|
|
|
|
ข้าวไข่เจียว
|
น้ำเต้าหู้ก๊าบบบบ...น้ำเต้าหู้ยูเอชที
ซาวัดดียามเช้าวันอังคารก๊าบบบบบ 
|
|
|
|
|
|
|
|
|
สวัสดียามเช้าครับ เพื่อนๆที่น่ารักทุกคน รวมถึงคนอ่านด้วยครับ... ขอให้ทุกคน มีเช้าที่สดใสนะครับ เรื่องไม่ดี ก็ปล่อยให้มัน ผ่านไปกับวันวานนะครับ...
|
|
|
|
|
|
ไข่เจียว
|
|
|
|
|
|
|
ผู้ชายคนหนึ่ง
|
สวัสดีครับ คุณมีน ผม มิค พ่อลูกหนึ่ง ยินดีที่ได้รู้จักครับ ว่างๆก็เชิญ คุณมีน แวะเข้ามาทักทายได้ครับ ชีวิตคนเราก็เหมือนละครนั้นแหละครับ จะต่างกันก็ตรงที่ละคร มันมีจุดจบแล้วครับ แต่ชีวิตคนเรายังไม่รู้ ครับ ว่าจุดจบของเราจะเป็นแบบไหนครับ
พ่อลูกหนึ่ง 
อาจจะมีบางคน เคยคิดว่า ชีวิตไม่ใช่ละครหรอก มัก จะเถียงว่า...ละครต้องมีบทของแต่ละคน คนเขียนบทสามารถกำหนดลีลาของผู้แสดงได้ตามใจเขา จะให้เป็นอย่างไรก็ได้ จะแก้ไขบทตอนไหนก็ยังได้ แต่ชีวิตไม่มีใครเขียนบท ไม่มีใครกำหนดลีลาบทบาทของใครได้ แต่..พออายุมากขึ้น...ศึกษามากขึ้น จึงคิดว่า เออหนอ...ชีวิตก็คือละครจริงๆนั่นแหละ คนเขียนบทก็คือกรรม ทั้งกุศลกรรม และ อกุศลกรรม (ผลของการทำความดีและความไม่ดีของเรา) ในอดีต ที่จะกำหนดลีลาบทบาทของแต่ละคนให้แตกต่างกันไป มีความหวัง - ผิดหวัง ทุกข์ - สุข รวย - จน ฯลฯ แล้วแต่ผลของกรรมของแต่ละคนที่ทำมา และสุดท้ายละครชีวิตในชาตินี้ ก็จบลงที่ความตาย  ของแต่ละคน  ต่อจากนั้นละครก็จะเปิดฉากใหม่ เป็นชีวิตหลังความตาย ซึ่งก็มีกรรมเป็นตัวเขียนบทและกำหนดบทบาทของแต่ละคนอีกนั่นแหละ จะขึ้นสวรรค์ ลงนรก เป็นเทวดา หรือ พรหม เป็นเปรต อสูรกาย หรือ สัตว์ ก็แล้วแต่กรรมของคนที่ทำไว้ในอดีต พอคิดได้อย่างนี้ ก็ไม่อยากจริงจังมากนักกับบทบาทที่ถูกกำหนดให้เล่น หรือเป็นอยู่ในตอนมีชีวิตอยู่ขณะนี้นัก
แต่ จะคอยมีสติเตือนตัวเองอยู่ว่า ให้เล่นบทบาทให้ดีที่สุดในตอนนั้น และหาทางเล่นนอกบท โดยหาโอกาสทำความดีให้มากที่สุดด้วย (การทำกรรมดี) ส่วนผลลัพธ์และลีลาของการแสดงในชีวิตช่วงนี้ จะออกมาอย่างไรก็ไม่สนใจมากนัก จะทุกข์ - สุข รวย - จน ฯลฯ เดี๋ยวก็จบไปแล้ว ไม่อยากยึดถือหรือคิดซ้ำๆ เพราะรู้ว่าเดี๋ยวก็จบแล้ว ทุกอย่างอยู่ไม่นานหรอก ทั้งทุกข์และสุข แต่การทำหน้าที่ของชีวิตให้ดี และหาทางทำความดีให้มากที่สุด จะเป็นผลรวมของการกำหนดลีลาชีวิตในอนาคตต่างหาก ถ้าใครคิดได้อย่างนี้ ก็ไม่ทุกข์นักในชาตินี้ เพราะไม่ยึดมั่นทั้งทุกข์ - สุข มี - ไม่มี ฯลฯ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร หรือเคยคิดว่าทุกข์มากแค่ไหน แต่ จะมีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ โดยยอมรับสภาพความเป็นจริงของชีวิตตัวเองได้ และทำความดีให้มากขึ้น เพื่อผลกรรมที่ดีจะทำให้ชีวิตในอนาคตที่เหลืออยู่ จากบัดนี้และชีวิตหลังความตายไปแล้ว ดีขึ้นต่างหาก นี่แหละ...ชีวิต คือ ละคร ที่เราไม่ควรไปจริงจังกับบทบาทในขณะนี้นัก แต่ ต้องหาทางให้คนเขียนบทใหม่ในอนาคต เขียนให้ชีวิตเราดีขึ้น ด้วยการทำความดีให้มากขึ้นนั่นเอง ไม่ใช่มัวแต่สะสมความรวย ความเก่ง ความดัง อย่างที่เราชอบสะสมกัน
เพราะคนเขียนบทเขาชอบความดี...ครับ
|
|
|
|
|
|
ผู้ชายคนหนึ่ง
|
สวัสดียามค่ำครับ ไข่เจียว เรื่องเข้าวัดฟังธรรม ก็อยากไปอยู่ครับ แต่ติดอยู่หลายเรื่อง เหลือเกินเลยครับ คงเป็นบ่วงกรรมด้วยครับ ช่วงนี้ขยับตัวไม่ได้เลยครับ ไข่เจียว ภาระที่ผมต้องแบกไว้ ยังมีอีกเยอะครับ บางครั้งก็อยากสลัดมันทิ้งไปบ้าง แต่ก็ทำไม่ลงเสียทีครับ จะว่าไปแล้วตั้งแต่ มาเล่นที่บอร์ดนี้ ก็ปล่อยว่างไปได้หลายอย่างแล้วครับ แต่จะ ทิ้งทั้งหมดเลยก็ยังทำไม่ได้ครับ ตอนนี้ก็ได้แต่ทำใจไปก่อนครับ ไข่เจียว
พ่อลูกหนึ่ง  คำว่า “ชีวิตคือละคร” เป็นคำที่สะท้อนชีวิตได้ดีเหลือเกิน แต่จะมีสักกี่คนกันที่สามารถ “เข้าถึง” ความหมายที่ว่านี้ และเห็นว่าละครนี้แท้ที่จริงแล้วก็ไม่ได้ต่างอะไรจากการฝัน เป็นการฝันที่ต่อเนื่องยาวนาน ทั้งกลางวันและกลางคืน ทั้งในตอนตื่นและตอนหลับ พวกเราล้วนขยับตัวอยู่ในนั้น ช่างเป็นฝันอันบรรเจิดชวนให้หลงใหลเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจ จนออกมาเป็นละคร “ฟอร์มใหญ่” อันสุดแสนอลังการ นี่คือผล งานอันยิ่งใหญ่ที่คนทั้งหลายได้ร่วมกันสร้างสรรค์ เป็นผลงานที่มี “ผู้หวังดี” เข้ามาทำหน้าที่กำกับการแสดง บางฉากที่ทำท่าว่าจะออก “มาแรง” ก็มักจะถูกปรับแก้ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามกระแส และเป็นไปตามใจของผู้ชม โดยที่ไม่มีใครสนใจใยดีว่าผู้แสดงจะคิดหรือรู้สึกอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้น? หากอยู่มาวันหนึ่งผู้แสดงต่างก็ “ถอดใจ” ไม่ยอมสวมบทบาท ไม่สามารถแสดงละครเรื่องนี้ต่อไปได้ ต่างพร้อมกันตะโกนออกมาว่า “พอกันทีๆ” กับละครเรื่องนี้ ได้เวลาปิดฉากกลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงกันซะที แต่ “เดี๋ยว . . . ช้าก่อน อย่าเพิ่งด่วนใจร้อน รีบลงมาจากเวที” นั่นเป็นเสียงที่มาจากผู้ชม และผู้ที่ทำหน้าที่กำกับการแสดง พวกเขายอมรับอย่างตรงๆ ว่า “ยังไม่พร้อมที่จะรับมือกับชีวิตจริง” ต้องการจะประวิงเวลาเอาไว้ เพื่อจะได้อยู่กับความฝันนี้ไปนานๆ ให้ได้อยู่กับฝันนานเท่าที่จะทำได้ นั่นคือคำร้องขอของพวกเขา เขาพูดว่า “พวกเรายังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง” จงแสดงต่อไปเถิด เพราะละครเรื่องนี้ไม่ได้เขียนบทตอนจบไว้ จะเขียนตอนจบไว้ได้อย่างไร ในเมื่อมันคือ “ละครชีวิต” ของเรา.
