปฏิบัติกันแพร่หลายจนผู้คนลืมพระเจ้าที่แท้จริงไปและเชื่อว่ารูปปั้นเหล่านั้นจะบันดาลสิ่งที่ตนขอได้

เทวรูปที่ผู้คนสร้างขึ้นมาเคารพกราบไหว้ในสมัยของโนอาห์มีชื่อเรียกต่างๆ
เช่น วัดด์ สุวาอ์ ยะฆูษ ยะอู๊ก และนัสร์ เป็นต้น
ชื่อเหล่านี้ก็คือชื่อของคนดีที่ล่วงลับไป
แม้โนอาห์จะเตือนคนของท่านว่าคนดีเหล่านั้นไม่ใช่พระเจ้าและการทำเช่นนั้นจะทำให้พระเจ้าทรงพิโรธ
แต่ผู้คนของท่านก็ยังดื้อรั้นยืนยันว่าถึงอย่างไรพวกเขาก็จะไม่ทิ้งการเคารพกราบไหว้บูชารูปปั้นเหล่านี้
มิหนำซ้ำยังท้าทายโนอาห์ว่าถ้าพระเจ้ามีอำนาจจริงก็ให้ส่งการลงโทษมาให้พวกเขาได้เห็น

โนอาห์ได้รับเวลาหรืออายุบนโลกใบนี้เป็นเวลา 950
ปีในการปฏิบัติภารกิจเรียกร้องเชิญชวนผู้คนให้หันไปสู่การเคารพสักการะพระเจ้าที่แท้จริงและไม่นำสิ่งใดมาเป็นภาคีในการเคารพสักการะร่วมกับพระองค์
แต่ถึงแม้จะได้รับเวลาอันยาวนานเช่นนั้น
โนอาห์ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทัศนคติของผู้คนได้
แม้แต่ภรรยาและลูกชายของเขาเองก็ไม่เชื่อเขา
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เชื่อในคำสอนเขา

ด้วยความเหลืออดเหลือทนต่อความดื้อรั้นของผู้คน
โนอาห์ถึงกับยกมือขึ้นวิงวอนต่อพระเจ้าว่า
"ขอพระองค์อย่าได้ปล่อยให้ผู้ดื้อรั้นเหล่านี้หลงเหลือยู่ในแผ่นดินเลย
เพราะถ้าพระองค์ทรงปล่อยพวกเขาไว้ พวกเขาก็จะทำให้บ่าวของพระองค์หลงผิด
และคนที่เกิดมาก็จะมีแต่คนชั่วและคนเนรคุณ"

เมื่อโนอาห์กล่าวคำวิงวอนจบ
พระเจ้าได้บัญชาให้โนอาห์ต่อเรือขึ้นลำหนึ่งและสั่งเขาไม่ให้ขออะไรต่อพระองค์อีก
เพราะไม่ช้าคนที่ปฏิเสธการตักเตือนของเขาจะถูกน้ำท่วมตาย

เมื่อโนอาห์ต่อเรือขึ้น ผู้คนต่างพากันหัวเราะเยาะว่า
ท่านเป็นคนบ้าที่มาต่อเรือในที่สูงและห่างไกลจากทะเล
แต่โนอาห์ไม่สนใจและยังคงต่อเรือต่อไป เมื่อต่อเรือเสร็จ
น้ำได้เริ่มไหลพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินและมีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง
พระเจ้าได้ทรงบัญชาเขาให้นำสัตว์แต่ละชนิดอย่างละคู่ขึ้นเรือพร้อมกับผู้ศรัทธาในพระองค์
แต่น้อยคนที่เชื่อเขา

น้ำที่ไหลออกมาจากผืนดินไม่หยุดและฝนที่กระหน่ำตกลงมาจากท้องฟ้าอย่างต่อเนื่องหลายวัน
ทำให้ระดับน้ำเริ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
หลายคนที่ไม่ได้ขึ้นเรือของโนอาห์ได้หนีขึ้นไปบนภูเขา
เพราะคิดว่าตัวเองจะรอดพ้นจากการถูกน้ำท่วม
ลูกชายของเขาเองก็เป็นคนหนึ่งที่คิดเช่นนั้นและต้องจมน้ำตายต่อหน้าต่อตา
แม้เขาจะตะโกนเรียกให้ขึ้นเรือจนคอแทบแตกก็ตาม

