|
บันทึกลับเฉพาะผู้หญิง
การจดบันทึกประจำเดือน
ประจำ เดือนเป็นการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งมีการเติบโตฟูฟ่องขึ้นมา เพื่อรอรับการปฏิสนธิของทารก ถ้าไม่มีการฝังตัว เยื่อบุเหล่านั้นก็จะหลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน ดังนั้น ใครที่มีประจำเดือนมาปกติ ก็แสดงว่าความเป็นผู้หญิง ที่พร้อมจะเป็นแม่คน ยังทำงานสมบูรณ์ดี ประจำเดือนปกติ จะมาในรอบที่สม่ำเสมอ ไม่เท่ากันในแต่ละคน ถ้ามาเป็นรอบที่สม่ำเสมอก็ถือว่าปกติ ไม่จำเป็นว่า เดือนนี้มาวันที่ 1 แล้วเดือนหน้าจะต้องมาวันที่ 1 เหมือนเดิม เพราะความยาวของรอบไม่ได้เท่ากับ 30 วันนี่นา โดยทั่วไปรอบประจำเดือนจะอยู่ที่ 21-42 วัน
การจดบันทึกประจำเดือน จะทำให้เราสามารถรู้ได้ว่า รอบประจำเดือนของเรามีความยาวกี่วัน แต่ละครั้งมานานกี่วัน เมื่อมีการแปรปรวนของรอบเดือน เราก็จะรู้ได้ทันที และเมื่อจะไปพบแพทย์ ก็สามารถสื่อสารกับแพทย์ได้รวดเร็ว ไม่ต้องมานั่งนึก นั่งนับ เอ... วันสงกรานต์เมนส์มารึเปล่า วันแม่เมนส์มากี่วัน วันครู วันเด็ก คริสมาสต์ฯลฯ (จริงๆนะ หมอจะใช้วันสำคัญในแต่ละเดือนมาเป็นจุดถาม แล้วถ้าเดือนไหนไม่มีวันสำคัญนี่ก็ลำบากเหมือนกัน) วิธีจดก็ง่ายๆเลย เอาปฏิทินตั้งโต๊ะมา แล้วก็กาไปเลย วันนี้เมนส์มาเป็นวันแรก มามากหรือมาน้อย มีลักษณะอะไรผิดแปลกกว่าเดิมรึเปล่า ก็จดไว้ทุกๆเดือน
วิธีดู ดูยังไง ดู ก่อนว่ารอบระยะห่างในแต่ละเดือนของเรา คือกี่วัน (เรียกว่า interval) โดยนับจากวันที่ประจำเดือนมาวันแรกเป็นวันที่ 1 หลังจากนั้นก็นับไปเรื่อยๆ จนไปชนกับวันแรกของรอบประจำเดือนถัดไป ก็จะได้รอบระยะห่างของประจำเดือนมา ซึ่งแต่ละรอบก็มักจะมีความห่างเท่าๆกัน คือ 21-42 วัน บันทึกไปทุกๆเดือน เราก็จะทราบว่ารอบเดือนเรามีความยาวกี่วัน ต่อไปคือ การนำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันต่อไป
วิธีใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน
การนับหน้า 7 หลัง 7 บาง คนอาจจะเคยสงสัย ( ตอนเราเด็กๆก็สงสัย ) ว่าคุณหลัง 7 เนี่ย มันก็รู้อยู่แล้ว เพราะนับวันแรกของประจำเดือนเป็นวันที่ 1 ดังนั้น วันที่ 1-7 ของรอบเดือนก็คือ “หลัง 7” นั่นเอง ซึ่งถ้าหักลบช่วงที่เป็นประจำเดือนไปก็จะเหลือช่วงที่มีเพศสัมพันธ์ได้อย่าง ปลอดภัยอีกไม่กี่วัน แล้วคุณหน้า 7 เนี่ย มันจะรู้ได้ยังไง นี่คือความสงสัยตอนเด็กๆ ก็นี่ไง บันทึกประจำเดือนของเรานี่ไง ถ้าสาวๆคนไหนมีประจำเดือนที่มาอย่างสม่ำเสมอ ก็จะสามารถบอกได้ว่า ก่อนประจำเดือนมา 7 วันนี่มันจะอยู่วันไหนถึงวันไหน แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีการนับที่ถูกต้อง วิธีการคุมกำเนิดโดยการนับหน้า 7 หลัง 7 แบบนี้ก็ยังมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ถึงประมาณ 10%-20% จึงไม่สนับสนุนให้ใช้วิธีนี้นะจ๊ะ
การกะวันตกไข่
คราว นี้มาถึงคนอยากมีลูกบ้างละ โดยทั่วๆไป เรามักพูดกันว่า วันตกไข่ คือ กึ่งกลางของรอบเดือน หรือวันที่ 14 ของรอบเดือน แต่.... กฏเกณฑ์นี้ ใช้ได้กับคนที่มีรอบประจำเดือน 28 วันเท่านั้น สำหรับคนที่มีรอบสั้น หรือรอบยาวกว่า 28 วัน ไข่จะไม่ตกในวันที่ 14 แต่จะไปตก 14 วันก่อนประจำเดือนรอบถัดไปจะมา
ตัวอย่าง ประจำเดือนรอบก่อนหน้านี้ มาวันที่ 1 พ.ค. 51 ประจำเดือนรอบนี้ มาวันที่ 8 มิ.ย.51 แสดงว่า รอบประจำเดือนของเรามาทุกๆ 39 วัน ประจำเดือนรอบหน้า น่าจะมาในวันที่ 17 ก.ค. 51 การตกไข่จะเกิด ประมาณวันที่ 3 ก.ค. 51 (นับย้อนขึ้นไปจากวันที่ 17 ก.ค. อีก 14 วัน) แต่ถ้าไม่อยากท้อง วันที่ปลอดภัยคือ 8-14 มิ.ย.(หลัง 7) และ วันที่ 10-16 ก.ค.(หน้า 7)
ทุกๆ อย่างจะเป็นการประมาณ เพราะรอบเดือนก็จะไม่ตรงกันเป๊ะๆทุกเดือน แต่ถ้าของใครบันทึกแล้วคลาดเคลื่อนมากกว่า 1 สัปดาห์ ก็ไม่ควรใช้กฎเกณฑ์นี้ ทั้งการนับ หน้า 7 หลัง 7 และการนับวันตกไข่นะคะ
อีกตัวอย่าง สำหรับสาวรอบสั้น ประจำเดือนก่อนหน้านี้ มาวันที่ 1พ.ค.51 ประจำเดือนรอบนี้ มาวันที่ 29 พ.ค. 51 แสดงว่า รอบประจำเดือนมาทุกๆ 28 วัน ประจำเดือนรอบถัดไป จะมาวันแรก ประมาณ 26 มิ.ย. 51 การตกไข่ จะเกิดขึ้น ประมาณ วันที่ 12 มิ.ย..51 (นับย้อนขึ้นไปจากวันที่ 26 มิ.ย. อีก 14 วัน) แต่ถ้าไม่อยากท้อง วันที่ปลอดภัยคือ 29 พ.ค.-4 มิ.ย. (หลัง 7) และ 19-25 มิ.ย. 51(หน้า 7)
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
การตรวจภายใน
มะเร็งเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับต้นๆ การวินิจฉัยได้เร็วจะทำให้การรักษาได้ผลดี ผู้ชายมักจะเป็นมะเร็งในที่ซ่อนเร้นทำให้เมื่อเกิดอาการโรคก็ลุกลามจนยากจะ เยียวยาเช่น มะเร็งปอด มะเร็งตับ แต่สำหรับผู้หญิงนับว่าโชคดีเพราะเป็นมะเร็งในที่สามารถตรวจได้เร็ว เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูกเรื่องมะเร็งเต้านมก็สามารถคลำได้ด้วยตัวเอง ส่วนมะเร็งปากมดลูกก็มีการตรวจ Pap test ซึ่งสามารถให้การวินิจฉัยได้อย่างรวดเร็ว เรามารู้จักกันว่า Pap test เป็นอย่างไร
ใครที่ต้องตรวจ Pap test
แน่นอนว่าต้องเป็นผู้หญิงและต้องอยู่ในวัยเจริญพันธุ์ด้วย สมาคมโรคมะเร็งของอเมริกาได้แนะนำให้เริ่มตรวจ Pap หลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกไปแล้ว 3 ปี หรือมีอายุมากกว่า 21 ปีแม้ว่าจะไม่มีเพศสัมพันธ์ก็ให้ตรวจตามรายละเอียดดังต่อไปนี้
อายุ ความถี่ของการตรวจ 21 - 29 ให้ตรวจปีละครั้ง 30 - 69 ให้ตรวจทุก 2-3ปีหากการตรวจ 3 ครั้งหลังให้ผลปกติ 70 และมากกว่า ให้หยุดตรวจเมื่อการตรวจ 3 ครั้งหลังและ 10 ปีที่ผ่านมาผลการตรวจปกติ
หากว่าคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงข้างล่างนี้จะต้องตรวจ Pap test ทุกปี • มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย และมีเคยมีคู่หลายคน • ปัจจุบันมีคู่ขาหลายคน • คู่ขามีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อยและมีแฟนหลายคน • เคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ • ประวัติสมาชิกในครอบครัวเป็นมะเร็งปากมดลูก • เคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งหรือเสี่ยงต่อมะเร็งปากมดลูก • เป็นโรคหูดหงอนไก่ • สูบบุหรี่ • ติดเชื้อ HIV • เป็นคนที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนเช่น มะเร็ง
การตรวจภายในต้องเตรียมตัวอย่างไร
สำหรับท่านที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธุ์หรือตรวจครั้งแรกก็อาจจะทำใจยากสักหน่อย ส่วนผู้ที่เคยตรวจมาแล้วก็คงจะเข้าใจขั้นตอนและความจำเป็นวิธีการเตรียมตัว ก่อนไปตรวจ Pap test • ก่อนไปตรวจก็ควรทำความสะอาดภายนอกโดยใช้สบู่ธรรมดา ไม่ต้องใส่น้ำหอมหรือกลิ่น • ควรสวมกระโปงหรือกางเกงหลวมๆที่สามารถถอดออกง่าย • ไม่ควรจะไปเล่นกีฬาหรือไป shopping ก่อนการตรวจ • ควรจะงดการมีเพศสัมพันธุ์ก่อนการตรวจ • ไม่ควรสวนหรือล้างภายในช่องคลอด • ไม่ควรจะเหน็บยา • ไม่ควรไปตรวจช่วงมีประจำเดือน
|
|
Tags: |
|
|
|
|
"นิสัยขี้อาย" เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของสาวไทย เพราะได้รับการอบรมสั่งสอนให้เป็นกุลสตรีมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ จนทุกวันนี้ แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปพร้อมๆ กับโลกยุคไร้พรมแดน แต่ผู้หญิงก็ยังคงมีความอายอยู่ ต่อให้เป็นหญิงเก่งหญิงแกร่งแค่ไหนก็เถอะ เพราะ ความอายนี่เอง ทำให้ผู้หญิงไม่น้อยไม่กล้าไปพบแพทย์เพื่อ "ตรวจภายใน" เพราะการตรวจดังกล่าวต้องเปลือยส่วนที่เป็นส่วนตัวมากๆ ซึ่งไม่อยากให้ใครเห็น นอกจากนี้ยังกลัวเจ็บ และกลัวในอีกหลายเรื่อง โดยเฉพาะในรายที่ยังเป็นสาวบริสุทธิ์ ไม่เคยแต่งงาน หรือคลอดลูกมาก่อน
ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ ในจำนวนนั้นอาจมีหลายรายที่มีความผิดปกติของอวัยวะภายในเกิดขึ้น ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่สืบพันธุ์ ทำให้คนแต่งงานแล้วมีลูกยาก หรือมีโรคติดเชื้อบางอย่างที่เกิดจากความสัมพันธ์ทางเพศ และที่ร้ายแรงก็คือ อาจมีไวรัสเอชพีวี (Human Papillma Virus) ซึ่งเป็นไวรัสที่มีโอกาสพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็งต่อไป ทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูกได้ โดยสาวไทยเป็นมะเร็งปากมดลูกมากอันดับ 1
โรคที่ต้องตรวจภายใน
สำหรับผู้หญิง มีโรคมากมายที่เกิดขึ้นจากความเกี่ยวข้องของอวัยวะทั้ง 7 ได้แก่ รังไข่ ท่อนำไข่ มดลูก เยื่อบุโพรงมดลูก ปากมดลูก ช่องคลอด และอวัยวะสืบพันธุ์ส่วนนอก ซึ่งต้องตรวจภายในเท่านั้นจึงจะทราบถึงความผิดปกติ เช่น ช็อกโกแลตชีสต์ ที่เป็นสาเหตุหลักของการปวดประจำเดือน และมีลูกยาก ซึ่งผู้หญิงเป็นกันมาก