|
|
|
|
|
|
|
|
ผู้ชายคนหนึ่ง
|
ชีวิต คือ ละครฉากหนึ่ง จะมีคุณค่าหรือไม่ เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความดี มิใช่ความยาวของเนื้อหา.... ในชีวิตของคนเรานั้น มีเรื่องที่ไม่สมหวังมากมาย จึงไม่ควรทำลายขวัญและกำลังใจของตนเอง เพราะอุปสรรคชั่วคราว.... คิดให้ปลงตกให้ได้ ชีวิตจึงจะมีความสุข
..เพราะชีวิตทุกชีวิต..มีที่มาแตกต่างกัน.. มุมมอง และความคิด..จึงแตกต่างกัน.. หากความดี และความชั่วเรารู้แก่ตัวเราแล้วไฉน....สังคมจะเป็นเช่นไร..หากเราเริ่มต้นที่ตัวเราให้ได้ก่อน..จุดเริ่มต้นเล็กๆด้วยดีจากตัวเรา..สู่สังคมย่อยๆที่ดี และอาจเจริญเติบโตด้วยรากฐานที่ดีจากตัวเรา..หากตัวเรารู้ตัวเราดีอยู่แล้ว..ก็ไม่ต้องแคร์ใดๆกับสังคมเลย..อย่าโทษที่ว่าตัวเราถูกสังคมกลืน..เราเองต่างหากที่ยอมให้ถูกกลืน..
แต่สิ่งสำคัญในชีวิตของละครก็คือการสู้และอดทนกับบทบาทของเรา เล่นให้จบ 
ผมเป็นคนหนึ่งที่พยายามจะออกมาเป็นผู้ดู แต่บางครั้งก็เผลอเข้าไปเป็นผู้แสดงทุกที
อย่างที่ว่าแหละครับ โลกนี้เป็นละครโรงใหญ่ เราหลงเป็นตัวละครโดยไม่เคยรู้ตัว แล้วก็หลงเปลี่ยนบทบาท เปลี่ยนตัวละครไปเรื่อยไม่รู้จบ
เมื่อไหร่ที่เราออกมาเป็นผู้ดู(โดยไม่อินไปกับตัวละคร)ได้นั่นแหละ ละครเรื่องนี้จึงจะได้จบลง

|
|
|
|
|
|
ป้าแช่ม
|
|
|
|
|
|
|
I
|
|
|
|
|
|
|
ไข่เจียว
|
|
|
|
|
|
|
ไข่เจียว
|
|
|
|
|
|
|
ข้าวไข่เจียว
|
น้ำเต้าหู้ก๊าบบบบ...น้ำเต้าหู้ยูเอชที
ซาวัดดียามเช้าวันพุธก๊าบบบบบบ 
|
|
|
|
|
|
|
ไข่เจียว
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ป้าแช่ม
|
|
|
|
|
|
|
|
|
เจอพี่มหาทีไรไม่เคยผิดหวัง..ได้ข้อคิดดีดี..สำหรับการใช้ชีวิตทุกครั้ง.. ขอบคุณค่ะ   ................................. สุขสันต์วันทำ งานค่ะ..ทำงานอย่างมีความสุข..  
สวัสดีครับ น้องไอจัง น้องไอจัง พูดถูกแล้วครับ ได้เจอ พี่มหา ไม่เคยผิดหวังครับ ตัวผมเอง ได้รับข้อคิดดีๆ และเรื่อง ธรรมะ มาจากพี่มหาหลายเรื่อง เลยครับ บางเรื่องที่ไม่เคยคิดได้ตก ก็เพิ่งมาตาสว่างครับ วันนี้ น้องไอจัง ก็คงทำงานตามปกติซิครับ ขอให้มีความสุข กับ งานที่ทำนะครับ
พ่อลูกหนึ่ง
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
น้ำเต้าหู้ก๊าบบบบ...น้ำเต้าหู้ยูเอชที ซาวัดดียามเช้าวันพุธก๊าบบบบบบ  สวัสดีค๊า ไข่เจียว   มีน้ำเต้าหู้เหลือให้นิวบ้างมั้ย  
|
|
|
|
|
|
|
|
ไข่กวนของนิว
|
|
|
|
|
|
|
|
ผู้ชายคนหนึ่ง
|
สวัสดีครับ ไข่เจียว วันนี้โชคดีครับ น้ำเต้าหู้ ยังอยู่ครับ ผมอ่านข้อความที่ ไข่เจียว ลงไว้ให้แล้วครับ ชอบที่สุดก็คำที่ว่า ปัญญาประดุจดังอาวุธ นี้แหละ ครับ โดนใจดีครับ ต่อไปผมจะใช้ ปัญญาแก้ไขสิ่งต่างๆครับ เรื่อง การเจริญ สมถวิปัสสนากรรมฐาน ช่วงนี้ก็ทำอยู่ครับ ตอนนี้ผมกำลัง แกะสลัก พระโพธิสัตว์พันกร อยู่ครับ ก่อนจะลงมือแกะสลัก ก็ต้อง รวบรวมสมาธิก่อนครับ คือผมจะทำใจให้นิ่ง และบริสุทธิ์ครับ หากไม่ ทำผลงานที่ออกมา จะเป็นเหมือนอารมณ์ คนทำในตอนนั้นครับ ไข่เจียวเคยสังเกตุ งานศิลปะ หรือเปล่าครับ ไม่ว่างานปั่นงานวาด หรืองานแกะสลัก จะมีอารมณ์ ความรู้สึก ของผู้สร้างอยู่ครับ ผมเคยไป ดูเขาวาดจิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์มาครับ และได้พูดคุย กับคนวาดครับ ภาพวาด พระพุทธองค์ ที่เขาวาดไว้หลายๆภาพ จะมีอารมณ์และความรู้สึก ของเขาแฝงอยู่ด้วยครับ ผมเลยบอกเขาว่า แต่ละภาพเขาวาดออกมาด้วย ความรู้สึกอย่างไร ก็ปรากฏว่าตรงครับ เขายอมรับว่าอารมณ์ตอนนั้น เป็น อย่างที่ผมว่าจริงๆครับ สาเหตุมาจากที่จิตใจเขาไม่นิ่งครับ ส่วนตัวผมเอง เวลาจะทำงาน เกี่ยวกับสิ่งที่คนเคารพนับถือ ผมจะ ทำสมาธิก่อนครับ ในช่วงที่ทำงาน ก็จะเหมือนนั่งสมาธิเลยครับ ถ้าวันไหน จิตใจว้าวุ่นจริงๆ ก็จะวางงานไว้ก่อนครับ เพราะไม่ต้องการให้งานที่เป็นรูป เคารพ มีจิตใจที่ไม่สะอาดของเราไปทำให้มัวหมองครับ
ผมขออนุโมทนาทานในธรรมครั้งนี้ให้ไข่เจียวด้วยครับ (เกือบลืมครับ)
พ่อลูกหนึ่ง 
หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า...สมาธิมีคุณวิเศษอย่างไร ลองดูตัวอย่างใน "บทสัมภาษณ์ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา" ใช้สมาธิช่วยองค์การนาซ่าสำรวจอวกาศ ________________________________________ เรื่อง : ชุติมา ซุ้นเจริญ ตอนนั้นผมเป็นอาจารย์อยู่ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พอสอนไปได้สัก 2 ปี รู้สึกว่าวิทยาการมันก้าวล้ำไปแล้ว ความรู้ ประสบการณ์ของเรามันล้าสมัย ผมก็เดินทางไปต่างประเทศ ส่วนใหญ่แล้วไปที่สหรัฐอเมริกา เพื่อที่จะได้ไปหาข้อมูลเรียนรู้อะไรต่างๆ เพิ่มเติม เพื่อกลับมาสอนนิสิตนักศึกษาในประเทศไทย ผมก็ลาราชการไป บังเอิญเขาประกาศเกี่ยวกับยานอวกาศขององค์การนาซาที่จะไปสำรวจดาวอังคาร ก็พยายามสมัครเข้าไป คือเสนอโครงการเข้าไป ตอนแรกๆ เขาก็จะไม่รับคนต่างชาติ เพราะว่าเป็นความลับทางเทคโนโลยี แต่ผมก็เห็นว่ามันมีช่องโหว่ในกฎหมายที่เขาจะรับคนต่างชาติได้ โดยเฉพาะกรณีที่เขาขาดแคลนคนที่มีความรู้ทางด้านนั้น ผมก็เลยดูว่ามีอะไรที่ทางอเมริกาเขาขาด ทำไม่สำเร็จ ผมดูแล้วก็มีอยู่อย่างเดียว คือช่วงนั้นปี พ.