อุทกภัยสมัยโนอาห์รุนแรงยิ่งใหญ่เพียงใดนั้น
เรารู้จากคัมภีร์กุรอานว่าเรือของโนอาห์ลอยไปติดอยู่บนภูเขาญูดี
ซึ่งปัจจุบันนี้นักวิชาการเชื่อว่าเป็นภูเขาอะรารัตในตุรกี

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 296 วันที่ 29 มกราคม - 4
กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 หน้า 28 คอลัมน์ สันติธรรม โดย บรรจง บินกาซัน


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #439 เมื่อ: 19 มี.ค. 11, 16:02 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

From: อัมรินทร์ พวงสุมาลย์
Date: 2011/3/15
Subject: ข้อคิดดีๆ จากเหตุการณ์สึนามิที่ผ่านมา


จากภาพเหตุการณ์สึนามิ ทำให้เข้าใจได้ว่า พระเจ้าทรงใช้เราไปประกาศ
ในเวลาที่พวกเขาสบายดี แต่พวกเขาไม่ฟัง
และนี่คือไม้เรียวจากพระเจ้าสำหรับคนที่ใจแข็งกระด้าง
เป็นวิธีสุดท้ายที่พระองค์จะช่วยมนุษย์ที่ดื้อดึง
ก่อนจะเข้าสู่การพิพากษาที่นิรันดร์
เข้าไปดูภาพเหตุการ์ได้ที่ http://www.thankgod7.com/



noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #440 เมื่อ: 20 มี.ค. 11, 16:20 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

เดินผ่านไฟ

เมื่อเจ้าลุยข้ามน้ำ เราจะอยู่กับเจ้า เมื่อข้ามแม่น้ำ น้ำจะไม่ท่วมเจ้า
เมื่อเจ้าลุยไฟ เจ้าจะไม่ไหม้ และเปลวเพลิงจะไม่เผาผลาญเจ้า (อิสยาห์
43:2)

ชัดรัค เมชาค อาเบดเนโก
เป็นชาวยิวอายุน้อยที่ดำเนินชีวิตติดตามพระเจ้าในสังคมที่ไม่นับถือพระเจ้า
เมื่อพระราชาเนบูคัดเนสซาร์โจมตีเยรูซาเล็ม
และจับประชาชนไปเป็นเชลยที่บาบิโลน
พระราชาเลือกสามหนุ่มนี้ขึ้นมาเพื่อช่วยราชการในอาณาจักรบาบิโลน โดยฝึกฝน
ขัดเกลา ให้การศึกษาพวกเขาจนเรียนรู้ขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมของบรรดาผู้กราบไหว้รูปเคารพ

อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาเนบูคัดเนสซาร์สร้างปฏิมากรทองคำเป็นรูปพระองค์เองขึ้นมา
ออกคำสั่งให้ทุกคนในราชอาณาจักรต้องก้มลงกราบและนมัสการปฏิมากรนั้น
ใครไม่ทำตามคำสั่งพระราชามีโทษถึงตาย ทุกคนยอมเชื่อฟังทำตาม -
ยกเว้นชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก

พระราชทรงพระพิโรธมาก เรียกทั้งสามมาเข้าเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์
และสั่งให้ก้มลงกราบปฏิมากรนั้น พวกเขาทูลพระองค์ว่า
"ถ้าพระเจ้าของพวกข้าพระบาทผู้ซึ่งพวกข้าพระบาทปรนนิบัติ
พอพระทัยจะช่วยกู้พวกข้าพระบาทให้พ้นจากเตาที่ไฟลุกอยู่ ข้าแต่พระราชา
พระองค์ก็จะทรงช่วยกู้พวกข้าพระบาท ให้พ้นพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท"
(ดาเนียล 3:17)

ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกจึงถูกมัดและโยนเข้าไปในเตาไฟที่ลุกโพลง
และเร่งไฟให้แรงขึ้นกว่าปกติอีกเจ็ดเท่าตามคำสั่งของพระราชาเนบูคัดเนสซาร์
ขณะที่เฝ้าดูนั้น พระราชาทอดพระเนตรเห็นไม่ใช่แค่สามคน -
แต่เป็นชายสี่คนที่กำลังเดินอยู่ในเตาไฟนั้น