"ช็อกโกแลตซีสต์" เป็นอาการของโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เพราะเยื่อบุโพรงมดลูกเมื่อไปเกาะที่เกาะที่บริเวณรังไข่ จะมีเลือดออกเหมือนประจำเดือน แต่ไม่ไหลออกมานอกร่างกาย จะขังอยู่ภายใน พอเก่าเข้าจะเป็นสีน้ำตาลข้นเหมือนช็อกโกแลตเหลว จึงเรียกกันว่า ช็อกโกแลตชีสต์" นพ.ฉันทวัฒน์ เชนะกุล สูตินรีแพทย์ มะเร็งนรีเวช กล่าว
เหตุผลที่ต้องตรวจ
มะเร็งที่พบมากในผู้หญิง คือ มะเร็งปากมดลูก ซึ่งจะพบได้ก็ต่อเมื่อต้องตรวจภายในเท่านั้น นอกจากนี้ ยังได้รับผลพวงอื่นๆ เกี่ยวกับระบบอวัยวะภายใน เช่น มดลูก รังไข่ ฯลฯ โดยปัญหาที่พบมากคือ ปวดท้องประจำเดือนเรื้อรัง มีลูกยาก หรือเป็นอันตรายถึงชีวิตถ้าเป็นมะเร็ง คุณหมอบอกว่า อวัยวะเหล่านี้ไม่เหมือนอวัยวะอื่นๆ ที่เป็นระบบปิด ซึ่งมีปัจจัยรบกวนจากภายนอกน้อย แต่อวัยวะสืบพันธุ์ของผู้หญิงมีปัจจัยภายนอกเข้าไปรบกวน นั่นคือการมีเพศสัมพันธ์ ทำให้มีการขยายตัว และเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย โดยเฉพาะเมื่อมีลูก ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นอะไรได้มาก
"ถ้าไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ โอกาสที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูก เกือบจะเป็นศูนย์ แต่ยังมีรังไข่ เยื่อบุโพรงมดลูกที่อาจเกิดความผิดปกติขึ้นได้ ดังนั้น นี่คือประโยชน์ของการตรวจภายใน" คุณหมอบอก
เตรียมตัวอย่างไร
แทบไม่ต้องเตรียมตัวอะไร เว้นเสียแต่ในระหว่างที่มีรอบเดือนไม่ควรมาตรวจ โดยก่อนตรวจ แพทย์จะซักถามประวัติ เช่น ประวัติความสัมพันธ์ทางเพศ หรือแต่งงานหรือยัง มีลูกหรือยัง เพื่อจะได้เลือกวิธีการตรวจรวมทั้งเลือกใช้ขนาดเครื่องมือแพทย์ที่เหมาะสม ในกรณีที่ไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางเพศมาก่อนเลย เครื่องมือแพทย์ที่ใช้จะมีขนาดเล็กกว่า เป็นต้น และใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที ในการตรวจแต่ละครั้ง โดยแพทย์จะส่งเซลล์ที่ได้ไปยังห้องปฏิบัติการ หรือส่งต่อไปอัลตราซาวด์ หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ซึ่งขึ้นอยู่กับความผิดปกติของแต่ละคน
ตรวจอย่างไร
สำหรับวิธีการตรวจ แพทย์จะให้ผู้ป่วยเปลี่ยนไปสวมชุดคลุม แล้วใช้เครื่องมือแพทย์ลักษณะคล้ายปากเป็ดขนาดเล็กๆ แบนๆ สองอัน สอดเบาๆ เข้าไปในช่องคลอด เพื่อเปิดขยายออกให้เห็นปากมดลูก จากนั้นจะใช้เครื่องมือเข้าไปเก็บเซลล์ที่ปากมดลูก จากนั้นจะใช้เครื่องมือเข้าไปเก็บเซลล์ที่ปากมดลูกไปตรวจหาความผิดปกติต่อไป โดยทุกขั้นตอนจะมีพยาบาล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงอยู่ในห้องด้วย
"ในรายที่แต่งงานมีลูกแล้ว แพทย์อาจใช้นิ้วสอดเข้าไปในช่องคลอด เพื่อกระดกมดลูกขึ้น อีกมือหนึ่งคลำที่หน้าท้อง เพื่อจะทราบว่ามดลูกโตไหม และมีความเจ็บปวดตรงไหนหรือเปล่า เพราะบางโรค เช่น โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ บางทียังไม่ถึงขั้นเป็นซีสต์ใหญ่ แต่คนไข้มีอาการปวดมาก เพราะโรคไปเกาะบริเวณเส้นประสาท หรือบริเวณด้านหลังมดลูกที่มีการเคลื่อนไหว เช่น รอยต่อระหว่างมดลูกกับลำไส้ใหญ่ เวลาถ่ายแล้วจะปวดมาก หรือเวลามีประจำเดือนจะปวดเหมือนอยากถ่ายอุจจาระ หรือท้องเสีย การตรวจวิธีนั้จะทำให้รู้ว่ามีเม็ด มีตุ่ม หรือเจ็บปวดเกิดขึ้นหรือไม่"
ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาทุกอย่าง ผู้หญิงทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป จึงควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจภายในได้แล้ว เพื่อจะได้ทราบว่า ตัวเองมีปัญหาอะไรหรือไม่ ถ้ามีจะได้แก้ไขทันเวลา และเพื่อสุขภาพที่ดี
|
|
Tags: |
|
|
|
|
ผู้หญิงกับ มะเร็งปากมดลูก คือ การเกิดมะเร็งในบริเวณปากมดลูกซึ่งจะสามารถแบ่งระยะของมะเร็งปากมดลูกได้เป็น 2 ระยะใหญ่ ๆ คือ 1. ระยะก่อนมะเร็งหรือระยะก่อนลุกลาม ระยะนี้เซลล์มะเร็งยังอยู่ภายในชั้นเยื่อบุผิวปากมดลูก ไม่ลุกลามเข้าไปในเนื้อปากมดลูก ผู้ป่วยจะไม่มีอาการผิดปกติเลย แต่ตรวจพบได้จากโดยการตรวจทางเซลล์วิทยาของปากมดลูกที่เรียกว่า “แพปสเมียร์” 2. ระยะลุกลาม แบ่งออกเป็น 4 ระยะย่อย คือ - ระยะที่ 1 มะเร็งลุกลามอยู่ภายในปากมดลูก - ระยะที่ 2 มะเร็งลุกลามไปที่เนื้อเยื่อข้างปากมดลูก และ / หรือผนังช่องคลอดส่วนบน - ระยะที่ 3 มะเร็งลุกลามไปที่ด้านข้างของเชิงกราน และ / หรือผนังช่องคลอดส่วนล่าง หรือกดท่อไตจนเกิดภาวะไตบวมน้ำ - ระยะที่ 4 มะเร็งลุกลามไปที่กระเพาะปัสสาวะ ไส้ตรง หรืออวัยวะอื่น ๆ เช่น ปอด กระดูก และต่อมน้ำเหลืองนอกเชิงกราน เป็นต้น โดยสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกที่วิทยาการทางการแพทย์ตรวจพบในปัจจุบันคือ การติดเชื้อไวรัสฮิวแมนแพปพิลโลมาหรือเชื้อเอชพีวีบริเวณอวัยวะเพศ โดยเฉพาะบริเวณปากมดลูก ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้มีโอกาสติดเชื้อไวรัสเอชพีวีหรือเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ ง่ายขึ้น ได้แก่ การมีคู่นอนหลายคน การมีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อย หรือการตั้งครรภ์เมื่ออายุน้อย เป็นต้น ปัจจัยนอกจากนี้เป็นเพียงปัจจัยส่งเสริมหรือปัจจัยร่วมที่ทำให้การติดเชื้อ เอชพีวีคืบหน้ารุนแรงขึ้นจนเป็นมะเร็งปากมดลูก ปัจจัยร่วมเหล่านี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเป็นมะเร็งปากมดลูก หรือทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูกได้สูงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับสตรีที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยง โดยอาการของมะเร็งปากมดลูกขึ้นกับระยะของมะเร็ง อาการที่อาจจะพบในผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกได้แก่ 1. การตกเลือดทางช่องคลอด เป็นอาการที่พบได้มากที่สุดประมาณร้อยละ 80 – 90 ของผู้ป่วยที่มีอาการ ลักษณะเลือดที่ออกอาจจะเป็นเลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างรอบเดือน, เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์, มีน้ำปนเลือด, ตกขาวปนเลือด หรือเลือดออกหลังวัยหมดประจำเดือน 2. อาการในระยะหลังเมื่อมะเร็งลุกลามมากขึ้น ได้แก่ ขาบวม, ปวดหลังรุนแรง, ปวดก้นกบและต้นขา, ปัสสาวะเป็นเลือดหรือถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ดังนั้นจึงควรทราบถึงการวินิจฉัยมะเร็งปากมดลูก ได้แก่ 1. การตรวจภายใน พบก้อนมะเร็งปากมดลูกชัดเจน ต้องตรวจยืนยันโดยการตัดเนื้อออกตรวจทางพยาธิวิทยา 2. การตรวจทางเซลล์วิทยา หรือ “แพปสเมียร์” ตรวจพบเซลล์มะเร็งซึ่งต้องสืบค้นต่อโดยการตรวจภายในและการตรวจด้วยกล้องขยาย เพื่อตรวจหาบริเวณที่ผิดปกติที่จะทำการตัดเนื้อออกตรวจทางพยาธิวิทยา 3. การตรวจด้วยกล้องขยายหรือคอลโปสโคปร่วมกับการตัดเนื้อออกตรวจทางพยาธิวิทยา 4. การตรวจอื่น ๆ ที่อาจช่วยในการวินิจฉัยมะเร็งปากมดลูก ได้แก่ - การขูดภายในปากมดลูก - การตัดปากมดลูกด้วยห่วงไฟฟ้า - การตัดปากมดลูกออกเป็นรูปกรวยด้วยมีด ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้ว่าผู้หญิงทั้งหลายควรป้องกันการติดเชื้อที่เกิดจาก การติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะการติดเชื้อเอชพีวีและควรงดสูบบุหรี่ นอกจากนี้มะเร็งปากมดลูกสามารถตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะก่อนมะเร็งโดยการทำแพปส เมียร์ ซึ่งการรักษาได้ผลดีมาก อาการที่พบมากที่สุดของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกระยะลุกลามคือ การตกเลือดทางช่องคลอด วิธีการรักษาขึ้นกับระยะของมะเร็งปากมดลูก ในระยะก่อนมะเร็งหรือระยะก่อนลุกลามสามารถรักษาได้หลายวิธีโดยไม่จำเป็นต้อง ตัดมดลูกออก ในระยะลุกลามสามารถรักษาด้วยการผ่าตัด การฉายรังสี และเคมีบำบัด มะเร็งปากมดลูกสามารถป้องกันได้โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ และการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง หวังว่าท่านผู้ฟังที่เป็นผู้หญิงเหมือนผู้เขียนควรจะหาเวลาในการตรวจสุขภาพ เพื่อป้องกันก่อนที่มะเร็งจะลุกลามจนรักษาไม่ได้ด้วยค่ะ
|
|
Tags: |
|
|
|
|
ช็อกโกเเลตซีสต์ในผู้หญิ่ง โดยปกติในระหว่างรอบประจำเดือน เยื่อบุมดลูกจะมีการเปลี่ยนแปลง คือ ใน 1 รอบประจำเดือน จะยาวประมาณ 28 วัน ซึ่งอาจสั้น หรือยาวกว่านี้ ในแต่ละ บุคคล โดยนับวันที่ประจำเดือนหมด คือ ประมาณวันที่ 5 รังไข่จะผลิตฮอร์โมนเพศสตรีมากระตุ้นเยื่อบุมดลูกให้เจริญและหนาตัวขึ้น มีเส้นเลือดนำอาหารมาเลี้ยงมากขึ้นเพื่อเตรียมรับการตั้งครรภ์