ศ.1971 อเมริกาและรัสเซียก็พยายามส่งยานอวกาศไปลงที่ดาวเคราะห์ โดยเฉพาะดาวอังคาร ดาวพุธ กับดาวศุกร์ แต่ปรากฏว่าล้มเหลวทุกครั้ง พอเขาส่งไปถึงมันจะตกลงไป มันจะกระแทกพื้นดิน พังใช้การไม่ได้ เพราะว่ามันอยู่ห่างไกลจากโลก ไม่สามารถควบคุมการร่อนลงได้จากโลกของเรา ฉะนั้นต้องเป็นระบบที่มันควบคุมตัวเองโดยอัตโนมัติ ซึ่งอันนี้ทางอเมริกายังไม่ประสบผลสำเร็จ ผมก็เลยเสนอโครงการเข้าไปว่าผมจะช่วยสร้างชิ้นส่วนอันหนึ่งที่จะบังคับยานอวกาศให้ร่อนลงโดยอัตโนมัติลงสู่พื้นดินของดาวอังคารอย่างปลอดภัย ตรงนี้เองที่ทำให้เขาสนใจและทำให้ผมเข้าไปร่วมในโครงการยานอวกาศได้ โดยเริ่มไปทำงาน ไม่ใช่กับองค์การนาซาโดยตรง เพราะนาซาเขาจะไม่สร้างอะไรเอง เขาจะให้บริษัทต่างๆ เป็นผู้ผลิต ฉะนั้นผมก็ต้องไปทำงานกับบริษัทในสหรัฐอเมริกา โดยอยู่ในโครงการอันนี้ที่ผมเสนอไป ตอนแรกทางสหรัฐอเมริกาเขาเช็คประวัติของผมก่อนว่าผมมีแนวโน้มเอียงไปทางซ้ายหรือเปล่า เขาระมัดระวังมาก เขาจะส่งคนไปสืบดูในทุกๆ แห่งที่ผมเคยอาศัยอยู่ รวมถึงที่ปารีสซึ่งเคยอยู่ 2 ปี ปรากฏว่าผ่านทุกอย่างไม่มีปัญหาอะไร เขาเลยให้ทำงาน ทำวิจัยไปประมาณ 1 ปี สร้างต้นแบบมาหลายต้นแบบ แต่ปรากฏว่าไม่ประสบผลสำเร็จ ใช้การไม่ได้ แต่หลังจาก 1 ปี ผมก็คิดขึ้นมาว่าวิธีการหาความรู้แบบตะวันตก มันใช้ไม่ได้ เพราะเราต้องอาศัยข้อมูลของคนอื่น เราต้องทำวิจัย เราต้องมาเปลี่ยนแปลงวิเคราะห์ ผมคิดว่าใช้วิธีของทางตะวันออกดีกว่าก็คือไปนั่งสมาธิเพื่อให้เกิดปัญญา ผมก็ปีนขึ้นไปอยู่บนภูเขาในรัฐแคลิฟอร์เนีย ใกล้ๆ เมืองลอสแองเจลิส และนั่งสมาธิอยู่ตามลำพัง จนกระทั่งจิตนิ่ง สงบ ปัญญามันก็เกิด ผมอยู่ 4 คืน 5 วัน วันที่ 5 กำลังนั่งอยู่เฉยๆ สงบนิ่ง ไม่คิดถึงโครงการยานอวกาศเลย อยู่ๆ มันก็แวบเข้ามา แล้วเราก็ได้คำตอบ เราก็ อ๋อ รู้แล้ว เข้าใจแล้ว แค่นี้ คือในการฝึกสมาธิจนปัญญาเกิด โดยที่เราไม่ต้องคิด มันจะไม่ผ่านระบบความคิดอะไร ++เมื่อไม่ได้ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การคิดคำนวณ แล้วนำไปสร้างได้อย่างไรคะ++ ผมสร้างต้นแบบให้เขา และเขาก็ทดสอบ โดยใช้เครื่อง คอมพิวเตอร์ สมมติตอนที่ร่อนลง ปรากฏว่ามันค่อยๆ ร่อนลงและไปแตะพื้นดินของดาวอังคารอย่างปลอดภัย เขาก็ดีอกดีใจก็เลยให้ผมสร้างให้เขา 3 ชุด ไปไว้ในยานไวกิ้ง 1 ไวกิ้ง 2 และยานไวกิ้ง 3 สามลำด้วยกัน เขาส่งขึ้นไป 2 ลำ เดินทางไปใช้เวลา 11 เดือน พอไปถึงดาวอังคารก็สำรวจว่าจะลงตรงไหน แล้วก็ส่งสัญญาณไปกระตุ้นเครื่องที่ผมสร้างไว้ และมันค่อยๆ ควบคุมยานอวกาศให้ร่อนลงไปโดยอัตโนมัติสู่พื้นดินของดาวอังคาร ประสบความสำเร็จ ยานทั้ง 2 ลำแตะพื้นเบาๆ ไม่มีปัญหาอะไร และสามารถส่งข้อมูลกลับมาที่โลกของเราเป็นเวลาเกือบ 7 ปี ถือเป็นครั้งแรก? ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ก่อนหน้านั้นยังไม่เคยมียานอวกาศลำไหนลงไปบนพื้นดินของดาวเคราะห์ได้สำเร็จ แต่ตอนนั้นได้ลงไปที่ดวงจันทร์แล้ว แต่ดาวเคราะห์ยังไม่เคย
|
|
|
|
|
|
ผู้ชายคนหนึ่ง
|
++อาจารย์สนใจเรื่องสมาธิมาตั้งแต่ก่อนจะไปทำงานตรงนั้นหรือเปล่า++
ผมเริ่มฝึกปฏิบัติตั้งแต่อายุ 15 ปี ตอนนั้นศึกษาอยู่ที่ประเทศอังกฤษ เป็นโรงเรียนประจำ แล้วก็ฝึกมาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้
ทำไมถึงได้สนใจเรื่องสมาธิ
เหตุที่เป็นแรงจูงใจก็เพราะว่าช่วงนั้นผมเป็นเด็กเกเรพอสมควร ชอบชก ชอบต่อย ชอบอาละวาด เป็นคนที่อารมณ์รุนแรง แล้วมันเกิดเหตุการณ์ที่ค่อนข้างจะมหัศจรรย์กับตัวเอง คือนอนอยู่ในห้องนอนรวม เป็นหอพักของนักเรียน อยู่กัน 50 คน อยู่ๆ วันหนึ่งก็ตกใจตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะเหมือนกับมีเสียงคุยกับผมอยู่ เสียงนั้นแค่เรียกชื่อผม 3 ครั้ง อาจอง อาจอง อาจอง ทำไมถึงทำอย่างนี้ ตั้งคำถามไว้ให้กับผม
ผมก็มานั่งคิด ตอนแรกก็ตกใจนึกว่าเป็นผีมาหลอก ก็ไม่สนใจ นอนหลับไป พร้อมกับเสียงนั้นมันจะมีแสงสว่างอยู่รอบๆ บริเวณนั้นด้วย ผมมองซ้าย มองขวา ดูเพื่อน ทุกคนก็นอนหลับไม่มีใครได้ยินอะไร และมันก็เกิดขึ้นสามคืนติดต่อกัน คืนที่สามก็เลยต้องมานั่งคิดใหญ่เลยว่า เอ..มันเรื่องอะไร คิดไปคิดมาอาจเป็นการเตือนตัวเราเองว่า สิ่งที่เราทำมันไม่ถูกต้อง ก็เลยหาทางออก พยายามคิดว่าเราจะปรับปรุงตัวอย่างไร
ตอนแรกไม่รู้จะไปปรึกษาหารือกับใคร เลยไปปรึกษากับนักบวชในศาสนาคริสต์ ท่านก็บอกว่าให้ไปสวดมนต์ภาวนา เข้าโบสถ์ด้วยกัน ผมก็เข้าไป แต่แล้วท่านก็ไม่ได้ให้คำตอบอะไรกับผม ท่านบอกว่าต้องไปศึกษาพระคัมภีร์ต่อ ผมก็ไปศึกษาพระคัมภีร์ จนกระทั่งวันหนึ่งท่านสอนเกี่ยวกับเรื่องการสวดมนต์ท่านบอกว่าเมื่อสวดมนต์จะต้องมาพร้อมกัน เปร่งเสียงดังพร้อมกัน เข้ามาอยู่ในโบสถ์พร้อมกัน ผมเถียงท่าน บอกว่าไม่จำเป็น เราสวดมนต์ในมุมเงียบๆ ในห้องของเราก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปสวดในโบสถ์ อันนี้ท่านโกรธมากเลย ไล่ผมออกจากห้อง ผมก็เสียใจมาก
ก็พยายามคิดว่าจะทำยังไง เลยไปเข้าห้องสมุด แล้วบอกตัวเองว่าเราเกิดมาเป็นชาวพุทธ น่าจะมีอะไรดีๆ ทางพุทธศาสนา ก็เลยไปค้นหนังสือเจอบทความเกี่ยวกับการฝึกสมาธิ พออ่านแล้วมันประทับใจมาก ก็เลยเริ่มฝึกตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา
พอฝึกไปได้เดือนหนึ่งมันรู้สึกสงบ สบาย อารมณ์โกรธ โมโห อะไรก็ค่อยๆ หายไป เลยฝึกต่อ พอฝึกไปได้ปีหนึ่ง ก่อนหน้านั้นเรียนหนังสือไม่ค่อยได้ดี ปรากฏว่าความจำดีขึ้น การเรียนดีขึ้น พอสอบปีถัดมาก็สอบได้ที่ 1 ของทุกวิชา จากนั้นชีวิตก็เปลี่ยน เป็นคนใจเย็น ความรู้เกิดขึ้น