ผมเชื่อว่าพระเยซูทรงเดินอยู่กับพวกเขาที่ในไฟนั้น
และพระองค์จะทรงเดินในกองไฟของคุณด้วย
จะทรงเดินอยู่ในท่ามกลางความยากลำบาก ในอิสยาห์ 43:2 อ่านได้ใจความว่า
"เมื่อเจ้าเดินผ่านกองไฟแห่งการกดขี่ข่มเหง เจ้าจะไม่ไหม้
ไฟนั้นจะไม่ทำลายเจ้า"

เราไม่เคยอยู่ตามลำพังในชีวิต
นี่คือพระคำที่บอกเราตั้งแต่ปฐมกาลถึงวิวรณ์ พระเยซูทรงอยู่ด้วยเสมอ
และพระองค์ตรัสว่า "เราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค"
(มัทธิว 28:20)

โดย: Pastor Greg Laurie

อนุญาตโดย Harvest Ministries with Greg Laurie

PO Box 4000, Riverside, CA 92514

ChurchofJoy.net

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #441 เมื่อ: 26 มี.ค. 11, 10:50 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

From: Pattamarot Maksuriwong
Date: 2011/2/28


รู้จักพระคริสต์ ชีวิตเหนือระดับ(Up class)
โดย ปัทมโรจน์ มากสุริวงศ์ คริสตจักรแห่งพระบัญชา

เอเฟซัส 1:15-23ในพระธรรมตอนนี้อัครทูตเปาโลปรารถนาจะให้ผู้เชื่อในเมืองเอเฟซัสได้รับ
ประสบการณ์แห่งพระพรในการรู้จักพระคริสต์ในวิถีชีวิต
อัครทูตเปาโลอธิษฐานว่า
ขอพระเจ้าโปรดประทานให้เขามีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญาและความประจักษ์แจ้ง
ในเรื่องความรู้ถึงพระองค์ และขอให้ตาใจของเขาสว่างขึ้น
มีความเข้าใจและรู้จักชีวิตในพระคริสต์อย่างแท้จริง เรียกว่า
"ขอให้ตาสว่าง ใจเปิดออกรับรู้และจิตวิญญาณได้เข้าไปทำความรู้จักกับพระองค์"
เราสามารถเรียนรู้ถึงคำอธิษฐานนี้และนำไปประยุกต์ได้ดังนี้
1. รู้จักความหวังแท้ในชีวิต (ข้อ 18ก)

เมื่อรู้จักชีวิตในพระคริสต์อย่างแท้จริงแล้ว
ผู้เชื่อจะรู้ว่าในการที่พระองค์ทรงเรียกนั้น
พระองค์ได้ประทานความหวังแท้
ความหวังที่พระเจ้าประทานแก่เราในพระคริสต์เป็นความหวังแท้
ทรงเป็นที่พึ่งที่เราสามารถยึดมั่นได้ตราบนิรันดร
ที่เราได้วางใจในพระเยซูเจ้า (13, 15) นั้นเราจะไม่ผิดหวัง ฮบ.10:23 ว่า
"ขอให้เรายึดมั่นในความหวังที่เราทั้งหลายเชื่อและรับไว้นั้นโดยไม่หวั่นไหว
เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงประทานพระสัญญานั้นทรงสัตย์ซื่อ"

(ตัวอย่างจากหนังสือ ร้อยแปด พันเก้า เล่ม 2 เรื่องอุทิศตัว หน้า 82
ได้เขียนไว้อย่างน่าสนใจว่าในปี 1931)