ประมาณ วันที่ 14 ของรอบเดือน เยื่อบุมดลูกจะหนากว่าระยะเริ่มต้นถึง 10 เท่า และช่วงนี้จะมีการตกไข่ ไข่จะถูกจับเข้าไปในท่อนำไข่ และถ้าได้ปฏิสนธิ กับเชื้ออสุจิ จะเคลื่อนเข้าไปในมดลูกและฝังตัวอยู่ในเยื่อ บุมดลูก ถ้าไข่ไม่ได้รับการปฏิสนธิ จะสลายตัวไป ระดับฮอร์โมนก็จะลดลงโดยมีการลอกหลุดตัวของเยื่อบุมดลูกกลายเป็นประจำเดือน ออกมาประมาณวันที่ 28 ของรอบเดือนแล้วก็เริ่มต้นรอบเดือนใหม่เช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ในทุก ๆ เดือน
สำหรับ โรคนี้ เมื่อผู้หญิงมีประจำเดือน ที่เยื่อบุโพรงมดลูกซึ่งจะมีลักษณะเป็นถุงน้ำที่ภายในมีเลือดเคลื่อนตัวออก จากโพรงมดลูกหลุดไปติดตามท่อนำไข่ แล้วไปเจริญเติบโตในอวัยวะต่าง ๆ เช่น อุ้งเชิงกราน ท่อรังไข่ ลำไส้ ช่องคลอด มดลูก กระเพาะปัสสาวะ โดยหากมารวมอยู่ที่ รังไข่จะเรียกว่า ช็อกโกแลต ซีสต์ มีลักษณะเป็นก้อนกลม ๆ เหมือนช็อกโกแลตซึ่งเป็นเลือดเก่า แทนที่จะออกมาทางช่องคลอดตามปกติ โรคนี้ทางการแพทย์เรียกว่า เยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่ (Endometriosis)
อาการปวดท้องน้อยเรื้อรังเมื่อมีประจำเดือน โดยจะปวดด้านหน้า ตั้งแต่สะดือไปถึงอุ้งเชิงกราน ส่วนด้านหลังตั้งแต่บั้นเอวไปถึงก้นกบ บางคนปวดมาก บางคนปวดน้อยปรากฏการณ์นี้จะเป็นเช่นนี้ทุก ๆ เดือนและเกิดปฏิกิริยาขึ้นทุกครั้งที่มีเลือดออกพร้อมกับการมีประจำเดือน ทำให้มีเยื่อพังผืดหนาตัวขึ้นเรื่อย ๆ ในอุ้งเชิงกราน บางครั้งถุงเลือดที่มีอยู่เดิมแตกออกมา ทำให้เลือดและเยื่อบุมดลูกกระจายไปเจริญขึ้นในที่ อื่น ทำให้เพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ การมีพังผืดตามอวัยวะต่าง ๆ มากเช่นนี้เป็นผลให้การตกไข่ออกจากรังไข่ไปไม่ดีหรือไปไม่ได้ และท่อนำไข่ก็ไม่สามารถทำงานในการจับไข่เข้าไปได้ เพราะมีการยึดรั้งจากพังผืดหรือทำให้ ท่อนำไข่ตีบตันเป็นสาเหตุสำคัญของการมีบุตรยาก
สิ่งที่จะบ่งชี้ว่า อาการปวดดังกล่าวเป็นอาการปวดท้องธรรมดาหรือเป็นอาการปวดของโรคนี้ คือ อายุ โดยจะพบมากในสตรีที่มีอายุ 30-40 ปี หรือวัยก่อนหมดประจำเดือน ในกรณีที่ไม่เคยปวดมาก่อน แต่พออายุ 30 ปีขึ้นไปแล้วกลับมีอาการปวดและปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละเดือน สันนิษฐานได้ว่าอาจปวดจากเยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่ได้ ฉะนั้น เยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีประจำเดือนเท่านั้น โดยก่อนวัยมีประจำเดือนหรือวัยหมดประจำเดือนจะไม่พบโรคนี้
เนื่องจากเป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ส่วนมากเป็นทางกรรมพันธุ์ พบประวัติว่า มารดา พี่ น้อง เป็นโรคนี้ แต่โชคดี คือ มีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่จะกลายเป็นเนื้อร้าย วิธีบรรเทาอาการปวดจึงรักษาตามอาการ หากมีอาการปวดเพียงเล็กน้อยจะประคบด้วยน้ำร้อน ปวดกลาง ๆ แต่ทนได้ให้ทานยาแก้ปวด ถ้าปวดมากต้องใช้ยาเฉพาะทาน
พบว่า ประมาณร้อยละ 43 ผู้ป่วยจะมาพบแพทย์หลัง มีอาการประมาณ 1 ปี การตรวจร่างกายมักไม่พบความผิดปกติ ที่ชัดเจน หลังการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงหรือการทำอัลตราซาวด์ อาจจะพบถุงน้ำที่รังไข่ ในบางครั้งอาจต้องใช้วิธีตรวจโดยการใช้กล้องส่องเข้าไปในช่องท้อง
กรณี ถุงน้ำที่รังไข่มีขนาดเล็กอาจจะให้การรักษาด้วยยา ร้อยละ 60 ที่รักษาด้วยยาไม่ดีขึ้นต้องผ่าตัด จากการศึกษาพบว่า การรักษาอาการปวดที่เกิดจากภาวะช็อกโกแลต ซีสต์ แพทย์นิยมให้ผู้ป่วยฉีดยาคุมกำเนิดทุก 3 เดือน เป็นเวลา 12 เดือน หรือให้ทานยาเม็ดคุมกำเนิดฮอร์โมนต่ำ พบว่า ทั้งสองวิธีได้ผลสามารถทำให้ขนาดของช็อกโกแลต ซีสต์ลดลง
ภาวะของ โรคช็อกโกแลต ซีสต์ ไม่เพียงแต่จะก่อให้เกิดอาการปวดทุกครั้งเมื่อมีประจำเดือน ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีความสุข หากปล่อยทิ้งระยะเวลาไว้นานอาจทำให้เกิดการสร้างเยื่อพังผืดขึ้นมาล้อมรอบ ยิ่งถ้าเป็นบริเวณลำไส้ใหญ่จะทำให้ผ่าตัดได้ยาก เนื่องจากขณะทำการผ่าตัดเอาพังผืดออกอาจทำให้มีโอกาสทะลุไปโดนลำไส้ใหญ่ได้ จำต้องผ่าตัดเพื่อเย็บลำไส้ซ้ำอีกครั้ง
สตรีที่เป็นโรคนี้จะมีภาวะมีบุตรยากขึ้นกว่าคนไม่เป็นโรค บางรายแพทย์ตรวจพบโรคนี้จากการตรวจหาสาเหตุของการ ไม่มีบุตร เมื่อทำการรักษาหรือผ่าตัดช็อกโกแลต ซีสต์ ออกไปแล้วอาจทำให้มีลูกได้ แต่ไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ เพียงแต่มีโอกาสเพิ่มมากขึ้น ถ้าเป็นแล้วไม่ต้องกลัว สามารถรักษาได้ แม้จะไม่หาย ขาดมีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ได้อีก แต่ไม่ควรประมาท เพราะ ถ้าปล่อยให้เป็นมาก ๆ อาจถึงขั้นต้องตัดมดลูกทิ้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำใจลำบากในผู้ป่วยบางราย จึงควรหมั่นดูแลสุขภาพ เช็กร่างกายตนเองอย่างสม่ำเสมอ เมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นจะได้รักษาแก้ไขได้ทัน
|
|
Tags: |
|
|
|
|
มะเร็งเต้านม
โรคมะเร็งเต้านมเกิดจากเนื้อเยื่อของ เต้านมมีการเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์มะเร็งซ ึ่งอาจจะกิดเป็นมะเร็งเต้านมที่เกิดกับท่อน้ำนม หรือมะเร็งเต้านมที่เกิดกับต่อมน้ำนม มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อย ดังนั้นท่านผู้อ่านที่เป็นหญิงหรือชายควรจะตรวจเต้านมตัวเอง
มะเร็งคืออะไร
ร่างกาย ของคนเราประกอบไปด้วยเซลล์จำนวนมาก โดยมีการแบ่งตัวตามความต้องการของร่างกาย เช่นเซลล์เม็ดเลือดแดงจะมีการผลิตเพิ่มเมื่อร่างกายเราเสียเลือด ผลิตเม็ดเลือดขาวเพิ่มเมื่อร่างกายเราติดเชื้อ แต่เซลล์ที่สร้างโดยที่ร่างกายเราไม่สามารถควบคุมได้เราเรียกว่าเนื้องอก Tumor ซึ่งแบ่งเป็น Benign และ Malignant
Benign tumor
คือ เนื้องอกที่ไม่ใช่มะเร็ง เนื้องอกจะไม่แพร่กระจายไปยังส่วนอื่นของร่างกาย ตัดออกแล้วจะไม่เป็นซ้ำ เช่น fibroadenoma,cyst,fibrocystic disease
Malignant tumor
เซลล์ จะแบ่งตัวไม่หยุด ร่างกายเราไม่สามารถควบคุมการแบ่งตัว เซลล์จะแพร่กระจายไปยังอวัยวะใกล้เคียงและแพร่ไปยังอวัยวะอื่นๆ โดยอาจจะไปตามกระแสเลือด หรือทางน้ำเหลือง เราเรียกการแพร่กระจายว่า Metastasis
อาการของมะเร็งเต้านม
ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านมมักจะไม่มีอาการอะไร โดยมากมักจะรู้ได้โดย
* คลำได้ก้อนที่เต้านมหรือรักแร้ * มีการเปลี่ยนแปลงขนาดของเต้านม * มีน้ำไหลออกจากหัวนม * เจ็บ หรือหัวนมถูกดึงรั้ง * ผิวเต้านมจะเหมือนเปลือกส้ม
มาป้องกันมะเร็งกันเถอะ
สาเหตุของมะเร็งเต้านมยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่การปฎิบัติตัวที่ดีจะลดการเกิดมะเร็งเต้านม
* เปลี่ยนแปลงอาหาร เช่นลดพวกเนื้อสัตว์ลง ลดอาหารไขมัน * เลือกรับประทานอาหารผักหรือผลไม้ * ควบคุมน้ำหนักมิให้อ้วน * ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 5 วันวันละ 30 นาที * งดบุหรี่ และแอลกอฮอลล์
|
|
Tags: |
|
|
|
|
ผู้ชาย ก็สมควรได้รับทราบด้วยครับ จะได้ทราบและเผยแพร่ต่อคนในครอบครัวของตนที่เป็นผู้หญิง
|
|
Tags: |
|
|
|
|
มะเร็งรังไข่ ทุกๆ เดือนรังไข่ข้างหนึ่งของหญิงวัยเจริญพ้นธ์จะผลิตไข่ขึ้นมาหนึ่งฟอง ไข่จะเคลื่อนไปตามท่อรังไข่และเข้าสู่มดลูก หากไข่ไม่ได้รับการผสมก็จะถูกขับออก
รังไข่นอกจากสร้างไข่แล้วยังผลิตฮอร์โมนเพศหญิงที่ชื่อว่า oestrogen and progesterone
เนื้องอกของรังไข้
เนื้องอกของรังไข่แบ่งอกเป็นชนิดใหญ่ 2 ชนิดคือ
* เนื้องอกที่ธรรมดา หรือที่เรียกว่า benign tumor เนื้องอกชนิดนี้จะไม่แพร่กระจายการรักษาทำได้ง่าย ผ่าตัดเอาก้อนเนื้องอกออกก็หาย * เนื้อมะเร็ง Malignant เนื้องอกชนิดนี้อาจจะเรียกเนื้อร้ายหรือมะเร็งหากวินิจฉัยได้ช้าเนื้อร้ายจะแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น
ชนิดของมะเร็งรังไข่
มะเร็งรังไข่จะเกิดเซลล์ที่เป็นส่วนประกอบของรังไข่
* Epithelial tumor เป็นเนื้องอกที่เกิดจากเซลล์ผิวของรังไข่ เนื้องอกส่วนใหญ่เกิดจากเซลล์ชนิดนี้ * Germ cell tumor เป็นมะเร็งที่เกิดเซลล์ที่ผลิตไข่ * Stroma tumor เป็นเนื้องอกที่เกิดเซลล์เนื้อเยื่อเกี่ยวพันซึ่งสร้างฮอร์โมนเพศ estrogen และ progesteron
มะเร็งรังไข่ส่วนใหญ่เกิดจากเซลล์ที่เรียกว่า epithelial cell ซึ่งเป็นเซลล์ที่อยู่เปลือกนอก และยังแบ่งเป็น
* serous * mucinous * endometrioid * clear cell * undifferentiated or unclassifiable
ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งชนิดไหนการรักษาก็ไม่ต่างกัน
ระยะของมะเร็งรังไข่
การพิจารณาให้การรักษาแพทย์จะพิจารณาจากระยะของโรค ซึ่งแบ่งออกเป็น