บางครั้งเราเรียนหนังสือก็ไม่ต้องเรียนหนัก ความจำดีขึ้น ได้รับรางวัลจากประเทศอังกฤษเยอะแยะไปหมด ได้รับรางวัลจากนายกรัฐมนตรีของประเทศอังกฤษด้วย ทางด้านวิทยาศาสตร์และทางด้านศาสนา นี่คือการทำควบคู่กันไปทั้งสองอย่างพร้อมกัน
++แต่คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าวิทยาศาสตร์กับศาสนาเป็นคนละเรื่องกัน?++
ผมมองดูตัวเองย้อนหลังกลับไป จริงๆ วิทยาศาสตร์กับศาสนาไม่แตกต่างกัน ทั้งสองอย่างพยายามแสวงหาความจริง แต่วิทยาศาสตร์มุ่งไปในสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเรา แต่ศาสนามุ่งเข้าไปในตัวเรา ฉะนั้นอันหนึ่งเป็นเรื่องภายใน อีกอันเป็นเรื่องภายนอก สองอย่างมาประกอบกันก็ทำให้เกิดความเข้าใจที่สมบูรณ์แบบ
แล้วผมก็วิเคราะห์ดูตั้งแต่ตอนนั้นว่า ผมจะไม่หากินกับเรื่องของจิตใจ เรื่องของการฝึกสมาธิ ตรงนั้นจะทำอะไรก็เป็นการบริการช่วยเหลือคนอื่น ถ้าเผื่อไปหากินก็คิดว่าใช้วิทยาศาสตร์ ผมก็เลยเลือกเรียนทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ เพื่อใช้เป็นอาชีพ
++ในแวดวงของคนที่เรียนด้านวิทยาศาสตร์ อาจารย์คิดว่าตัวเองแปลกแยกจากคนอื่นมั้ยคะ++
คือผมเข้าใจเขา แนวความคิดของเขาเป็นอย่างไร ขั้นตอนของการคิดแบบนักวิทยาศาสตร์เป็นอย่างไร ทีนี้ผมพยายามดึงเขาเข้ามาให้เข้าใจด้วยว่าเรามีญาณวิเศษอยู่ในตัวของเราทุกคน เพราะถ้าเกิดเราย้อนหลังกลับไปดูในประวัติศาสตร์อย่าง เซอร์ไอแซค นิวตัน ซึ่งก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สำคัญของโลก ตั้งแต่เล็กๆ เขาชอบนั่งอยู่ใต้ต้นแอปเปิลตามลำพัง โดยที่เขาไม่คิดอะไร และเขาทำอย่างนี้เป็นประจำ __________________ พอโตขึ้นมาเขาคิดถึงดาวหางแฮรี่ว่ามันจะกลับมาเยี่ยมโลกทุกๆ กี่ปี การหาคำตอบของเขาไม่ได้จากการทดลอง ไม่ได้จากการคำนวณ เขาไปนั่งอยู่ใต้ต้นแอปเปิล พอมันตกลงมาตอนนั้นเองมันก็แวบเข้ามา แล้วเขาก็ได้รับคำตอบ ซึ่งนอกจากจะตอบว่า นอกจากดาวหางแฮรี่จะมาทุก 76 ปี ซึ่งก็ถูกต้อง เขายังได้กฎเกณฑ์ของฮิวตันซึ่งเป็นพื้นฐานของฟิสิกส์ที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้
ไอน์สไตน์ก็เหมือนกัน เขาก็บอกว่า เขาได้อะไรต่ออะไรจากการตอนที่เขาสงบนิ่ง แล้วเขาพูดออกมาชัดเจนเลยว่าการหยั่งรู้ด้วยตนเองไม่ได้มาจากการศึกษา ไม่ได้มาจากความพยายาม แต่มันมาจากใจโดยตรง ถ้าเราเข้าถึงใจของเราได้ สมาธิก็จะเกิด ความรู้เกิดขึ้น ปัญญาก็เกิดขึ้น
อธิบายสิ่งที่เรียกว่าการหยั่งรู้นี้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์อย่างไรคะ
พอเราฝึกสมาธิ ความรู้สึกของเรามันจะขยายตัวออกไปกว้างใหญ่ พอเป็นอย่างนี้เท่ากับว่ามันขยายไปที่ไหนเราก็รู้ตรงนั้น ถ้าเราอยากจะรู้ว่าข้างหนึ่งของโลกเรากำลังเกิดอะไรขึ้น เรานั่งสมาธิขยายความรู้สึกของเราออกไป มันเป็นจิตใจที่เราขยายออกไปได้ แล้วจะรู้เรื่องอะไรก็ได้ ฉะนั้นจิตเหนือสำนึกก็คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ที่อยู่ในตัวเรา มันไม่มีขอบเขต จิตเหนือสำนึกมันกว้างออกไป และทำให้เราสามารถรู้เรื่องอะไรก็ได้ เกี่ยวข้องกับอะไรก็ได้
++ถ้าอย่างนั้นจะเรียกว่าอาจารย์เป็นผู้หยั่งรู้ได้มั้ยคะ++
ผมถือว่าทุกคนสามารถที่จะหยั่งรู้ได้ บางทีพวกเราสังเกตกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อันนั้นก็เป็นการหยั่งรู้ บางทีเรามีปัญหาเยอะแยะ เราคิดอะไรไม่ออก เรานอนหลับไป และช่วงที่เราตื่น อ๋อ! รู้แล้ว คำตอบมันมา เพราะระหว่างที่เรานอนหลับกับตอนที่เราตื่นตอนนั้นจิตใจเราสงบ เรายังไม่ฟุ้งซ่าน เรายังไม่คิดอะไรมาก พอจิตใจสงบในช่วงนั้นการหยั่งรู้ด้วยตนเองก็จะเกิดขึ้น
สภาวะจิตใจที่สงบนิ่ง ทางพุทธเราก็เรียกว่าศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อเรามีศีล มีสมาธิเกิดขึ้น จิตใจมันสงบ ปัญญามันก็เกิด
|
|
|
|
|
|
ผู้ชายคนหนึ่ง
|
หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการคิดค้นวิธีลงจอดแล้วอาจารย์ไปทำงานอะไรต่อ
ก็เป็นอาจารย์ต่อที่จุฬาฯ เริ่มสอนนิสิตนักศึกษาเรื่องสมาธิ และอบรมครูในเรื่องการฝึกสมาธิ
++ช่วงหนึ่งได้มีโอกาสทำงานในแวดวงการเมืองด้วย?++
คือหลังจากที่เป็นอาจารย์อยู่สัก 7 ปี ผมรู้สึกว่าเราน่าจะมีประสบการณ์ที่กว้างออกไป และให้เข้ากับทุกกลุ่ม คือสังคมต่างๆ ตอนนั้นก็ออกมาเป็นนักธุรกิจก่อน ประสบความสำเร็จได้เป็นกรรมการผู้จัดการหลายบริษัท
พอเริ่มเข้าใจแล้วว่านักธุรกิจเป็นอย่างไรก็ตัดสินใจว่าถึงเวลาที่เราจะต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับการเมืองบ้าง เลยไปลงสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประสบความสำเร็จตอนที่สังกัดพรรคพลังธรรม ได้รับเลือก 3-4 สมัย
ตอนนั้นเข้าไปอยู่ในงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเป็นหลัก เป็นกรรมาธิการการศึกษา กรรมาธิการวิทยาศาสตร์ กรรมาธิการสิ่งแวดล้อม จะมุ่งไปในทางด้านนั้น จนสุดท้ายได้เป็นเลขารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สมัยท่านประสงค์ สุ่นศิริ ได้เดินทางไปรอบโลกพร้อมกับท่าน
ดูเหมือนอาจารย์จะมองการทำงานในตำแหน่งต่างๆ เป็นการเรียนรู้มากกว่าการประกอบอาชีพ?