เจน ไวท์ รู้สึกว่าชีวิตของเธอจวนจะดับลงเมื่ออเล็กซานเดอร์
สามีของเธอซึ่งเป็นนักเทศน์ชาวสก็อตที่มีชื่อเสียงได้จากโลกนี้ไป แม้
เวลาผ่านไปเธอย่างเข้าสู่วัยชรา เมื่อมองออกไปในโลกรอบๆ ตัว
เธอรู้สึกหดหู่กับความวุ่นวายทางด้านการเมืองและศีลธรรม
ดูเหมือนว่าไม่มีเหตุผลที่เธอจะอยู่ต่อไป
และไม่มีสิ่งใดที่เธอจะทำได้อีกแล้ว งานเลี้ยงอาหารค่ำในคืนหนึ่ง
ชายคนหนึ่งนั่งใกล้เธอ เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความเศร้าสลดของเธอ
จึงถามว่า "คุณกำลังเป็นห่วงอะไร" เธอตอบว่า"ฉันกำลังเตรียมตัวที่จะตาย"
ชายคนนั้นพูดสวนกลับไปว่า "ทำไมคุณไม่เตรียมตัวที่จะมีชีวิตอยู่ล่ะ"

คำ พูดประโยคนี้ เป็นดังเสียงจากสวรรค์ เธอเกิดความเข้าใจ และได้มองเห็น
ความจริงว่า แท้จริงพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะให้เธอมีชีวิตอยู่
และให้เธอแตะต้องชีวิตของผู้อื่นเพื่อพระองค์

ทัศนคติของเธอได้เปลี่ยนไป และภายในเวลา 1 ปี เธอก็ได้นำทีมประกาศ
ของคริสเตียนกลุ่มหนึ่งเดินทางไปประกาศที่กรุงเจนีวา
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์และในการเดินทางครั้งนั้นมีผลต่อชีวิตของผู้คนจำนวนมาก

การดำเนินชีวิตกับพระเจ้าอย่างเข้าใจ
และรู้จักชีวิตในพระคริสต์อย่างแท้จริงนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญมาก
ทำให้เกิดความหวังใจในการดำเนินชีวิต

"ความหวัง"เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตดำเนินอยู่ได้ หากต้องสูญเสียทุกสิ่งไป
"ความหวัง" ขอให้เป็นสิ่งสุดท้ายที่ จะสูญเสีย เพราะชีวิตจะสูญสิ้น
ถ้าสิ้นหวังคนที่มีความหวัง ตาของก็เริ่มตาสว่างแล้ว

อัครทูตเปาโลอธิษฐานขอให้ตาใจ ของชาวเอเฟซัสสว่างขึ้นคำว่า "สว่าง"
ในภาษากรีก อยู่ในรูปของ passive voice คือ ไม่ใช่ตัวพวกเขาทำเอง
แต่พระเจ้าเป็นผู้ทำให้

ตา ใจสว่าง นั่นคือ ทำให้มองเห็น ทำให้เข้าใจความจริงเมื่อตาใจสว่างแล้ว
พวกเขาจะรู้ได้ว่าในการทรงเรียกของพระเจ้าที่มาถึงชีวิต ของเขานั้น
พระเจ้าได้ประทานความหวังอะไรแก่เขาบ้าง

ความหวัง ในที่นี้ หมายถึง ความหวังที่แน่นอน หรือ ความหวังที่สามารถ
มั่นใจได้ ไม่ใช่หวังลมๆแล้งๆ
เพราะพระเจ้าเป็นผู้ประทานให้เป็นความหวังอันเกิดจากการทรงเรียกของพระเจ้า
ให้เข้ามาอยู่ในร่มพระคุณของพระองค์

2. รู้จักมรดกที่มีสง่าราศีของเรา (ข้อ 18ข)

ท่าน ได้อธิษฐานขอให้ผู้เชื่อรู้จักคุณค่าสูงส่งของมรดกที่มีสง่าราศีที่พระเจ้า
จัดเตรียมไว้อย่างอุดมบริบูรณ์ให้แก่เขาด้วย เป็นมรดกที่ดีกว่ามรดกใดๆ
ในโลกนี้

พระวจนะใน 1 ปต.1:4 กล่าวว่า เป็น มรดกที่ไม่รู้เปื่อยเน่า
ปราศจากมลทินและไม่ร่วงโรย
ซึ่งผู้เชื่อทุกคนจะได้รับเป็นรางวัลสมกับที่ได้ดำเนินชีวิตติดตามพระคริสต์
อย่างสัตย์ซื่อในโลกนี้ (1 คร.3:14; 1 ปต.5:4)เราเป็นลูกของพระองค์
ทำงานรับใช้พระเจ้าด้วยความรัก
เราไม่ใช่ลูกจ้างชั่วคราวแต่เราเป็นลูกพระเจ้าชั่วนิรันดร์
ลูกจะได้รับมรดกแต่ลูกจ้างจะไม่ได้รับ