* Borderline tumours เป็นมะเร็งที่อยู่เฉพาะในรังไข่ รูปร่างของเซลล์มะเร็งจะคล้ายเซลล์ปก(low grade) การรักษาจะใช้วิธีผ่าตัดซึ่งให้ผลหายขาด * มะเร็งในระยะที่1มะเร็งอยู่ในเฉพาะรังไข่ * Stage 1 หมายถึงมะเร็งอยู่ในรังไข่ * Stage 1a เนื้อมะเร็งอยู่ที่รังไข่ 1 ข้าง * Stage 1b มะเร็งอยู่ที่รังไข่ 2 ข้าง.และยังไม่ออกนอกรังไข่ * Stage 1cมะเร็งอยู่ในรังไข่ข้างใดข้างหนึ่งหรือสองข้างร่วมกับ o มะเร็งอยู่ที่ผิวของรังไข่ o หากมะเร็งเป็นถุงน้ำและถุงน้ำแตกออก o พบเซลล์มะเร็งในช่องท้อง * Stage 2มะเร็งอยู่ข้างหนึ่งหรือสองข้างและแพร่กระจายไปยังอวัยวะข้างเคียงเช่น ช่องคลอด ท่อรังไข่ กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ใหญ่ o Stage 2a มะเร็งลุกลามเข้าอวัยวะสืบพันธ์เช่น vagina, มดลูก ท่อรังไข่fallopian tubes. o Stage 2b มะเร็งลามเข้าอวัยวะช่องเชิงกรานเช่น กระเพาะปัสสาวะ bladderแต่ยังไม่ลามไปยังอวัยวะในช่องท้อง o Stage 2cมะเร็งได้แพร่กระจายในช่องท้อง * Stage 3 มะเร็งอยู่ในรังไข่ มะเร็งลามเข้ายังอวัยวะในช่องท้อง เช่นต่อมน้ำเหลือง ลำไส้ * Stage 3a มะเร็งที่แพร่กระจายมีขนาดเล็กมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า. แต่ส่องกล้องพบเซลล์มะเร็ง * Stage 3b มะเร็งมีขนาดเล็กกว่า 2 เซ็นติเมตร * Stage 3c มะเร็งมีขนาดมากกว่า 2 เซ็นติเมตร * Stage 4 มะเร็งแพร่กระจายไป ปอด สมอง
Grading
หมายถึงลักษณะของเซลล์มะเร็งที่มองด้วยกล้องจุลทัศน์ซึ่งจะบ่งบอกว่าเซลล์มะเร็งมีแนวโน้มว่าจะแพร่กระจายได้ง่ายหรือยา
* Low-grade หมายถึงเซลล์มะเร็งที่มีรูปร่างเหมือเซลล์ปกติ ชนิดนี้มีการแพร่กระจายต่ำ * Moderate-grade หมายถึงเซลล์ทีผิดปกติมากกว่าแบบแรก * High-grade เซลล์มีความผิดปกติมากและมีการเจริญเติบโตเร็วและแพร่กระจายได้ง่าย
|
|
Tags: |
|
|
|
|
มะเร็งต่อมลูกหมาก prostate cancer อันนี้ฝากให้คุนwithyaw เเละคุนผู้ชายทุกท่าน
มะเร็งต่อมลูหมากเป็นมะเร็งที่พบในผู้ชาย มะเร็งต่อมลูกหมากพบได้ในวัยสูงอายุผู้ป่วยมักจะมีอาการปัสสาวะไม่ออก
ตำแหน่งและหน้าที่ของต่อมลูกหมากคลิกดูได้ที่นี่
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
สาเหตุของมะเร็งต่อมลูกหมากยังไม่มีใครทราบ แต่เท่าที่วิจัยได้พบว่าความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมากได้แก่
* อายุ มะเร็งต่อมลูกหมากพบในผู้ป่วยอายุมากกว่า 50ปีขึ้นไป อายุโดยเฉลี่ยประมาณ 70 ปี * ประวัติครอบครัว พบว่าชายที่มีพ่อ หรือพี่น้องเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากจะมีโอกาสเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากสูงกว่าคนทั่วไป * เชื้อชาติ พบไม่บ่อยในชาวเอเชียแต่พบบ่อยในอเมริกา * อาหาร พบว่าผู้ที่บริโภคมันจากสัตว์มากมีโอกาสเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ส่วนผู้ที่บริโภคผักและผลไม้จะลดโอกาสเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากผู้ที่สูบบุหรี่ก็มีโอกาสเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก
ยังไม่พบหลักฐานว่าการทำหมันชายทำให้มะเร็งต่อมลูกหมากเป็นมากขึ้นขณะนี้กำลังศึกษาว่า ต่อมลูกหมากโต คนอ้วน การขาดการออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ การเจอรังสี การติดเชื้อไวรัสบางชนิดเป็นสาเหตุของมะเร็งต่อมลูกหมากหรือไม่ เท่าที่มีหลักฐานยังไม่พบความสัมพันธ์ดังกล่าว
ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมากควรตรวจอะไรบ้าง
สำหรับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวควรจะปรึกษาแพทย์ว่าเมื่อไรจึงจะตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมากแม้ว่าจะไม่มีอาการ จะตรวจอะไรบ้าง และตรวจถี่แค่ไหน แพทย์จะแนะนำให้ตรวจดังที่จะแสดงข้างล่างแต่การตรวจดังกล่าวเป็นการตรวจว่ามีความผิดปกติที่ต่อมลูกหมากหรือไม่มิใช่บ่งว่าเป็นมะเร็ง
* การตรวจต่อมลูกหมากทางทวารหนักโดยการที่แพทย์ใส่ถุงมือ ใช้ vaslin หล่อลื่นนิ้วมือ แล้วตรวจต่อมลูกหมากทางทวารหนักเพื่อดูว่ามีก้อน หรือขนาดโตขึ้น * การตรวจหาสาร PSA ซึ่งเป็นสารโปรตีนที่ผลิตโดยต่อมลูกหมาก ค่าจะสูงในโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ค่าปกติจะน้อยกว่า 4 nanogram ค่าอยู่ระหว่าง 4-10 nanogram ค่านี้อยู่ระดับปานกลางถ้าค่ามากกว่า 10 ถือว่าสูงค่ายิ่งสูงโอกาสเป็นมะเร็งก็จะสูง นอกจากนี้ยังพบว่าค่า PSA สูงพบได้ในโรค ต่อมลูกหมากโต การอักเสบของต่อมลูกหมาก ค่ามักจะอยู่ระหว่าง 4-10 nanogram
หากการตรวจดังกล่าวพบว่าผิดปกติก็จะต้องตรวจเพิ่มเพื่อยืนยันว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากหรือไม่
อาการของมะเร็งต่อมลูกหมาก
มะเร็งต่อมลูกหมากแรกเริ่มจะไม่มีอาการ แต่หากมีอาการจะเกิดอาการเหล่านี้
* ปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะเวลากลางคืน * เวลาเริ่มปัสสาวะจะลำบาก * ปัสสาวะไม่พุ่ง * เวลาปัสสาวะจะปวด * อวัยวะเพศแข็งตัวยาก * เวลาหลั่งเมื่อถึงจุดสุดยอดจะปวด * มีเลือดในน้ำเชื้อหรือปัสสาวะ * ปวดหลังปวดข้อ
อาการต่างๆเหล่านี้อาจจะเกิดในผู้ป่วยที่ต่อมลูกหมากโตหรือต่อมลูกหมากอักเสบ
การวินิจฉัยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
เมื่อ ผู้ป่วยที่การตรวจเบื้องต้นสงสัยว่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับต่อมลูกหมากแพทย์ ทั่วไปจะปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อการวินิจฉัยต่อไปโดยทั่วไปนิยมตรวจ
|
|
Tags: |
|
|
|
|
* Transrectal ultrasonography การทำ ultrasound ต่อมลูกหมากทางทวารหนัก * Intravenous pyelography คือการฉีดสีเข้าหลอดเลือดดำเพื่อให้สีขับออกทางไต ไปกระเพาะปัสสาวะ * Cystoscope แพทย์จะส่องกล้องเข้าทางท่อปัสสาวะ
เมื่อสงสัยเป็นมะเร็งแพทย์จะใช้เข็มเจาะชิ้นเนื้อต่อมลูกหมากไปตรวจทางพยาธิถ้าเป็นต่อมลูกหมากโตก็จะรักษาตามขั้นตอน
ระยะของโรค
การ วางแผนการรักษาจะต้องรู้ว่ามะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายหรือยังหรือยังอยู่ เฉพาะที่ต่อมลูกหมาก โดยจะต้องมีการตรวจเพิ่มเช่นการตัดชิ้นเนื้อจากทวารหนัก การ x-ray พิเศษ ที่นิยมแบ่งเป็น 4 ระยะได้แก่ 1-4 หรือ A-D
1. Stage 1 หรือ A ระยะนี้ผู้ป่วยไม่มีอาการไม่สามารถตรวจพบมะเร็งต่อมลูกหมากทางทวารทราบว่า เป็นโดยการผ่าตัดต่อมลูกหมากโตระยะนี้มะเร็งอยู่เฉพาะในต่อมลูกหมาก 2. Stage 2หรือ B สามารถตรวจได้จาการตรวจต่อมลูกหมากโดยการใช้เข็มเจาะชิ้นเนื้อต่อมลูกหมากเนื่องจากค่า PSA สูงมะเร็งยังอยู่ในต่อมลูกหมากไม่แพร่กระจาย 3. Stage 3หรือC มะเร็งแพร่กระจายไปเนื้อเยื่ออยู่ใกล้ต่อมลูกหมาก 4. Stage 4 หรือDมะเร็งแพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองหรืออวัยวะอื่น 5. Reccurent หมายถึงภาวะที่มะเร็งกลับเป็นใหม่หลังจากรักษาไปแล้ว
การรักษา
แพทย์จะเลือกวิธีรักษาโดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆดังนี้
* ระยะของโรคว่าแพร่กระจายหรือยัง * ชนิดของมะเร็ง * ประโยชน์ที่ได้จากการรักษา * ผลข้างเคียงของการรักษาและการป้องกัน * การรักษานี้มีผลต่อความรู้สึกทางเพศหรือไม่ มีผลต่อการปัสสาวะหรือไม่ หลังรักษามีปัญหาถ่ายเหลวหรือไม่ * คุณภาพชีวิตหลังรักษา
วิธีการรักษา
1. การเฝ้ารอดูอาการ เหมาะสำหรับมะเร็งที่เริ่มเป็นและผู้ป่วยสูงอายุหรือมีโรคประจำตัวที่เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากการรักษา 2. การผ่าตัด Prostatectomy เป็นวิธีการที่นิยมใช้ในการรักษามะเร็งในระยะเริ่มต้นซึ่งมีวิธีการทำผ่าตัดได้ 3 วิธี
* radical retropubic prostatectomy แพทย์จะผ่าตัดผ่านทางหน้าท้องโดยตัดเอาต่อมลูกหมากและต่อมน้ำเหลือง * radical perineal prostatectomy แพทย์ผ่าตัดผ่านทางผิวหนังบริเวณอัณฑะและทวารหนักโดยตัดต่อมลูกหมาก ส่วนต่อมน้ำเหลืองต้องตัดออกโดยผ่านทางหน้าท้อง * transurethral resection of the prostate (TURP)เป็นการตักต่อมลูกหมากโดยการส่องกล้องผ่านอวัยวะเพศเป็นการตัดชิ้น เนื้อเพื่อให้ปัสสาวะไหลคล่อง
ถ้าผลชิ้นเนื้อต่อมน้ำเหลืองมีเชื้อมะเร็งแสดงว่ามะเร็งนั้นแพร่กระจายแล้ว
2. Radiation therapy การให้รังสีรักษาเป็นการให้ในกรณีที่มะเร็งนั้นก้อนขนาดเล็กหรือให้หลังจาก ผ่าตัดต่อมลูกหมากไปแล้วการให้รังสีรักษา อาจจะให้โดยการฉายแสงจากภายนอกหรือการฝังวัตถุอาบรังสีไว้ใกล้เนื้องอก implant radiationหรือ brachytherapy 3. Hormonal therapy เนื่องจากมะเร็งต่อมลูกหมากต้องใช้ฮอร์โมนในการเจริญเติบโตการให้ฮอร์โมนจะ ใช้ในกรณีที่มะเร็งได้แพร่กระจายแล้ว หรือเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำหลังการรักษาซึ่งมีวิธีการรักษาดังนี้
* การตัดลูกอัณฑะซึ่งเป็นแหล่งผลิตฮอร์โมนเพศชาย * การใช้ยาเพื่อลดการสร้างฮอร์โมน testosterone เช่น leuprolide, goserelin, และ buserelin. * ยาที่ป้องกันการออกฤทธิ์ของ androgen เช่น flutamide และ bicalutamide. * ยาที่ป้องกันต่อมหมวกไตไม่ให้สร้างฮอร์โมน androgen เช่น ketoconazole and aminoglutethimide.