คือทุกอย่างเป็นการเรียนรู้ของผม
++ไม่ได้มีเป้าหมายคือ ชื่อเสียง เงินทอง หรืออำนาจ?++
ถ้าเราต้องการรวยมันง่ายมาก อย่างผมไปสร้างยานอวกาศที่สหรัฐอเมริกา เงินเดือนที่ได้รับตอนนั้นซื้อรถยนต์ได้ 1 คันต่อเดือน คือต้องเทียบอย่างนั้น เพราะว่าเงินสมัยนั้นมันยังน้อย เงินซื้ออะไรได้เยอะ มูลค่าสูง
พอผมสร้างเสร็จแล้วหน้าที่ของผมคือกลับมาเป็นอาจารย์อยู่ที่จุฬาฯ ก็บอกทางโน้นว่าขอกลับแล้ว ตอนแรกเขาก็จะไม่ยอม เพิ่มเงินเดือนให้ผม 20 เท่า ซื้อรถยนต์ได้ 20 คันต่อเดือน และจะโอนสัญชาติให้ผม ผมก็บอกว่าอันนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ หน้าที่ของผมคือสอน ที่มาก็มาหาความรู้ ได้ประสบการณ์แล้วก็ขอกลับ ในที่สุดเขาก็ต้องยอม
ในชีวิตไม่เคยคิดอยากจะรวย ไม่เคยคิดอยากจะดังอะไร ถ้ามันดังก็ดังโดยธรรมชาติของมันเอง เราไม่ได้ตั้งใจว่าจะต้องทำด้วยความดังหรือชื่อเสียง หรือความร่ำรวยอะไร ตอนนี้ก็กลับมาอยู่ที่โรงเรียน ผมก็ปฏิเสธไม่รับเงินเดือน เพราะว่านี่ไม่ใช่จุดมุ่งหมายของเรา เราต้องการจะให้และช่วยเด็ก
แต่ไม่ว่าจะอยู่ในแวดวงธุรกิจหรือการเมือง คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเต็มไปด้วยเรื่องผลประโยชน์และการต่อรอง? อย่างผมเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของบริษัทแห่งหนึ่ง
ปกติเราต้องเลี้ยงลูกค้า เลี้ยงอาหาร เลี้ยงเหล้า อะไรต่างๆ ผมก็บอกเขาตรงๆ ว่า ผมไม่ดื่มเหล้านะ และผมทานมังสวิรัติด้วย เขาก็ตกใจ แปลกใจ
แต่ก็บอกผมว่า ถ้างั้นก็ทานบ้าง เป็นเพื่อนดื่มน้ำชาด้วยกัน เสร็จแล้วก็คุยกันไปคุยกันมา ปรากฏว่าเขาไว้ใจผมมากเลย เขาเชื่อว่าผมทำธุรกิจจะไม่มีวันเอาเปรียบเขา ไม่มีวันที่จะโกงเขา เขาบอกเอาล่ะ ผมพร้อมจะเซ็นสัญญาซื้อขายกับคุณ เซ็นสัญญาทีเป็นพันล้านเพราะเขาไว้วางใจเรา เพราะเราไม่ได้โม้อะไร
ไม่ได้ไปแสดงอะไร ไม่ได้ดื่มเหล้าเมายากับเขา ไม่ได้เลี้ยงดูปูเสื่อ ซึ่งนักธุรกิจโดยทั่วไปเขาจะมี แต่ปรากฏว่ากลับไม่ค่อยไว้วางใจกัน แต่นี่เขาไว้ใจเรา เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าจะต้องใช้วิธีทางโลกในการค้าขาย สู้สร้างความไว้วางใจดีกว่า
การเมืองก็เหมือนกัน ผมก็เข้าไปในสภา เอาล่ะ ก็ยอมรับว่ามันมีผลประโยชน์ค่อนข้างจะเยอะ แล้วก็มีคนมาเสนอผลประโยชน์ให้ผมเยอะมาก ตอนที่เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็มีคนเสนอว่า พี่ช่วยเซ็นตรงนี้หน่อย พอเซ็นแล้วผมจะได้ 150 ล้าน
ผมก็บอกว่าเรื่องอะไรล่ะ ได้เยอะแยะขนาดนี้ เขาบอกว่าเขาจะนำเข้าไม้จากพม่า และเขาเอาหลักฐานให้ผมดูว่าเป็นไม้จากพม่า แต่ผมดูแล้วผมรู้สึกว่ามันเป็นเอกสารปลอม ผมก็เลยเอาเอกสารนี้ไปตรวจ พม่าตรวจแล้วเขาก็บอกว่าเป็นเอกสารปลอม ผมก็เอากลับมาแล้วบอกว่า ขอโทษนะเซ็นอันนี้ไม่ได้ เพราะว่าเป็นเอกสารปลอม ผมก็พูดตรงไปตรงมากับเขา
ใช่ ผมอาจจะไม่ร่วมมือในเรื่องบางเรื่อง แต่ทุกคนก็ยอมรับ และก็ถือว่าผมเป็นคนที่น่าไว้วางใจ ถึงเวลาจะมีการปฏิรูปการศึกษา กรรมาธิการก็ให้ผมร่างในเรื่องคุณธรรม จริยธรรม ถึงเราไม่ได้อยู่ฝ่ายรัฐบาล แต่ไปขอร้องเขา พอถึงเวลาเขาก็ยกมือให้ เขามั่นใจเรา เขารักเรา การทำงานไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจ อิทธิพล ไม่ต้องใช้เงินใช้ทอง เราสร้างความไว้วางใจให้กับคนอื่นให้รักเรา
++จริงไหมที่เขาบอกว่าคนดีๆ มักอยู่ในแวดวงการเมืองไม่ได้?++
อันนี้ก็จริงเหมือนกัน แต่ทว่าเขาเข้าใจผิด คือยืนหยัดอยู่ในทางของตัวเองแล้วบอกคนอื่นผิดหมด มันไม่ใช่อย่างนั้น ไม่มีใครผิด คือเราต้องเข้าใจว่าทุกคนอยู่ในโลกนี้ก็เพื่อที่จะมีประสบการณ์ บางทีเราต้องหกล้มเราถึงจะรู้ว่าหกล้มแล้วมันเจ็บ แล้วเราน่าจะเปลี่ยนวิธีการใหม่
ตลอดเวลามีการสร้างความแข็งแกร่ง ความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตให้ดีขึ้น ฉะนั้นผมมองนักการเมืองทั้งหลายว่าเขาก็เรียนรู้อยู่ บางทีเขาทำอะไรตัวเองก็เจ็บมาก สร้างปัญหาให้กับตัวเอง ก็คือวิธีการเรียนรู้
ฉะนั้นคนดีบางคนบอกว่าตัวเองดี แล้วก็ไปชี้นิ้วว่าคุณนี่มันไม่ดี คุณนั่นมันเลว แต่เราต้องเข้าใจว่าเมื่อเราชี้นิ้วไป มันจะมีนิ้วสามนิ้วชี้กลับมาที่ตัวเราเสมอ เราบอกว่าคนอื่นเลว แท้ที่จริงเราต้องดูตัวเองว่าเราเลว เราไม่ดีเอง เราคิดไม่ดีเอง ถ้าเผื่อเราเข้าใจอย่างนี้ เราไม่ไปด่าใคร เราไม่ไปว่าใคร
จริงๆ แล้วการเป็นนักการเมืองก็น่าจะทำอะไรได้เยอะโดยเฉพาะในเชิงนโยบายที่เกี่ยวกับการศึกษา ทำไมถึงตัดสินใจออกมาล่ะคะ