มรดกที่เราได้รับคือชีวิตนิรันดร์และสง่าราศีที่ไม่สามารถเทียบได้กับทรัพย์
สิ่งของในโลกนี้ วันนี้มรดกจึงเป็นความหวังใจที่เราจะได้รับในอนาคต

3. รู้จักประสบการณ์แห่งฤทธิ์เดชของพระเจ้า (ข้อ 19-23)

อัครทูตเปาโลได้อธิษฐานต่อไป คือ
ขอให้ชาวเอเฟซัสได้รู้ถึงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในชีวิตของพวกเขา
เพื่อต้องการให้พวกเขามีประสบการณ์แห่งฤทธิ์เดชของพระเจ้า

ในข้อ19 ท่านได้ใช้ภาษากรีกถึง 4 คำที่หมายถึง ฤทธานุภาพของพระเจ้า

คำแรก ฤทธานุภาพ มาจากภาษากรีกว่า ดูนามิส คำนี้ในภาษากรีกหมายถึง อำนาจ
ความสามารถที่อยู่ในบุคคลและสิ่งของ ภาษาอังกฤษ คือ คำว่า "Dynamite"
ไดนาไมท์

คำที่สอง อำนาจ มาจากภาษากรีกว่า เอนเนอร์เกอา ใน พระคัมภีร์ใหม่
คำนี้ใช้อธิบายถึงการกระทำของอำนาจบางสิ่งบางอย่างที่เหนืออำนาจของมนุษย์
อำนาจนี้เป็นอำนาจที่มีพลังการเคลื่อนไหวกระทำให้ทุกสิ่งสำเร็จเป็นไปตาม
เป้าหมาย

คำที่สาม พระกำลัง มาจากภาษากรีกว่า แคตอส หมายความว่า แรง กำลังอำนาจ

คำที่สี่ ที่เปาโลเลือกใช้คือ ฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ มาจากภาษา กรีกว่า
อิสคัส ซึ่งหมายความว่าแรงกำลัง อำนาจ และความสามารถ

ทั้งนี้อัครทูตเปาโลต้องการจะเน้นให้ชาวเอเฟซัสมั่นใจ
ว่าพระเจ้ามีฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ และไม่จำกัดเป็น นอกจากนี้
ได้ขอให้ผู้เชื่อมีตาใจสว่าง เพื่อจะได้รู้จักฤทธิ์เดชของพระเจ้าอีกด้วย
คือ รู้ว่าพระเยซูคริสต์มีฤทธานุภาพเหนือ... สิ่งต่างๆดังต่อไปนี้

3.1 เหนือความตาย (ข้อ 20)

พระเยซูคริสต์มีฤทธานุภาพเหนือความตาย ไม่เพียงพระองค์ฟื้นขึ้นจากความตาย
แต่จะทรงทำให้มนุษย์ทุกคนฟื้นจากความตายและเข้าสู่การพิพากษา (1 ธส.4:16)

3.2 เหนือเทวอำนาจทั้งปวง (ข้อ 21)

พระ เยซูคริสต์มีฤทธานุภาพเหนือเทวอำนาจทั้งปวง
ทรงอยู่เหนือบรรดาเทพผู้ครอง เหนือศักดิเทพ เหนืออิทธิเทพ
เหนือเทพอาณาจักร และเหนือนามทั้งปวงในโลกนี้

เพราะทรงเป็นพระเจ้าและทรงเป็นพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า

3.3 เหนือคริสตจักร (ข้อ 22-23)

พระ เยซูคริสต์มีฤทธานุภาพเหนือคริสตจักร
พระเจ้าได้ทรงแต่งตั้งพระเยซูคริสต์ไว้ให้เป็นประมุขเหนือคริสตจักร
คริสตจักรเป็นอาณาจักรของพระคริสต์จึงนบนอบต่อพระคริสต์
ทรงปกครองและปกป้องคริสตจักรด้วยพระองค์เอง