4. Chemotherapy การให้เคมีบำบัดเป็นการฆ่าเซลล์มะเร็งโดยการให้สารเคมีซึ่งการรักษายังไม่ดีพบใช้ในกรณีที่โรคแพร่กระจายแล้ว 5. ใช้สารที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิหรือภูมิที่สร้างจากภายนอกเพื่อให้ภูมิต่อสู่กับเชื้อโรค 6. cryotherapy เป็นการรักษาใหม่โดยใช้เข็มสอดเข้าในต่อมลูกหมากแล้วฉีดสาร liquid nitrogen เพื่อแช่แข็งมะเร็งต่อมลูกหมาก ใช้ในกรณีที่ไม่เหมาะในการผ่าตัดผลการรักษายังไม่ยืนยันว่าได้ผลดี
ผลข้างเคียงของการรักษา
1. การเฝ้ารอสังเกตอาการผลเสียคือทำให้เสียโอกาสในการรักษามะเร็งในระยะเริ่มแรก 2. การผ่าตัด จะทำให้เจ็บปวดในระยะแรก และผู้ป่วยต้องคาสายสวนปัสสาวะ10วัน-3 สัปดาห์ การผ่าตัดอาจจะทำให้กลั้นปัสสาวะและอุจาระไม่ได้ และอาจจะเกิดกามตายด้าน นอกจากนี้จะไม่มีน้ำเชื้อเมื่อถึงจุดสุดยอด 3. การฉายรังสีจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลียการผักผ่อนเป็นเรื่องที่สำคัญแต่ก็ควรออกกำลังเท่าที่จะทำได้ การฉายรังสีอาจจะทำให้ผมร่วง และอาจจะทำให้เกิดกามตายด้าน 4. การให้ฮอร์โมนจะทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการเหมือนชายวัยทองคือมีอาการกามตายด้าน ร้อนตามตัว
การป้องกัน
* อาหารป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก * มีการศึกษาว่า วิตามินอี selenium และน้ำมะเขือเทศสามารถลดการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้ * การลดอาหารไขมันและเพิ่มถั่ว ผัก ผลไม้สามารถป้องกันมะเร็งได้
|
|
Tags: |
|
|
|
|
อย่ากังวลเลยค่ะ การขอให้อีกฝ่ายไปตรวจโรคไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด เรามาดูกันสิว่า เมื่อไรที่ควรไปตรวจร่างกาย
เมื่อไรที่ควรตรวจร่างกาย
ใน ยุคที่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีอานุภาพรุนแรงถึงชีวิต เราจึงมีสิทธิรู้ว่า คนที่เรากำลังจะกระโดดขึ้นเตียงด้วยนั้นสะอาดปลอดโรคหรือไม่ สำหรับบางคนการถูกขอให้ไปตรวจร่างกายนั้นไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร เพราะเข้าใจดีว่าใครๆก็อยากปลอดภัยไร้โรค แต่บางคนอาจรู้สึกต่อต้านไม่พอใจ เพราะรู้สึกเหมือนโดนดูถูก
หรือจะขอให้อีกฝ่ายไปตรวจร่างกายนั้น ควรทำอย่างไร
ความสัมพันธ์ใหม่หมาด เมื่อ คิดจะเริ่มความสัมพันธ์ครั้งใหม่ ขอแนะนำให้ชักชวนไปตรวจร่างกายหาเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วยกัน เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกว่ากำลังถูกกล่าวหาว่าเป็นโรค และโฟกัสไปที่สุขภาพที่ดีของกันและกัน แทนที่จะคิดว่าเราห่วงแต่ตัวเองเท่านั้น
อยากมีลูก ถ้า กำลังคิดจะมีลูก สมควรอย่างยิ่งที่จะพากันไปตรวจร่ายกายทั้งสองคนก่อนที่จะลุยต่อไป ถึงแม้ว่าตอนที่รักกันใหม่ๆจะเคยตรวจไปแล้วก็เถอะ เพราะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีช่วงที่เชื้อจำศีลไม่แสดงอาการ ในทางกลับกันฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอาจยังมีเชื้อแฝงอยู่ในตัวก็ได้ เรื่องนี้สำคัญมากเพราะอาจมีผลต่อลูกที่เกิดมาก็ได้
นอกใจ ถ้า มีใครสักคนนอกใจละก็ ต้องตรวจหาเชื้อแน่นอนค่ะ ไม่สำคัญว่าแอบนอกใจนานแค่ไหน เพราะถ้าทำออรัลเซ็กส์ ผู้หญิงสามารถติดเชื้อคลามีเดียและโกโนเรีย แถมยังส่งต่อเชื้อแพร่สู่อีกคนด้วยวิธีเดียวกัน ถึงแม้มีเซ็กส์แบบปลอดภัยก็ต้องตรวจ เพราะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่าง คลามีเดียและโกโนเรียไม่ต้องสอดใส่ก็ติดกันได้ เช่นเดียวกับโรคเริมซึ่งแค่สัมผัสถูกแผลก็รับเชื้อมาเป็นของแถม การนอกใจก็เหมือนเปิดกล่องช็อคโกแล็ตเน่าหมดอายุ เราไม่มีทางรู้หรอกว่าจะเจออะไรในกล่อง แต่ที่แน่ๆมันไม่ใช่ของขวัญหรอกค่ะ
ร่างกายผิดปกติ ก็อย่างที่เอ่ยมาแล้วว่าโรค ติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถจำศีลแฝงตัวในร่างกายโดยไม่แสดงอาการออกมา ถ้าไม่มีอาการให้สังเกตเห็นตอนช่วงแรก พออาการมากำเริบภายหลังก็ทำให้เข้าใจผิดไปใหญ่โตได้ว่า เอ๊ะ...เขาแอบนอกใจไปยุ่งกับใครหรือเปล่า ตัวอย่างเช่น ถ้าน้องหนูเกิดมีตุ่มหรือเม็ดแปลกๆผุดขึ้นมาหลังจากรักกันมาได้ 5 เดือน ก็ควรไปตรวจร่างกายอีกครั้ง หรือถ้าน้ำอสุจิมีสีหรือกลิ่นแปลกพิกล ฝ่ายชายก็ไม่ควรหงุดหงิดถ้าเธอจะขอให้ไปหาหมอ ควรพูดจาขอร้องกันดีๆ ยกประเด็นความห่วงใยขึ้นมาบอกกล่าว อย่าเพิ่งโมเมเหมาเอาว่าอีกฝ่ายนอกใจ
อย่า นิ่งนอนใจคิดว่าคนของเราหรือตัวเราสะอาดปลอดเชื้อโรค พากันไปตรวจให้แน่ใจดีกว่าค่ะ ไม่มีใครรู้หรอกว่าคนรักเก่าฝากเชื้ออะไรไว้ในร่างกายของเราหรือเปล่า เชื้อนั้นอาจจำศีลอยู่เงียบๆเพราะความที่เป็นคนแข็งแรงสุขภาพดี แต่เมื่อใดที่ร่างกายอ่อนแอลงก็คงกำเริบขึ้นมา ที่ร้ายไปกว่านั้นอาจลามไปถึงลูกในท้องด้วย เพราะฉะนั้นกันไว้ดีกว่าแก้นะคะ.