ใช่..เราปฏิรูปอะไรได้ ทำอะไรได้เยอะ อย่างตอนนั้นเราออกกฎหมายปฏิรูปการศึกษา ซึ่งผมเขียนเรื่องคุณธรรมใส่เข้าไป ก็ไปโดน รสช.ยึดอำนาจพอดี แล้วก็เกิดปัญหาพฤษภาทมิฬอะไรต่างๆ ผมก็ดูแล้วว่าเราต้องลงไปถึงระดับรากฐานคือไปลงมือสร้างเด็กขึ้นมาเองเลย
การปฏิรูปการศึกษาจะมาสั่งคนให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้โดยอาศัยกฎหมาย มันไม่ค่อยได้ผล เขาไม่เข้าใจ ไม่รู้จะทำยังไง ผมเลยคิดว่าเราไปสร้างตัวอย่างให้เขาเห็นดีกว่า ไปปฏิรูปของเราเองก่อน วิธีการอย่างนี้จะขยายผลได้เร็ว
แล้วอีกอย่างผมก็คิดว่าเราสร้างอะไรต่ออะไร สร้างยานอวกาศ สร้างโน่นสร้างนี่มาเยอะแล้ว ตอนนี้ลองสร้างคนบ้าง ก็เลยหันไปสู่แวดวงการศึกษาของเด็ก ตั้งโรงเรียนสัตยาไส จ.ลพบุรี ขณะเดียวกันก็อบรมครู ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องของการเรียนรู้ เกี่ยวกับการศึกษา และเดินทางไปต่างประเทศตามคำเชิญของประเทศต่างๆ เพื่อไปอบรมครู
|
|
|
|
|
|
ผู้ชายคนหนึ่ง
|
++แล้วทำไมต้องเป็นโรงเรียนแนวไสบาบา++
คืออันนี้เริ่มต้นเมื่อประมาณ 23 ปีที่ผ่านมา ตอนนั้นผมยังไม่ได้มาสนใจเรื่องการศึกษาของเด็ก แต่ก็ได้รับแรงกระตุ้นเมื่อครั้งไปที่ประเทศอินเดีย และไปเจอนักการศึกษา (ท่านสัตยาไสบาบา) ท่านเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากในประเทศอินเดีย ขณะเดียวกันท่านก็สอนธรรมะ ผมไปเจอท่าน ท่านก็มองหน้าผมสักพัก แล้วก็บอกว่าในชีวิตที่เหลือขอให้หันมาสนใจการศึกษาทั้งหมดได้ไหม ผมก็ตอบรับทันที เพราะท่านพูดประทับใจมาก เข้าถึงใจผม
++ผมก็เลยตัดสินใจว่าเราต้องหันมาทางด้านนี้ ++
กลับมาเมืองไทยก็เริ่มต้นจากการทดลองสอนเด็กในแหล่งชุมชนก่อน ดูสิว่าเราสามารถเปลี่ยนชีวิตเขาได้ไหม ปรากฏว่าเด็กพวกนี้เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เราก็เริ่มเห็นผล ทีนี้ก็เลยจัดอบรมครู พออบรมไปได้สักหมื่นห้าพันกว่าคน ครูเหล่านี้ก็เรียกร้องว่า วิธีสอนมันดีล่ะ แต่เขาอยากจะเห็นของจริง โรงเรียนที่ปฏิบัติอย่างนั้น ทำอย่างนั้นจริงๆ ผมก็เลยบอกพรรคพวก เรามาสร้างโรงเรียนกันดีกว่า เพื่อจะได้เป็นตัวอย่าง ทุกคนก็เห็นดีด้วย ช่วยกันบริจาค เพราะเราจะไม่เก็บค่าเล่าเรียน ต้องการทำตัวอย่างของการให้ ให้เปล่า ให้ฟรี ไม่ใช่ว่าจะเอากำไร โรงเรียนสัตยาไสก็เริ่มต้นเมื่อ 13 ปีที่แล้ว
++อาจารย์ทำงานกับเด็กมาก็พอสมควร มองว่าปัญหาของเด็กยุคนี้คืออะไร++
เป็นเรื่องจริงว่าเด็กที่มีปัญหาคือ เด็กที่ขาดความรัก ขาดความอบอุ่นในครอบครัว พอเขาขาดก็จะพยายามแสวงหาความสนใจของคนอื่นเข้ามา ฉะนั้นบางทีเขาก็ใช้วิธีที่เขารู้จัก คือเกเร ทำลายโน่น ทำลายนี่ แกล้งคนโน้น คนนี้
ทันทีเลยผู้ใหญ่ก็จะมาหาเขา จริงอยู่เขาโดนลงโทษ แต่เขาสามารถดึงดูดคนมาหาเขา และนั่นคือสิ่งที่เขาปรารถนา ที่เขาเกเรทุกวันนี้เป็นเพราะเขาขาดความรัก เขาอยากจะได้ความรักจากผู้ใหญ่ เราต้องเข้าใจ อย่าไปโทษเด็ก มันมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่เสริมเข้ามา ฉะนั้นเป็นหน้าที่ของผู้ปกครองของครูที่จะต้องเติมความรัก ความเมตตา และให้ภูมิคุ้มกันแก่เด็ก
ภายใต้บรรยากาศทางสังคมที่เต็มไปด้วยความรุนแรงอย่างในปัจจุบัน ยังพอมีหวังมั้ยคะ
คือผมเชื่อว่าจะมีเหตุการณ์หลายอย่างที่จะทำให้ทุกอย่างต้องเปลี่ยน มนุษย์เราพอมีความทุกข์มากๆ จะรีบแก้ไข รีบเปลี่ยน รีบหนีความทุกข์ ฉะนั้นมันจะมีเหตุการณ์ที่สร้างปัญหาขึ้นมาเยอะให้กับเรา และปัญหาเหล่านั้นก็คือบทเรียนที่เราจะได้เรียนรู้ และปรับปรุงตัวเราเอง แก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น
อย่างที่เขาบอกระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น 4 เมตร กรุงเทพฯก็หมดแล้วไม่มีเหลือ อยู่ใต้บาดาลแล้ว ภาคกลางของประเทศไทยก็จะโดนน้ำท่วมหมด พอถึงใกล้ๆ เวลานั้นพวกเราจะตกอกตกใจและรีบเตือนกันอย่างรวดเร็ว เราไม่มีทางเลือกแล้ว เราต้องเปลี่ยน
ถ้าเรารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะเกิดแผ่นดินไหว น้ำท่วม มันต้องเปลี่ยนแล้ว คือชีวิตเราจะเปลี่ยนเร็วท่ามกลางวิกฤติต่างๆ ถ้าไม่มีวิกฤติเราก็ไม่เปลี่ยน เราก็อยู่กันอย่างสบายๆ เพราะฉะนั้นช่วงนี้มันจะมีวิกฤติเกิดขึ้นเยอะ และสร้างปัญหาให้กับเรา ทำให้การเปลี่ยนแปลงจะเร่งและรีบด่วน มันจะไม่ใช่ 50 ปีอย่างที่บางคนทำนายหรอก มันจะเกิดขึ้นเร็วมาก สมัยนี้เราอยู่ในยุคของการเปลี่ยนแปลง เราไม่มีเวลากันแล้ว
แต่อาจารย์มองว่าวิกฤติจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี?
ผมมั่นใจว่ายุคแห่งความสงบสุขจะเกิดขึ้นในโลกของเราแล้ว
คล้ายๆ กับแนวคิดทางพุทธศาสนาเรื่องยุคพระศรีอารย์?