(ตัวอย่างจากหนังสือ มานาประจำวัน ฉบับเดือน มีนาคม - พฤษภาคม 2006)

เมื่อ ดี.แอล.มูดดี้ เริ่มชราภาพ มีผู้ไปขออนุญาตเขียนชีวประวัติของเขา
แต่มูดี้กลับปฏิเสธโดยกล่าวว่า "เราไม่ควรจะเขียนเรื่องของคน ๆ
หนึ่งขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ สิ่งสำคัญคือ ชีวิตของเขาจบลงอย่างไร
ไม่ใช่

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #442 เมื่อ: 27 มี.ค. 11, 13:19 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

โดย พระคุณเจ้ายอด พิมพิสาร

ทำไมต้องเป็นฉันเล่า?


"ถ้าท่านทำไม่ดี บาปกำลังหมอบอยู่ที่ประตู" (ปฐมกาล 4:7)

เมื่อผู้ใหญ่บอกเด็กว่า เขาทำสิ่งที่เขาอยากทำไม่ได้
หรือบอกให้เขาทำสิ่งที่เขาไม่อยากทำ เรามักจะได้ยินเขากล่าวว่า
"มันไม่ยุติธรรม" เราผู้ใหญ่ก็อาจจะใช้คำพูดคล้ายๆกัน
เมื่อสิ่งที่เราคาดหวังไม่เป็นไปดังที่เราคิด

ในหนังสือ "ปฐมกาล" ที่นำมาพิจารณา อาดัมและเอวาไม่เชื่อฟังพระเจ้า
แล้วบาปของทั้งสองก็ตกทอดมายังลูกหลานของเขา
อาแบลและกาอินถวายของแด่พระเจ้า แต่พระองค์ทรงพอพระทัยในของถวายของอาแบล
แต่ของถวายของกาอินไม่เป็นที่สบพระทัย ดังนี้นับเป็นยุติธรรมไหม?
พระคัมภีร์มิได้ให้คำตอบ แต่ผู้ที่เขียนเน้นไปถึงความไม่พอใจของกาอิน
พระเจ้าท้าทายเขา ตรัสกับเขาว่า "ทำไมจึงโกรธและหน้าตาบึ้งตึง"
พระเจ้าทรงเตือนกาอินว่า ความโกรธเคืองนี้อาจนำไปสู่การทำบาป
ซึ่งได้รับการอธิบายอย่างชัดเจนว่า เป็นเสมือนสัตว์ดุร้ายที่กระหายหาเขา
กาอินได้รับการเตือนให้ต่อสู้และเอาชนะเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้
แต่เขาพ่ายแพ้และในที่สุดก็ฆ่าอาแบล

เราอาจคิดในใจว่า เหตุใดในพี่น้องสองคนนี้
คนหนึ่งเป็นคนโปรดปรานของพระเจ้า อีกคนหนึ่งไม่ใช่ มีการทายกันไปต่างๆ
นานา แต่เรื่องนี้อาจสะท้อนความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับชีวิต
พรต่างๆที่มนุษย์ได้รับ คนบางคนประสบความสำเร็จ บางคนก็ผิดหวัง
เมื่อทุกสิ่งมิได้เป็นไปตามที่เราคิด เราจะพบว่า ตัวเราเองตั้งคำถามว่า
"ทำไมถึงต้องเป็นตัวฉันเล่า?" เรื่องนี้ย้ำเตือนเราในปัจจุบัน
เราเลือกได้สองทาง เราอาจแสดงออกซึ่งความผิดหวัง
เพราะเราเป็นผู้ที่ไม่มีคนสนใจ หรือเราอาจจะมองดูสถานการณ์ในด้านบวก
ไม่ปล่อยตัวตามอารมณ์ชั่วครู่ของเรา
พระคริสตเจ้าพระองค์เองทรงถูกปฏิเสธและถูกดูหมิ่น
แต่พระองค์ก็ทรงบันดาลให้มีชีวิตจากความตายได้