ที่มา http://lifestyle.th.msn.com/love/romance/article.aspx?cp-documentid=3646473
|
|
Tags: |
|
|
|
|
การปฏิบัติตนในระยะหลังคลอด
ใครว่าคลอดแล้วเบาสบายหายเมื่อยและหมดภาระหนักที่ต้องอุ้มมาตั้งเก้าเดือนเสียที..จริง ๆ แล้วเพิ่ม จะเป็นการเริ่มต้นภาระใหม่ที่หนักกว่าอย่างมากเชียวละ แม้จะเป็นภาระแห่งความสุขก็ตามที ก็เจ้าตัวน้อยตาแป๋ว ที่หลุดพ้นจากท้องออกมาอยู่ในอ้อมแขนคุณแม่นี่แหละ เป็นผู้ที่จะอาศัยกำลังกายและใจอันสดชื่นแข็งแรงของคุณ ช่วยให้แกเจริญเติบโตต่อไปอย่างมีความสุข ช่วงหลังคลอด จึงเป็นระยะสำคัญที่จะมองข้ามไปไม่ได้เพราะคุณต้องมีการปรับตัวปรับใจ สร้างพลังที่พร้อม จะรับภาระใหม่อย่างรวดเร็ว มีหลายสิ่งที่คุณต้องปฏิบัติและทำความเข้าใจคุณ คุณอาจลืมนึกถึงบางอย่าง ทั้งที่เป็นสิ่งที่ลืมไม่ได้ สาระทั้งหมดของจุลสารได้จาก ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล จึงแน่ใจได้ว่าถูกต้องแน่นอนค่ะ การปฏิบัติตนในระยะหลังคลอด ความสำคัญของระยะหลังคลอด ระยะหลังคลอด เป็นระยะของการปรับตัวของมารดาทั้งด้านจิตใจและร่างกาย ทางจิตใจนั้นก็ต้องปรับ สภาพชีวิตให้เป็นทั้งมารดาของชีวิตใหม่และเป็นภรรยาที่ดีของสามี ในทางร่างกายนั้นธรรมชาติจะปรับสภาพของ อวัยวะต่างๆ ให้กลับสู่สภาวะปกติ ดังนั้นการปฏิบัติตนหลังคลอดที่ถูกต้องจึงจะทำให้สุขภาพของมารดามีความ สมบูรณ์ทั้งจิตใและร่างกายทั้งในระยะนี้และในอนาคตภายหน้าเมื่อสูงวัยขึ้น
การรักษาสุขภาพจิต ผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในการรักษาสุขภาพจิตของมารดาหลังคลอดก็คือ สามีซึ่งต้องเอาใจใส่ ให้กำลังใจ และแสดงอาทรต่อทุกข์สุขของมารดาหลังคลอด และคอยดูแลช่วยเหลือในการเลี้ยงบุตร ตลอดจนช่วยประกอบกิจ วัตรประจำวันจะทำให้มารดาคลายความว้าเหว่ คลายความเครียดและความกังวลในการปรับตนเองเพื่อ “ความเป็นมารดา” และ “ความเป็นภรรยา” ลงได้
อาหาร ควรได้อาหารจำพวกโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตมากกว่าระยะตั้งครรภ์ เพื่อความสมบูรณ์ในการเลี้ยงบุตร ด้วยนมมารดา ไม่ควรงดอาหารโดยเด็จขาด และไม่ควรดื่มสุรา เบียร์ หรือเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ เช่น ยาดองเหล้า
|
|
Tags: |
|
|
|
|
กิจวัตรประจำวัน ควรบริหารร่างกายบ้างเพื่อให้การปรี้กระเปร่าสดชื่นอยู่เสมอควรอาบน้ำสระผมไปตามปกติที่เคยปฏิบัติ ไม่ควรอยู่ในสภานที่อับ อากาศถ่ายเทไม่สะดวก ไม่ควรอยู่ไฟหรืออดของแสลง และไม่ต้องรับประทานยาขับน้ำคาวปลา โ่ดยเด็ดขาด
การดูแลน้ำคาวปลาและฝีเย็บ จะมีน้ำคาวปลาเป็นสีแดงในระยะแรกจะลดปริมาณลงเรื่อย ๆ และจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูและจางจงจน เป็นน้ำสีเหลือง ๆ ภายใน 2-3 สัปดาห์ ควรใช้ผ้าอนามัยที่สะอาดรองรับน้ำคาวปลา และควรเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อย ในระยะแรก ต่อไปก็เปลี่ยนตามปกติ ควรล้างแผลฝีเย็บด้วยน้ำอุ่นสะอาดแล้วซับให้แห้ง ถ้าปวดแผลมากและแผลบวมแดง กดเจ็บ ควรรีบไป พบแพทย์ เพราะอาจเกิดการอักเสบของแผลจากเชื้อโรค
การออกกำลังกาย เมื่อสามารถช่วยตนเองได้คล่องแล้ว ควรจะบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องด้วย เพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ลดไขมันที่สะสมอยู่หน้าท้องและเมื่อหายเจ็บแผลฝีเย็บ ควรจะบริหารกล้ามเนื้อช่องคลอดและฝีเย็บ การบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องทำโดยนอนราบไปกับพื้นแล้วค่อย ๆ ยกแขนทั้งสองข้าง ยกศีรษะและลำตัวลง พยายามจรดปลายนิ้วมือให้แตะกับปลายนิ้วเท้า บริหารครั้งละ 30-50 ครั้ง เป็นประจำทุกวัน โดยเริ่มตัน 10-20 ครั้ง ในระยะแรกแล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้น วิธีบริหารช่องคลอดและฝีเย็บก็ทำได้ด้วยการขมิบทวารหนักวันละหลาย ๆ ครั้ง ครั้งละประมาณ 50 ครั้ง การบริหารร่างกายนี้ควรจะกระทำอย่างสม่ำเสมอทุกวัน และต่อเนื่องตลอดไป แต่ต้องอาศัยกำลังใจอย่างมาก ซึ่งผู้ที่จะช่วยสนับสนุนการกระทำนี้ก็คือ สามี ก. นอนราบบนพื้น ข. ยกศรีษะและลำตัวส่วนบนขึ้นตรง แขนชูขนานกับลำตัว ค. ก้มศรีษะและลำตัวส่วนบนหาหน้าขา และเยียดแขนให้ปลายนิ้วมือแตะกับปลายนิ้วเท้า
การร่วมเพศ มารดาหลังคลอดทุกคนสามารถร่วมเพศได้ เมื่อน้ำคาวปลาหมดและไม่เจ็บแผลฝีเย็บ แต่ควรคุมกำเนิดทุกครั้ง เพราะไข่อาจจะตกและเกิดการปฏิสนธิได้โดยที่ยังไม่มีระดู วิธีคุมกำเนิดที่เหมาะสมในระยะนี้คือการใช้ถุงคุมกำเนิด
การตรวจหลังคลอด มารดาทุกคนควรได้รับการตรวจฟัน ตรวจร่างกายและตรวจภายใน (คือการตรวจช่องคลอด ปากมดลูก และรังไข่) เมื่อครบเวลา 6 สัปดาห์หลังคลอด ที่โรงพยาบาลหรือสถานบริการสาธารณสุข เพื่อตรวจสุขภาพของฟัน ร่างกาย ระบบอวัยวะสืบพันธุ์และรับการคุมกำเนิด
การตรวจภายในประจำปี มารดาทุกคนควรได้รับการตรวจภายในเป็นประจำทุกปี เพื่อค้นหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นโ่ดยไม่มีอาการ ปรากฎ ที่สำคัญคือมะเร็งของปากมดลูก และมะเร็งของรังไข่
การรักษาสุขภาพของทารก ควรนำทารกไปตรวจสุขภาพตามนัด และรับวัคซีนป้องกันโรคตามกำหนดทุกครั้ง ควรเลี้ยงดูบุตรด้วยนม มารดา และให้รับประทานอาหารเสริมตามคำแนะนำของแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อให้ทารกได้รับอาหารตาม ความจำเป็นอย่างครบถ้วน
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวหลังคลอดควรกินยาขับน้ำคาวปลาหรือไม่? น้ำคาวปลาเป็นเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูกที่สลายตัวออกมาหลังคลอดบุตร ฉะนั้นจึงไม่ต้องรับประทานยาขับน้ำ คาวปลาอย่างเด็ดขาด เพราะการที่มีน้ำคาวปลามากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของโพรงมดลูก ซึ่งแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ไม่ควรใช้ปริมาณน้ำคาวของผู้อื่นเป็นบรรทัดฐาน และยาขับน้ำคาวปลาทุกชนิดก็ไม่มีอานุภาพที่จะขับน้ำคาวปลา ได้ทั้งยังอาจจะทำให้เกิดอาการแพ้ยา เป็นอันตรายต่อมารดาได้
ควรอยู่ไฟหรือไม่? ไม่ควรอยู่ไฟอย่างเด็ดขาด เพราะนอกจากไม่มีประโยขน์อย่างใดต่อสุขภาพมารดาแล้ว การปฏิบัติ ประเพณีนี้อย่างเคร่งครัดอาจจะนำอันตรายมาสู่มารดาได้ และอาจมีผลเสียต่อสุขภาพเมื่อสูงวัยขึ้น
ควรงดของแสลงหรือไม่? ของที่แสลงควรงดเด็ดขาด ได้แก่ ยาที่แพทย์ไม่ได้สั่ง เหล้า เบียร์ เครื่องดื่มหรือยาที่มีแอลกอฮอล์ เช่น ยา ดองเหล้า ส่วนอาหารอื่น ๆ ควรรับประทานตามที่แนะนำ ไม่ควรรับประทานข้าวกับเกลือหรือปลาเค็มแต่อย่างเดียว
อาบน้ำสระผมได้หรือไม่? การอาบน้ำสระผมจะช่วยชำระคราบเหงื่อไคล และความสกปรกหมักหมมของร่างกายและศรีษะ และทำ ให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าฉะนั้นควรอาบน้ำสระผมไปตามปกติที่เคยปฏิบัติ
ร่วมเพศโดยที่ยังไม่มีระดูจะไม่ตั้งครรภ์? การร่วมเพศทุกครั้งควรคุมกำเนิดไว้เสมอ เพราะอาจจะมีไข่ตกได้ในระยะนี้ และตัวอสุจิจะเข้าไปผสม เกิด ปฏิสนธิตั้งครรภ์ขึ้นได้ โดยปกติแล้วระดูจะปรากฏหลังไข่ตกราว 2 สัปดาห์ ฉะนั้นการที่ยังไม่มีระดูก็อาจจะมีไข่ตก แล้ว เมื่อมีการร่วมเพศก็สามารถตั้งครรภ์ได้
|
|
Tags: |
|
|
|
|
เซ็กซ์.....หลังคลอด
ใครๆ ก็รู้ว่าช่วงระยะเวลาหลังการคลอดบุตรใหม่ๆ นั้นเป็นช่วงเวลาที่ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งเปลี่ยนไปจากกา รเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ กลายเป็นผู้หญิงที่มีภาระหน้าที่สำคัญอย่างยิ่งในชีวิตของ ความเป็นผู้หญิงก็คือ.....แม่ ฮอร์โมนโปรแลคตินที่หลั่งออกมาจากต่อม ใต้สมองเพื่อช่วยกร ะตุ้นเต้านมให้สร้างน้ำนมออกมาจากต่อมสร้างน้ำนมเพื่อที่จ ะให้ลูกได้ดื่มนั้น เป็นฮอร์โมนแห่งความรักแบบแม่ที่มีต่อลูก ไม่ใช่ความรักในรูปแบบที่หญิงสาวมีต่อชายหนุ่ม ฮอร์โมนโปรแลคตินที่ หลั่งออกมาหลังคลอดบุตรจึงอาจจะไปทำใ ห้มารดาหลังคลอดหมดความต้องการทางเพศไปชั่วคราว หรืออย่างน้อยก็ไม่ค่อยสนใจมากนักยกเว้นผู้หญิงที่ไม่ได้อ ยากมีลูกแต่ต้องฟลุ้คท้องขึ้นมาและไม่ได้ผูกพันกับลูกที่เ กิดมามากนักซึ่งก็มีเป็นส่วนน้อยผู้หญิงกลุ่มนี้อาจจะสนใจ ที่จะมีเพศสัมพันธ์ก็ได้ ...