มันก็ตรงกับศาสนาต่างๆ ที่เขาทำนายไว้ว่าจะเกิดยุคแห่งความสงบสุขขึ้นมา ผมดูเหตุการณ์ทุกอย่างแล้วก็มุ่งไปทางนั้น แล้วตอนนี้ก็มีคนที่เริ่มคิดในแนวใหม่ เริ่มคิดในทางที่ดี หมอประเวศ วะสี ก็เริ่มคิดแหวกแนวออกมาแล้ว เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมของเรา ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้มันจะเกิดขึ้นค่อนข้างจะเร็ว และคนจำนวนมากก็เริ่มจะคิดในแนวเดียวกันมากขึ้นๆ กระแสจะค่อยนำพาทุกฝ่ายไปสู่โลกใหม่ โลกที่เต็มไปด้วยความสงบสุข
|
|
|
|
|
|
ผู้ชายคนหนึ่ง
|
ระหว่างวิกฤติทางด้านสังคมกับสิ่งแวดล้อม อาจารย์คิดว่าอะไรน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
ผมคิดว่ามันจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน จากการที่อุณหภูมิมันสูงขึ้นในโลก ดิน ฟ้า อากาศ ทั่วโลกก็เปลี่ยนแปลง ผมเพิ่งกลับมาจากอาหรับเอมิเรสต์ ปรากฏว่าฝนตกมาตลอดทั้งปี ทั้งๆ ที่ปกติเขาเป็นทะเลทราย ผมเคยบอกเขามานานแล้วว่า ตรงนี้ในที่สุดจะไม่ใช่ทะเลทรายแล้ว ฝนจะเริ่มตกมากขึ้นๆ และมันก็เกิดขึ้นจริงๆ ทะเลทรายจะค่อยๆ เคลื่อนที่ไปทางเหนือมากขึ้น อย่างประเทศสเปนจะแห้งแล้ง ทะเลทรายซาฮาราจะขยับขึ้นไปเรื่อยๆ ทางเหนือ
อุณหภูมิในโลกเริ่มจะสูงขึ้นอยู่เรื่อยๆ ผมไปคุยกับนักวิทยาศาสตร์ที่ประเทศจีน มันเกิดจากน้ำทะเล เขายอมรับว่าทุกปีมันจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น น้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ก็เริ่มละลาย ฉะนั้นจึงทำให้ดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลง ความรุนแรงจะเกิดมากขึ้นๆ พายุไต้ฝุ่นมากขึ้น สึนามิก็จะมีมากขึ้น แผ่นดินไหวมากขึ้น ทุกอย่างมันมากขึ้นไปหมด
ขณะเดียวกัน มนุษย์เราก็ยังทะเลาะกัน เถียงกัน ยังทำสงครามกัน ยังฆ่ากันอยู่ โดยเฉพาะแถวๆ อิหร่าน ตะวันออกกลาง จะมีปัญหาอยู่เยอะ และอีกหลายประเทศที่มีการสู้รบกัน ลักษณะแบบนี้มันจะเร่ง ทั้งธรรมชาติ ทั้งวิกฤติในระหว่างมนุษย์ด้วยกันก็จะเป็นตัวเร่ง ทำให้เราต้องยอมรับแล้วว่าถึงเวลาที่มนุษย์จะต้องเปลี่ยนแปลง
ชีวิตของผมเองก็เหมือนกัน พอเป็นเด็กเกเรมากๆ ชกต่อยคนโน้น คนนี้ ตัวเราเองก็เจ็บด้วย ไม่ใช่ทำให้คนอื่นเจ็บอย่างเดียว และนั่นคือตัวเร่งที่ทำให้ผมเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิต เพราะฉะนั้นอันนี้กำลังเกิดขึ้น และผมคิดว่าจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เราคิด
เร็วแค่ไหนคะ
ผมให้เวลา 12 ปี
ทำไมถึงเป็นตัวเลข 12 ปี
เพราะว่าตัวเร่งมันกำลังเกิดขึ้น ทุกอย่างมันเร่งหมดแล้ว เราไม่เคยมีแผ่นดินไหวที่รุนแรง จนทำให้เกิดคลื่นสึนามิ ไม่เคยมีอย่างนี้มานานทีเดียว แต่ตอนหลังมีตั้งหลายครั้งแล้ว และพอมันเกิดขึ้นตรงนี้ เปลือกโลกมันก็ขยับใช่ไหม มันก็ทำให้เกิดความกดดันอีกจุดหนึ่ง ซึ่งมันก็ต้องขยับตาม ทีนี้มันก็จะไปเรื่อยๆ ไปรอบด้านรอบโลก ซึ่งอันนี้เป็นภัยอันตรายที่พวกเราต้องระมัดระวัง
แต่ถ้าพวกเราช่วยเหลือกันตั้งแต่แรก ภัยเหล่านี้ก็จะลดน้อยลง อยู่ที่ความร่วมมือของมนุษย์ สึนามิไม่จำเป็นต้องฆ่าคนจำนวนมาก ถ้าทันทีที่เกิดขึ้นจุดใดจุดหนึ่งก็บอกต่อๆ กันไป
แล้ว 12 ปีนี่ประเมินจากอะไรคะ
ผมลองดูสถานการณ์ต่างๆ ที่เป็นตัวปัจจัยให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คือเราก็สังเกตทุกด้านจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลก
อันแรกจากที่มนุษย์เราทะเลาะกันเอง สร้างสงครามกัน สร้างวิกฤติของตัวเองขึ้นมา อีกอันหนึ่งก็คือความถี่ของธรรมชาติที่มีแผ่นดินไหว น้ำท่วม ดินฟ้าอากาศที่รุนแรง มีพวกพายุมากขึ้น เฮอร์ริเคนทางโน้น มีไซโคลนทางนี้ มีอะไรต่างๆ ที่รุนแรงมากๆ
คือพวกนี้เราดูแล้วความถี่มันมากขึ้นๆ ตามหลักวิทยาศาสตร์ผมก็วาดกราฟออกมา การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นแบบไหน ผมคำนวณออกมาแล้วมันจะไม่เป็นเส้นตรง แต่มันจะค่อยๆ ขยับขึ้น ตอนแรกมันดูเหมือนช้ามาก แต่แล้วมันจะค่อยๆ ขยับขึ้น และขึ้นเร็วมาก ผมคำนวณดูก็เห็นว่าจุดวิกฤติต่างๆ มันจะเกิดขึ้นภายใน 10 ปีข้างหน้า
หลังจากนั้นก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งทางด้านการศึกษา ทางด้านจิตใจของมนุษย์อะไรต่างๆ เพราะคนเราจะถึงขั้นหนึ่งที่บอกว่าพอแล้ว ไม่เอาแล้ว ความทุกข์มันพอแล้ว เลิกกันดีกว่า เราหันหน้าเข้ามาหากัน คุยกันดีกว่า มันจะถึงขั้นหนึ่ง มากจนต้องหยุดแล้ว
สุดท้ายอาจารย์คิดว่าอะไรจะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้มนุษย์ก้าวพ้นวิกฤติเหล่านี้ไปได้
มีอยู่อย่างเดียว ความรัก ความเมตตา คนเราถ้ามีความรัก ความเมตตา ทุกอย่างก็แก้ได้หมด เราให้อภัยซึ่งกันและกัน เราไม่มองในแง่ร้าย มีอะไรเราช่วยเหลือเขา
เมื่อมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เรามีอาหารเหลือเฟือ เรามีอะไรทุกอย่างเหลือเฟือในโลกนี้ เราไม่ต้องแย่งกันหรอก แต่จะใช้ระบบเศรษฐกิจแบบปัจจุบันไม่ได้ ระบบเศรษฐกิจต้องเปลี่ยน จะเป็นระบบเศรษฐกิจแบบนายทุนไม่ได้แล้ว แต่เป็นเศรษฐกิจของความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เศรษฐกิจของในหลวง สิ่งเหล่านี้มันจะต้องเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
จาก
ผู้หยั่งรู้ ดร อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
|
|
|
|
|
|
ผู้ชายคนหนึ่ง
|
สวัสดีครับ พี่มหา ผมขออนุโมทนาทานในธรรมครั้งนี้ให้ พี่มหา ด้วยครับ (ไข่เจียวสอนไว้ครับ) ผมอ่านความคิดเห็นที พี่มหา บรรยายธรรมแล้วครับ ทำให้เข้าใจ คำว่า ชีวิต คือ ละคร ได้ดีขึ้นครับ และเข้าใจคำว่า กรรมลิขิต แล้วครับ ครั้งนี้ผมหูตาสว่างขึ้นมาก เลยครับ พี่มหา ผมจะพยายามทำแต่ใน สิ่งที่ถูก ที่ควรครับ เพื่อสร้าง กรรมดี ครับ
ขอบพระคุณ พี่มหา ด้วยครับ
พ่อลูกหนึ่ง 