บทอธิษฐานภาวนา

ข้าแต่พระเยซูเจ้า พระองค์ทรงแบกแอกบาปของโลก
และทรงนำชีวิตมายังลูกทั้งหลายจากการสิ้นพระชนม์ของพระองค์
โปรดทรงประทานพระหรรษทานให้ลูกต่อต้านบาปและเปลี่ยนความอ่อนแอของลูก
เพื่อลูกจะได้มีความกล้าหาญในชีวิตที่อุทิศตน เพื่อรับใช้พระองค์ด้วยเทอญ
อาแมน

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 299 วันที่ 19-25
กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 หน้า 26 คอลัมน์ ข้อคิดจากพระคัมภีร์ โดย
พระคุณเจ้ายอด พิมพิสาร

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #443 เมื่อ: 2 เม.ย. 11, 16:19 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

From: อัมรินทร์ พวงสุมาลย์
Date: 2011/3/3

Subject: ความโกรธของเด็ก



สภษ.14/10 มีแต่ใจของตนเองที่รู้ถึงความขมขื่นและไม่มีใครร่วมรับรู้สันติสุขในใจ

ไม่มีใครที่มีความสุขเวลาที่โกรธ ดังนั้น อย่าโกรธนานเลย
แต่จงเป็นคนที่โกรธช้าและหายเร็ว

มีครั้งหนึ่งที่ผมถูกเพื่อนเข้าใจผิด ผมพยายามชี้แจง
แต่เพื่อนของผมกับขึ้นเสียง คือ พูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
อารมณ์ของผมก็เริ่มที่จะขึ้นตาม แต่ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความคิดดีๆ
ที่พุ่งพราดเข้าในช่วยผมในเวลานั้นโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

- พระเจ้าให้ผมคิดถึงการ "นิ่ง" ของพระเยซู
จากผมที่ผมเคยได้รับในหนังเรื่อง The passion ตอนที่พระเยซูถูกกล่าวหา
สิ่งแรกที่ผมตอบสนองในเวลานั้นคือ "การนิ่ง" ไม่พูดอะไร ออกไป
เพราะถ้าพูด คำพูดออกมาไม่ดีแน่

- พระวิญญาณบริสุทธิ์ดลใจของผมว่า
การนี้มาจากพระเจ้าเพื่อทดสอบผมว่าผมจะโกรธอีกหรือไม่(เพราะผมเคยสอบตก
คือ หลุดโกรธออกไปแล้วครั้งหนึ่งโดยการตะคอกและพูดออกมาด้วยถ้อยคำที่รุนแรง)
เวลาที่เราถูกยั่วยุให้โกรธให้เรามีความคิดว่า
"การนี้มาจากพระเจ้าเพื่อที่จะลองดูใจของเรา ว่าเราจะโกรธหรือไม่"

- พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ความเข้าใจผมว่า ให้ผมหายโกรธเร็วเหมือนเด็กเล็กๆ
ที่หายโกรธได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องคิดมาก
หายแบบลืมหมดสิ้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

เกี่ยวกับการหายโกรธแบบเด็กๆ
ผมเข้าใจเรื่องนี้ผ่านชีวิตของหลานของผมที่เพิ่งอายุ 3 ขวบ
หลานของผมทำผิด ผมจึงตี หลานของผมก็โกรธผม โดยทำเป็นไม่หันมามองผม
แล้วก็เข้าไปฟ้องแม่ของเขาว่า ลุงอาร์มตี
เข้าไปร้องให้กับแม่ของเขาใหญ่เลย แต่พอผ่านไปได้สักพักหนึ่ง
ผมเอาของเล่นที่หลานของผมชอบเล่นคือ เจ้าหุ่นยางเด้งดึ๋งมา
แล้วอุ้มหลานของผมขี่มัน แล้วยกหุ่นขึ้นบินไปบินมา
หลานผมหัวเราะชอบใจใหญ่เลย สักพักหนึ่งเราก็เอาลูกบอลมาเล่นกันต่อ
ผมเตะบอลแล้วให้หลานของผมวิ่งไล่จับลูกบอล(อันที่จริงแล้วต้องการให้เขาเป็นนายประตู
แต่เนื่องจากหลานของผมยังเล็กอยู่จึงดักจับบอลไม่ทัน
ได้แต่วิ่งไล่จับลูกบอลที่วิ่งเลยผ่านเขาไปแล้วเท่านั้น)
หลานของผมหัวเราะชอบใจใหญ่เลยเวลาที่ผมเตะลูกบอลเข้าหาเขาในแต่ละครั้ง
สรุปแล้วคือ เจ้าหลานตัวเล็กเขาลืมไปแล้วว่า ก่อนหน้านี้เขาโกรธผม
ตอนนี้เขาสนใจเดียวคือของเล่น สนุกที่จะเล่น
ไม่ได้คิดเรื่องของความโกรธอีกต่อไปแล้ว