แต่ส่วนใหญ่แล้ว เซ็กซ์หลังคลอดไม่ได้เป็นสิ่งที่โหยหาของผู้หญิงแต่อย่างใ ด ต่าง จากชายหนุ่มคนนั้น คนที่เป็นพ่อของลูกน้อย แม้ว่าจะยินดีและอิ่มเอมที่ได้เป็นพ่อของลูกก็ตาม แต่ก็รอคอยว่าเมื่อไรจะสามารถทำเอง "รัก"กลับเข้าไปคืน "เรือน" ได้พูดง่ายๆก็คืออยากที่จะใช้ของรักของหวงของตนเองเข้าไปส ัมผัสรักให้ลึกซึ่งภายในส่วนสงวนของเธอเต็มที่แล้ว และเฝ้านับวันรอคอยว่าเมื่อไรที่เธอจะยอมเปิดโอกาสให้ได้ร ่วมรัก ผู้ชาย มักจะล้มไปเสมอๆ ว่าก่อนจะมีภรรยานั้นเขาเคยสุขสมด้วยตนเองแล้วมีความสาขอย ่างไร แต่ปรากฏว่าเมื่อได้พิสูจน์กับของจริงแล้วการมีความสุขสมก ับตนเองก็ตกกระป๋องไปอย่างน่าเสียดาย ที่จริงแล้วก็ไม่น่าจะต้องยึดมั่นคือมั่นขนาดนั้นเลยในกา รที่จะปลดปล่อยบางสิ่งบางอย่างที่อึดอัดและอยากจะปล่อยออก ไป เรื่องของเรื่องจึงเกิดปัญหาขึ้นจากความไม่สมดุลย์ในความ ปรารถพาที่จะมีความสุขจากบทพิศวาสของคนสองคนที่เป็น....พ่ อและแม่ แม่ นั้นอยากจะดูแลลูกและให้ความรักแก่ลูก เธอทุ่มเททุกอย่างทั้ง่างกายจิตใจอุทิศเวลาทั้งหมดเพื่อพย านรักที่มีชื่อว่า "ลูก" จนลืม.....ลูกชายคนโตที่รอคอยรักอยู่ พ่อผู้เป็นพ่อของลูก แม้ว่าจะรักลูกแต่ด้วยสัญชาติญาณแห่งความเป็นชายที่กระตุ้ นเตือนก็ทำให้เขาอยากจะทำรักกับผู้หญิงคนนั้นของเขา แล้วเราจะพบกันครึ่งทางได้อย่างไร..... คง ไม่กล้าที่จะให้คำตอบประเภทฟันธงลงไปเลยว่าควรจะต้องเป ็นแบบนั้นแบบนี้เพียงแต่จะขอให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเซ็กซ ์หลังคลอดเอาไว้ประกอบการพิจารณาว่าจะดำเนินการต่อไปอย่าง ไรดี ระยะ หลังคลอด 3-4 สัปดาห์แรกจะเป็นระยะที่ปากมดลูกยังเปิดขยายอยู่และมีน้ำค าวปลาไหลออกมา น้ำคาวปลานั้นส่วนหนึ่งจะมีเลือดปนอยู่ เมื่อเป็นดังนี้แล้วโอกาสที่แบคทีเรียที่เปื้อนปนจากภายนอ กจะเข้าไปเจริญเติบโตจึงมีมากเพราะเลือดเป็นอาหารที่ดีของ แบคทีเรีย เมื่อแบคทีเรียเจริญเติบโตอาจจะลุกลามผ่านปากมดลูกที่เปิด อยู่เข้าไปทำให้เกิดการอักเสบภายในโพรงมดลูกและอวัยวะภายใ นอุ้งเชิงกรานได้ ระยะนี้ถ้าหลีกเลี่ยงได้เพราะไม่จำเป็นก็ควรจะหลีกเลี่ยงก ารร่วมรักเอาไว้ก่อน แต่ถ้าเป็นการยินยอมพร้อมใจกันทั้งสองฝ่ายแล้วละก็การร่วม รักควรจะให้ฝ่ายชายสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเพื่อความสะอาด ปลอดภัย หรือถ้าจะสัมผัสรักประเภทเนื้อแนบเนื้อก็ควรที่จะจัดการอา บน้ำชะล้างทำความสะอาดเจ้าน้องชายตัวดีให้เรียบร้อยเสียก่ อนค่อยปฏิบัติการ ถ้า ยังให้นมบุตรอยู่ จะยังไม่มีการตกไข่เป็นส่วนใหญ่ทำให้ปริมาณฮอร์โมนเพศหญิง ที่เรียกว่า เอสโตรเจน ยังไม่มาก ผลก็คือผนังของช่องคลอดจะยังบางและแห้ง รวมทั้งผลิตน้ำหล่อลื่นได้น้อยแม้ว่าจะมีอารมณ์ การร่วมรักในระยะหลังคลอดจึงควรใช้เจลหล่อลื่นสูตรน้ำช่วย ทำให้เกิดการหล่อลื่นของช่องทางรักจะได้ทำให้การร่วมรักเป ็นไปโดยราบรื่น สะดวกและไม่เจ็บปวด มารดาที่คลอดบุตรทางช่องคลอด โดยมีการตัดฝีเย็บเพื่อช่วยให้คลอดบุตรได้ง่ายนั้นในการร่ วมรักครั้งแรกๆ อาจเกิดการการเจ็บปวดได้เวลาเกิดการเสียดสีกับส่วนนั้นของ เขา วิธีการแก้ไขทำได้โดยการเปลี่ยนท่วงท่าลีลารักด้วยการร่วม รักกันในท่วงท่าที่ผู้หญิงนอนคว่ำโก้งโค้งหรือไม่ก็นอนตะแ คงหันหน้าไปทางเดียวกันโดยฝ่ายหญิงอยู่ด้านหน้า ด้วยท่วงท่าดังกล่าวข้างต้นจะทำให้ไม่ค่อยเสียดสีกับบริเว ณฝีเย็บเป็นการลดความเจ็บปวดลง แต่หลังจากคลอดผ่านไปแล้ว 6 สัปดาห์การเจ็บฝีเย็บก็จะดีขึ้นและหายไปเองตามธรรมชาติ เพื่อเป็นการ ป้องกันการตั้งครรภ์หลังจากคลอดลูกใหม่ๆ ก่อนที่จะไปตรวจหลังคลอด 6 สัปดาห์ ถ้าจะร่วมรักกันควรให้ฝ่ายชายสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งและเ มื่อไปตรวจหลังคลอดเรียบร้อย เลือกวิธีการคุมกำเนิดแล้วก็ต้องจำไว้เสมอๆ ว่า ยาเม็ดคุมกำเนิด ต้องรับประทานไปอย่างน้อย 14 วัน ในแผงแรกฤทธิ์คุมกำเนิดจึงจะทำงาน ก่อนหน้านั้นควรจะใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบอื่นไปก่อนเช่นกา รหลั่งภายนอกหรือให้ฝ่ายชายสวมถุงยางอนามัย ยาฉีดคุมกำเนิด เข็มแรกที่ฉีดก้ควรจะป้องกันการตั้งครรภ์โดยวิธีอื่นไปก่อ นครึ่งเดือน สำหรับเข็มต่อๆไปจะมีประสิทธิภายในการคุมกำเนิดต่อเนื่องก ันไปเลย ยาฝังคุมกำเนิดปัจจุบันเป็นชนิดฝัง 1 แท่ง คุมกำเนิดได้ 3 ปีและต้องคุมกำเนิดวิธีอื่นไปก่อนครึ่งเดือนเช่นกันในการฝ ังครั้งแรก ห่วงอนามัยเมื่อใส่เสร็จแล้วมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิด ทันทีไม่ต้องรอเวลา การ ทำหมันหญิงก็มีฤทธิ์ในการคุมกำเนิดทันทีอย่างถาวรเช่น กันส่วนการทำหมันชายนั้นจะยังไม่เป็นหมันทันทีต้องเรอให้ต ัวอสุจิที่เก็บอยู่ในต่อมเก็บได้หลั่งออกไปจนหมดก่อน
แหล่งที่มา : น.พ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
20 ข้อ เกี่ยวกับช่องคลอด ที่ผู้หญิงควรรู้
[1] FemaleOrgan.gif MonsPabis.gif
1. ทารกสร้างช่องคลอดขึ้นสี่เดือนก่อนคลอด ทารกในครรภ์ทุกคนมีเนื้อเยื่ออวัยวะเพศ ซึ่งจะพัฒนาเป็นอวัยวะเพศหญิงหรือเพศชาย เมื่ออายุได้ 10 สัปดาห์ หากดีเอ็นเอ ระบุว่าเป็นทารกเพศชาย ร่างกายจะเริ่มสร้างองคชาตและลูกอัณฑะขึ้น แต่หากเป็นทารกเพศหญิง ช่องคลอดก็จะเริ่มต้นเป็นรูปเป็นร่าง 2. เยื่อพรหมจารีอาจไม่มีทุกคน หากขณะมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกไม่มีเลือดออก เป็นไปได้ว่าเยื่อพรหมจารีของอาจขาดขณะเล่นกีฬา หรือขณะสอดใส่แทมพอน (ผ้าอนามัยชนิด สอด) หรืออาจเกิดมาโดยไม่มีเยื่อพรหมจารีก็เป็นได้ และที่แปลกยิ่งกว่านี้ ก็คือ ผู้หญิงบางคนอาจมีเยื่อพรหมจารีหนามากเสียจนกระทั่งต้องผ่าตัดเอาออก จึงจะสามารถมีเพศสัมพันธ์หรือสอดแทมพอนได้ 3. เด็กผู้หญิงที่เกิดมาทุก 4,000-5,000 คน จะมี 1 คน ไม่มีช่องคลอดหรือเล็กผิดปกติ ซึ่งมักไม่มีมดลูกด้วย แต่สามารถผ่าตัดสร้างช่องคลอดได้ หลังจากผ่าตัดสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้เหมือนกับผู้หญิงปกติ 4. สองด้านของอวัยวะเพศอาจไม่เท่ากัน ข้างหนึ่งอาจใหญ่กว่าอีกข้าง เช่นเดียวกับเต้านม ถือเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง ขนาดและรูปทรงของอวัยวะไม่มีผลต่อสุขภาพใดๆ 5. ประจำเดือนไม่ได้ออกมากอย่างที่คิด บางคนเข้าใจว่าขณะมีประจำเดือนจะเสียเลือดเป็นลิตร แต่ที่จริงแล้วช่วงมีประจำเดือนแต่ละครั้งเสียเลือดเพียงประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ เท่านั้น 6. บริเวณช่องคลอดมีแบคทีเรียเป็น จำนวนมาก ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่มีประโยชน์ ประมาณ 15 ชนิด ช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายติดเชื้อ ทำให้ช่องคลอดมีสภาวะเป็นกรด ส่งผลให้แบคทีเรียที่เป็นอันตรายไม่สามารถเจริญเติบโตได้ 7. ในช่วงไข่ตก ระดับฮอร์โมนใน ร่างกายจะเพิ่มสูงขึ้น เป็นเหตุให้สารคัดหลั่งจากช่องคลอดมีปริมาณมากขึ้น อาจมากถึงวันละ 1-2 ช้อนชา สารคัดหลั่งจากช่องคลอดนี้เริ่มจากบริเวณคอมดลูก เคลื่อนลงมาตามช่องคลอด และกวาดเซลล์ที่ตายแล้วออกมาด้วย ซึ่งเป็นวิธีที่ช่องคลอดทำความสะอาดตัวเอง ช่วงที่เหลือของเดือนที่ไม่ใช่ช่วงไข่ตก สารคัดหลั่งจากช่องคลอดจะลดลง เหลือเพียงวันละประมาณครึ่งช้อนชาเท่านั้น 8. บางคนอาจมีน้ำหล่อลื่นมาก แต่บางคนมีน้อย เวลาที่มีอารมณ์ทางเพศ ผนังช่องคลอดจะรู้สึกร้อนและมีน้ำหล่อลื่นไหลออกมา ผู้หญิงบางคนจะมีน้ำหล่อลื่นมากจนถึงกับเปียกแฉะ แต่บางคนก็เพียงรู้สึกชื้นๆเท่านั้น 9. ช่องคลอดจำเป็นต้องได้รับอากาศบริสุทธิ์เหมือนกับส่วนอื่นของร่างกาย หากนุ่งกางเกงยีนส์ที่คับเกินไปหรือชุดชั้นในที่ทำจากใยสังเคราะห์ อากาศจะถ่ายเทไม่ได้ เหงื่อไคลตลอดจนสารคัดหลั่งต่างๆ ที่อบอยู่ ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย 10. หากผิวหนังแห้ง หรือมีเหงื่อออก หรือสวมใส่เสื้อผ้าคับเกินไป อาจทำให้เกิดอาการคันได้ อย่างไรก็ตาม หากอาการคันรุนแรงและนานเกินกว่าหนึ่งวัน หรือคันภายในช่องคลอด เป็นไปได้ว่าอาจสาเหตุอื่น เช่น ติดเชื้อราหรือโรคทางเพศสัมพันธ์ 11. ช่วงหนึ่งนิ้วแรก เป็นช่วงที่มีความรู้สึกได้ไวที่สุด แม้ว่าช่วงสองนิ้วที่อยู่ลึกเข้าไปจะรับความรู้สึกได้เข้มข้นที่สุด แต่บริเวณช่วงหนึ่งนิ้วแรกที่อยู่ตอนปลายของช่องคลอด เป็นความรู้สึกพึงพอใจดีที่สุด เพราะบริเวณนี้คือจุดรวมของปลายประสาท 12. เป็นท่อ เป็นกล้ามเนื้อ และมีความชุ่มชื้น เริ่มต้นจากบริเวณแคมเล็กยื่นเข้าในอุ้งเชิงกรานประมาณสามนิ้ว ปลายด้านในต่อกับปากมดลูก ส่วน ปุ่มกระสัน อยู่ตอนบนของแคม และส่วนที่ลึกเข้าไปในช่องคลอดประมาณหนึ่งนิ้วเป็นจุดที่เรียกว่า จี-สปอต 13. ศัลยกรรมตกแต่งอาจ ปรับแต่งด้วยมีดผ่าตัดหรือเลเซอร์ ให้ขนาดของช่องคลอดเล็กลง กระชับขึ้น หรือตกแต่งขนาดรูปร่างให้ดูสมดุลขึ้นได้ ด้วยศัลยกรรมประเภท Labiaplasty ด้วยเหตุที่ศัลยกรรมลักษณะนี้เน้นไปทางเสริมสวยภายนอก สูตินรีแพทย์จึงไม่แนะนำ