จากชีวิตของหลานของผม ได้สอนผมในเรื่องของความโกรธ คือ
ให้เราหายโกรธและลืมความผิดได้ง่ายๆ เหมือนเด็กเล็กๆ คือ
ให้เราถ่อมใจลงเป็นแบบเด็กๆ
ไม่ได้ต้องคิดอะไรมากเกี่ยวกับความผิดของผู้อื่น ไม่ต้องไปคิดต่อ
ยอดในทางลบต่างๆ นาๆ เกี่ยวกับเพื่อนของเรา แต่จงเป็นเหมือนเด็ก
และจงเป็นปลาทองของพระเจ้า คือ เป็นคนที่ลืมความผิดง่าย เมื่อโกรธ
จงดับความโกรธโดยการให้อภัยให้เร็วที่สุด
ยิ่งเราหยุดโกรธและฉุนเฉียวได้หมดเร็วเท่าไหร่ ความอ่อนโยนของพระวิญญาณ
สันติสุขและความชื่นชมยินดีก็จะกลับคืนมาสู่เราเร็วมากเท่านั้น มธ.10/13
ถ้าบ้านนั้นสมควรรับพร ก็ให้สันติสุขของพวกท่านอยู่กับบ้านนั้น
แต่ถ้าบ้านนั้นไม่สมควรรับพร ก็ให้สันติสุขนั้นกลับคืนมาสู่พวกท่านอีก





--
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #444 เมื่อ: 3 เม.ย. 11, 13:32 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ถ้าไม่เชื่อ"ปัญหา"ก็ไม่มีวัน"สำเร็จ"

คมชัดลึก : ระยะหลัง ผมมักจะหาโอกาสไปดูหนังบ่อยขึ้น
เพราะเป็นความบันเทิงที่ราคาไม่แพงมากนัก
รวมถึงผมมักจะได้ข้อคิดอะไรติดหัว หลังเดินออกจากโรงทุกครั้ง
ล่าสุด พอจะว่าง ก็เลยชวนกันกับพี่ๆ น้องๆ ไปดู "เดอะ ไรท์" หรือ
"คนไล่ผี" เพราะติดใจฝีมือดารารุ่นพ่ออย่างแอนโธนี่ ฮ็อปกินส์ จาก
"ไซเรนส์ ออฟ เดอะ แลมป์" ที่กระชากขวัญคนดูอย่างผมในวัยเด็ก

หนังเดินเรื่องเร็ว แต่ไม่สะดุด เล่าให้เห็นว่าพระเอกเป็นเด็กกำพร้า
เติบโตมาจากครอบครัวที่พ่อมีอาชีพแต่งศพ ขลุกอยู่กับโบสถ์และศาสนาคริสต์

จนกระทั่งเป็นหนุ่ม
เขาเกิดเปลี่ยนใจไม่ต้องการเดินทางสายนี้ตามที่พ่อหวังไว้
รวมถึงไม่ต้องการใช้ชีวิตแบบ "นักบวช" เพราะไม่มีศรัทธา
และอยากใช้ชีวิตแบบอื่นที่เชื่อว่าเป็นตัวเองมากกว่า

แต่ก็ทนรบเร้าจากนักบวชที่มีพระคุณให้ลองไปที่อิตาลีสักสองเดือนเพื่อศึกษาวิชาปราบปีศาจ
หรือจะเรียกว่าผีให้เข้าใจแบบไทยๆ ก็ไม่ผิดนัก
ก่อนจะตัดสินใจครั้งสุดท้ายว่าจะออกจากชีวิตการเป็นนักบวชจริงๆ

ทันทีที่ได้เข้าคลาส ความฉลาดของพระเอก
ควบคู่กับความสงสัยทำให้เขายังไม่ปักใจเชื่อว่าเรื่องนี้ũ