ส่วนศัลยกรรมอีกประเภทคือ Vaginoplasty ใช้ช่วยตกแต่งช่องคลอดที่หลวม เพราะคลอดบุตรหลายคนให้แคบและกระชับขึ้น สูตินรีแพทย์กล่าวว่า ประเภทหลังเหมาะสำหรับแม่ที่ช่องคลอดหลวมมาก อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
|
|
Tags: |
|
|
|
|
1. ขนบริเวณอวัยวะเพศมี ประโยชน์ ไม่ควรโกนหากไม่จำเป็น เพราะมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้เกิดการเสียดสีขณะมีเพศสัมพันธ์ และช่วยกรองฝุ่นละอองไม่ให้เข้าถึงอวัยวะเพศได้ง่าย 2. ควรตรวจสภาพทุกสามเดือน โดยแหวกอวัยวะ ใช้กระจกส่อง ตรวจดูว่ามีส่วนใดที่โตขึ้นผิดปกติ เจ็บผิดปกติ หรือมีสีผิดปกติบ้างหรือไม่ แนวโน้มคือมักไม่พบอะไรที่ผิดปกติรุนแรง สิ่งที่พบอาจคล้ายสิวหรือผื่นหลังโกนขน หากพบอะไรน่าสงสัยให้รีบไปพบสูตินรีแพทย์ทันที 3. การคลอด ทำให้ช่องคลอดขยายใหญ่ได้ถึง 5 เท่า ปกติแล้วช่องคลอดมีเส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่าหนึ่งนิ้ว แต่เมื่อคลอดลูก สามารถยืดออกได้ใหญ่กว่าเดิมอาจถึง 4-5 นิ้ว เพื่อให้ใหญ่พอที่เด็กจะคลอดออกมาได้ แต่หลังคลอดประมาณ 6 สัปดาห์ ช่องคลอดจะหดตัวกลับใกล้เคียงเดิม 4. หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีกลิ่นหอม เช่น สบู่หรือผงซักฟอก อาจทำให้ผิวเนื้อบริเวณช่องคลอดที่สัมผัสเข้ากับสารเคมี ระคายเคืองและเกิดอาการคันได้ ฉะนั้นควรทำความสะอาดบริเวณปากช่องคลอดโดยใช้น้ำเปล่า ไม่ใช้สบู่ และแพทย์ไม่แนะนำให้ทำความสะอาดลึกเข้าเกินไป นอกจากนี้ควรเลือกใช้แต่กระดาษชำระไม่ยุ่ยที่สีขาว ตลอดจนแทมพอนและผงซักฟอกที่ซักกางเกงในที่ไม่มีกลิ่นหอมอีกด้วย 5. การฝึกขมิบกล้ามเนื้อบริเวณช่องคลอด ซึ่งเรียกว่า เคเกล เอ็กเซอไซส์ (Kegel Exercise) ช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นแข็งแรง ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อเดียวกับที่ใช้กลั้นปัสสาวะและช่วยให้ถึงจุดสุดยอด หากฝึกขมิบกล้ามเนื้อสม่ำเสมอเพียง 2-3 เดือน ช่องคลอดจะกระชับขึ้นจนรู้สึกได้ และสามารถมีความสุขจากเพศสมพันธ์เพิ่มขึ้น โดยขมิบเหมือนกลั้นปัสสาวะแล้วปล่อย ทำสลับกัน ตลอดช่วงวันระหว่างทำกิจกรรมอื่น ทำเป็นช่วงๆ ให้ได้รวมกันประมาณวันละ 200-1,000 ครั้ง 6. การมีกลิ่นเป็นเรื่องปกติ ช่องคลอดที่มีสุขภาพปกติจะมีกลิ่นเล็กน้อย กลิ่นแบบไหนขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อาหารที่รับประทาน เช่น กระเทียม หน่อไม้ฝรั่ง ฯลฯ, สารเคมีในร่างกายแต่ละคน, จังหวะของรอบประจำเดือน, การมีเหงื่อออกมาก, น้ำอสุจิที่ตกค้างเมื่อผสมกับสารคัดหลั่งจากร่างกาย ก็อาจทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงปรารถนาได้ 7. ผู้หญิงทุกคนต้องคำนึงอยู่เสมอว่า การมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องปกติ หากถึงวัยเหมาะสมและมีความพร้อม แต่ไม่ใช่เรื่องปกติหากยังไม่พร้อม โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ซึ่งต้องรักตัวเองให้มากๆ ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร เพราะหากพลาดไปแล้วจะเกิดปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย ทั้งท้องก่อนแต่ง, ท้องเมื่อไม่พร้อม, ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์, เด็กที่ไม่ได้รับการเลี้ยงดูที่ดีจะก่อปัญหาสังคม ปัญหาดังกล่าวอาจนำไปสู่ปัญหาอาชญากรรม ที่สำคัญคือทำให้ตัวเองและคนที่รักที่สุดอย่างพ่อแม่ญาติพี่น้องต้องเสียใจ สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้
[แก้] วิธีการเพิ่มปริมาณน้ำหล่อลื่น
เป็นประโยชน์มากในหญิงวัยหมดประจำเดือน ช่องคลอดที่ชุ่มชื้นตามธรรมชาติ ช่วยฆ่าเชื้อตามธรรมชาติ ช่วยป้องกันการระคายเคืองและอักเสบง่าย ส่วนสาววัยงามจะใช้เทคนิคนี้ตามความเหมาะสมด้วยก็ได้
1. กระตุ้นให้ต่อมต่างๆ ทำงานหลั่งน้ำหล่อลื่นเป็นระยะๆ ถ้าไม่มีกิจกรรมทางเพศกับคนรัก สามารถกระตุ้นการหลั่งน้ำหล่อลื่นได้โดยกระตุ้นจุดรวมประสาท เช่น การคลึงบริเวณคลิตอริส หรือกดนวดบริเวณ "จี-สปอต" ซึ่งอยู่ในบริเวณผนังช่องคลอดด้านบนใต้กระเพาะปัสสาวะ ลึกเข้าไปประมาณ 1 นิ้วครึ่ง (2 ข้อนิ้ว) 2. ทาผนังช่องคลอดด้วยฮอร์โมนเพศ เอสโตรเจน ซึ่งอาจอยู่ในรูปของครีมหรือเจล แต่ควรปรึกษาสูตินรีแพทย์ประจำตัวเสียก่อน เพื่อปรับขนาดให้เหมาะสมไม่เป็นอันตราย วิธีนี้เหมาะสมกับผู้หญิงที่ขาดฮอร์โมนเพศหญิง ด้วยสาเหตุบางประการ รวมถึงผู้หญิงวัยทอง แต่ในหญิงสาวปกติวิธีนี้ไม่ได้ผล 3. เสริมหรือทดแทนฮอร์โมนเพศหญิงที่ขาดหายไป วิธีนี้จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์เท่านั้น ห้ามซื้อมาใช้เองเด็ดขาด อาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์ และเป็นอันตราย ฮอร์โมนทดแทนฮอร์โมนเพศหญิง มีหลายชนิด ต้องให้แพทย์แนะนำเป็นรายกรณีไป 4. ใช้น้ำหล่อลื่นเทียม ส่วนใหญ่น้ำหล่อลื่นที่ดีและนิยมกัน มักเป็นสารสกัดมาจากธรรมชาติ เช่น ลูกพีช ลูกกีวี เป็นต้น หรือบางชนิดเป็นการสังเคราะห์เลียนแบบธรรมชาติก็ใช้ได้ ซึ่งแนะนำชนิดที่ส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นน้ำ (water base) ไม่แนะนำชนิดที่ส่วนผสมเป็นไขมันเพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ และชนิดที่หาซื้อง่ายใช้สะดวกแนะนำชนิดเจลหล่อลื่นสูตรน้ำ ซื้อได้ตามร้านยา,ร้านสะดวกซื้อหรือซูเปอร์มาร์เก็ต 5. ออรัลเซ็กซ์ การทำรักด้วยปากนั้น ถ้าฝ่ายหญิงชอบและฝ่ายชายไม่รังเกียจ เป็นวิธีการเพิ่มปริมาณน้ำหล่อลื่นได้ดีวิธีหนึ่ง แต่ต้องระวังรักษาความสะอาดของปากและอวัยวะเพศก่อนมีกิจกรรมทุกครั้ง
|
|
Tags: |
|
|
|
|
ขอบคุณค่ะ ข้อมูลแน่นปึก บางอย่างก็ไม่เคยรู้มาก่อน จะนำไปใช้บ้างค่ะ
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
ขิม
|
รบกวนขอถามหน่อย ว่ากรณีเราทำงานตากแดดทุกวัน(ตรวจเช็คงาน)เราสามารถจะเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง มากน้อยแค่ไหน 1 วันทำงาน 8 ชั่วโมง ตากแดดประมาณ5-6 ชั่วโมง และทุกวัน ใครสามารถให้คำตอบช่วยตอบที่ค่ะ ขอสูตรรักษาผิวจากการตากให้หน่อย จะขอขอบคุณล่วงหน้าเลยผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งอยากขาวนะคะ ช่วยหน่อยค่ะปกติเป็นคนขาวค่ะ แต่ตอนนี้ดำแบบไหม้แล้ว ไม่ว่ายาสมุนไพร หรือครีมกันแดด SPF 55ก็ไม่อยู่แล้ว ช่วยหน่อย จากวิศวกรคนหนี่ง
|
|
Tags: |
|
|
|
|
รบกวนขอถามหน่อย ว่ากรณีเราทำ งานตากแดดทุกวัน(ตรวจเช็คงาน)เราสามารถจะเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง มากน้อยแค่ไหน 1 วันทำงาน 8 ชั่วโมง ตากแดดประมาณ5-6 ชั่วโมง และทุกวัน  ใครสามารถให้คำตอบช่วยตอบที่ค่ะ ขอสูตรรักษาผิวจากการตากให้หน่อย จะขอขอบคุณล่วงหน้าเลยผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งอยากขาวนะคะ ช่วยหน่อยค่ะปกติเป็นคนขาวค่ะ แต่ตอนนี้ดำแบบไหม้แล้ว ไม่ว่ายาสมุนไพร หรือครีมกันแดด SPF 55ก็ไม่อยู่แล้ว ช่วยหน่อย จากวิศวกรคนหนี่ง ทาครีมกันแดด เช้าเเละเย็น ใส่เสื้อเเขนยาวเเละ พกร่ม เอาไว้กางกันเเดด วิธีอื่นๆไม่มีคะ จนปัญญาคะ 
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
แล้วกรณีแพ้ผ้าอนามัยล่ะคะ เคยมีใครแพ้บ้าง อาการเหมือนเป็นเชื้อราเลยค่ะ คันยิบ ๆ
|
|
Tags: |
|
|
|
|
ป้า Mortally มักเอาข้อมูลดีๆๆ มาฝากเสมอเลยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างเลยค่ะ 
|
|
Tags: |
|
|
|
|
แล้วกรณีแพ้ผ้าอนามัยล่ะคะ เคยมีใครแพ้บ้าง อาการเหมือนเป็นเชื้อราเลยค่ะ คันยิบ ๆ
ก่อนอื่นคุณต้องคอยสังเกตุว่าอาการคันภายในช่องคลอดเป็นเเค่ช่วงตอนที่มีประจำเดือน เท่านั้นใช่ใหม ถ้าใช่ ก็เกิดจาก .ความอับเชื่น เเก้ไขโดยเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ อย่าใส่กางเกงรัดรูป ทางที่ดีช่วงนี้ใส่กระโปรง จะได้มีลมถ่ายเท สดวก(เเต่ตอนนี้หาหมอก่อนดีกว่าคะ) ถ้า อาการคัน เป็นตลอดเวลา ก็สมควรไปหาหมอคะอาจเป็น ติดเชื้อรา ชึ่ง จะนำไปสู่ ปากมดลูกอักเสพต่อไปถึงมดลูกอักเสพได้ หรือ ติดเชื้อในท่อปัสสาวะ อันนี้ก็มีอาการคัน รวมถึงมีอาการฉี่กระปริดกระปรอยได้ ชึ่ง จะนำไปสู่ กรวยไตอักเสพได้ ไปหาหมอดีกว่าคะ ถ้าอาการทั้งหมดเป็นๆหายๆ ก็ต้องไปหาหมอเหมือนกันคะ อย่าทิ้งเอาไว้จะเรื้อรัง รักษาลำบาก เเละสิ่งที่พี่เเนะนำผู้หญิงด้วยกันมาตลอดเลยคืออย่าอายหมอคะ
|
|
Tags: |
|
|
|
|
ป้า Mortally มักเอาข้อมูลดีๆๆ มาฝากเสมอเลยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างเลยค่ะ  ขอบคุณ คะ  เเละรู้สึกยินดีที่ทุกคนชอบ 
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|
|
|
Tags: |
|
|
|
|