ขออนุโมทนาครับ หวังงว่าจะมีคนดีคนเก่งเพิ่มอีกคนอย่างตัวอย่างนี้ วิศวกร...นักสร้างคน โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 21 กรกฎาคม 2548 ๐ วิศวกรคือคนสำคัญที่สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อให้ชีวิตมนุษย์เป็นอยู่ได้อย่างสุขสบายขึ้น ๐ แต่สำหรับ “ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา” ไม่ได้เป็นแค่วิศวกรธรรมดาๆ ๐ การเผยแพร่ทัศนคติที่ดีในการดำเนินชีวิต และการอยู่ร่วมกันในสังคม เป็นไปอย่างแตกฉานอย่างผู้รู้ลึก ๐ ภารกิจสร้างความรู้คู่คุณธรรม ณ วันนี้ ยังมีเรื่องราวมากมายให้เรียนรู้ ในที่สุดพวกเราก็มีโอกาสสัมภาษณ์“ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา”ในวันอาทิตย์วันหนึ่ง ที่กรุงเทพฯ เพราะปกติท่านมักจะอยู่ที่ลพบุรี เพื่อสอนและดูแลเด็กๆ ที่โรงเรียนสัตยาไส และมีภารกิจมากมายอยู่เป็นประจำ บางคนอาจวัดความสำเร็จของหน้าที่การ งานด้วยชื่อเสียง เงินทอง และลาภยศ แต่สำหรับบุคคลท่านนี้ การใช้ชีวิตอย่างเต็มศักยภาพของความเป็นมนุษย์มีความสำคัญเป็นอันดับแรก ส่วนสิ่งที่ได้มาคือของแถม “ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา” บุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกจากการเป็นผู้คิดค้นระบบควบคุมการลงจอดบนดาวอังคารของยานอวกาศไวกิ้ง 2 ลำ เมื่อปีค.ศ.1976 (พ.ศ.2519) ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ เป็นวิศวกรนักเทคโนโลยี เป็นอาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้บริหารระดับสูงหลายบริษัท เป็นนักการเมืองน้ำดี และเป็นนักการศึกษาที่ได้รับการเชิญไปบรรยายมาแล้วทั่วโลก จุดเปลี่ยนอย่างกระทันหันของเด็กชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่ออายุ 15 ปี ขณะที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนประจำ Haileybery & Imperial Service College ประเทศอังกฤษ เมื่อเริ่มศึกษาพุทธศาสนา ธรรมะ และเรียนรู้การฝึกสมาธิ เพราะไปอ่านบทความการฝึกสมาธิที่น่าประทับใจมาก ทำให้ยุตินิสัยที่เคยชอบชกต่อยกับเด็กฝรั่ง และเปลี่ยนจากเด็กที่เคยเรียนแย่ กลายเป็นเด็กเรียนดีอย่างรวดเร็ว “ตอนแรกฝึกเองจากตำราทุกวันไม่เคยขาดเลยครับ ฝึกแล้วเกิดความสงบเลยอยากฝึกต่อเรื่อยๆ ต่อมาไถ่ถามจากผู้รู้ด้วย และฝึกต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ไม่เคยเลิก” ดร.อาจองเล่าต่อว่า จนกระทั่ง ช่วงก่อนเข้ามหาวิทยาลัย เริ่มรู้ตัวแล้วว่า จริงๆ ชีวิตนี้อยากจะเป็นนักบวช อยู่ในวัดในถ้ำฝึกสมาธิปฏิบัติ เพื่อให้หลุดพ้น ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิต แต่มีหลายอย่างที่ทำให้ไม่บวช คุณพ่อคุณ แม่ไม่ให้เพราะรู้ว่าถ้าบวชจะไม่สึก และการนั่งสมาธิทำให้รู้ว่า ชีวิตนี้ไม่ใช่ชีวิตของนักบวช ต้องอยู่รับใช้สังคม ซึ่งเมื่อฝึกสมาธิแล้วก็เรียนได้ที่ 1 ทุกวิชา เลยตัดสินใจว่า “ชีวิตนี้ เราจะช่วยคนอื่นให้มีความสุข แต่เราต้องหากินด้วยเพราะต้องมีเงินทอง เราหากินทางโลกก็ใช้วิชาวิทยาศาสตร์ก็แล้วกัน แต่เราจะไม่หากินจากธรรมะ” “เราแค่หารายได้จากวิทยาศาสตร์ แต่เราจะทำงานเพื่อสังคม” การเลือกเรียนวิทยาศาสตร์เพราะเห็นว่าจะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จะเป็นเรื่องที่น่าสนใจในอนาคต มันจะไม่อยู่นิ่ง สำหรับเด็กทั่วไปในยุคสมัยนี้ก็ต้องรู้จักวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว รู้จักใช้ คอมพิวเตอร์ ใช้เทคโนโลยี หรือแม้กระทั่งผู้บริหารก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างในออฟฟิศ มีเครื่องคอมพิวเตอร์ ปริ้นเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ เพราะฉะนั้น การทำงานด้านเทคโนโลยี เป็นสิ่งที่โลกต้องการมากๆ และอนาคตก็อยู่ที่เทคโนโลยี ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว “แต่ผมมุ่งไปที่จิตใจของมนุษย์มากกว่า ต้องการให้คนค้นพบสิ่งที่สงบสุขอยู่ในตัวเองมากกว่าเพราะเราไม่สามารถค้นพบจากวิทยาศาสตร์ หรือโลกภายนอกได้เลย และถ้าระวังเราอาจหลงอยู่ในเทคโนโลยี” “ที่สำคัญ ถ้าเราจะสอนเรื่องที่เกี่ยวกับจิตใจของมนุษย์ให้คนอื่น ถ้าเราเป็นนักวิทยาศาสตร์ คนจะนับถือ จะยอมรับมากกว่า อาจารย์หลายท่านแนะนำว่า เรามีปริญญาเอกพูดที่ไหนคนก็อยากรู้ เชื่อถือ ทำงานกับส่วนรวมได้ดีขึ้น” “ผมทำงานด้านวิทยาศาสตร์ให้แค่อยู่ได้ ไม่คิดรวย เพราะจริงๆ หลังจากทำเรื่องยานไวกิ้ง ทางอเมริกาก็เพิ่มเงินเดือนให้เยอะเลยหลายแสน ถ้าอยู่ต่อก็รวยมหาศาล จะให้สัญญาชาติอเมริกัน แต่เป้าหมายผมคือการไปหาความรู้เพื่อไปสอนนักศึกษาในไทย จึงกลับมารับราชการเป็นอาจารย์ที่จุฬาฯ เงินเดือน 4,500 บาท”
|
|
|
|
|
|
ผู้ชายคนหนึ่ง
|
ดร.อาจองเล่าเกี่ยวกับเรื่องเรียนว่า เป็นคนที่เรียนอะไรแล้วเต็มที่ทำจริงจัง สมัยเรียนสาขาวิศวกรรมศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ จบหลักสูตรปริญญาตรีภายใน 2 ปี โดยได้เกียรตินิยม แต่ต้องอยู่ให้ครบ 3 ปี แล้วได้ปริญญาโทพร้อมกันอีกใบ ซึ่งในช่วง 1 ปีที่ว่างเพราะเรียนจบแล้วนั้น เป็นนายกสมาคมพุทธศาสตร์ ใช้เวลาไปกับการช่วยเหลือคนอื่นและฝึกสมาธิ
“เมื่อเรียนตั้งใจเรียน แต่เรียนได้เร็วเพราะฝึกสมาธิ เราฟังแล้วก็จำได้ ไม่ต้องท่องมาก มันเกิดประโยชน์มากมายหลายอย่างด้านการเรียนการศึกษา พวกฝรั่งที่สนใจมองว่าพุทธศาสนาเป็นปรัชญามากกว่าเป็นศาสนา เพราะเราไม่ได้พูดเรื่องขอให้เชื่อ แต่ให้ฝึกให้ทำ เพราะฉะนั้นเขารับง่าย”
สำหรับการเลือกเรียนสาขาไมโครเวฟ ตอนปริญญาเอก เพราะเห็นว่าท้าทาย เป็นของใหม่ คนยังไม่ค่อยรู้ ไม่ค่อยกล้าเรียนเพราะมันยาก ไม่ต้องไปแย่งงานกับคนอื่น และเป็นเรื่องของอนาคตจริงๆ ซึ่งจะกลายเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการสื่อสารโทรคมนาคมที่จะใช้ทั่วโลก ตอนที่เรียนนั้นยังไม่มีดาวเทียม ยานอวกาศ การสื่อสารโทรคมนาคมยังไม่ก้าวหน้าเท่าไร
แต่ช่วง 2 ปีแรก แทนที่จะใช้เวลาทำวิจัย ดร.อาจองกลับใช้เวลาทำงานสังคมตามที่ตั้งใจ เพราะอยากช่วยให้คนอื่นมีความสุขส่วนใหญ่ไปบรรยายให้เยาวชนที่สนใจมากมายเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับ ธรรมะ แนวทางชีวิต หลายเวทีหลายรอบหลายสมาคม และตามคำเชิญของสถานทูตไทย
จนกระทั่ง เมื่ออยากจบแล้ว จึงใช้เวลานั่งสมาธิตามลำพัง และก็เกิดเห็นภาพเครื่องมือที่จะใช้ขยายคลื่นไมโครเวฟ เพื่อใช้ทางด้านการสื่อสารโทรคมนาคม ซึ่งเป็นของใหม่ไม่มีใครเคยคิด เลยเขียนวิทยานิพนธ์ออกมา โดยไปวิเคราะห์ ทดลอง สร้าง แล้ววัดผล คิดค้นทฤษฎี โดยใช้เวลา 1 ปีเศษ จบปริญญาเอก สาขา Science and Technology ที่ Imperial College Of Science and Technology , London University
ซึ่งต่อมา ก็ได้ใช้ความรู้ทางด้านไมโครเวฟ บวกกับการทำสมาธิ ทำให้ได้ระบบควบคุมการลงจอดของยานไวกิ้งขึ้นมา
ดร.อาจองยืนยันว่า ในอนาคต สมาธิจะเป็นพื้นฐานสำหรับทุกคน เพราะเมื่อฝึกแล้วเกิดความสงบ ก็จะลดและเลิกทะเลาะกัน มีวิธีแก้ปัญหาที่ดี คนจะสนใจฝึกมากขึ้นเพราะเป็นเรื่องจำเป็น ตอนนี้ทหารอเมริกันจะขับเครื่องบินเร็วกว่าเสียงหลายๆ เท่า ก็ต้องมีสมาธิ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบพุทธ เพราะในหลายศาสนาก็มีการฝึกให้จิตใจสงบ
นอกจากนี้ ความรู้พื้นฐาน อย่างเช่น วิทยาศาสตร์ก็จำเป็น ไม่ใช่ต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่รู้จักคิดแบบนักวิทยาศาสตร์ มีเหตุมีผล รู้จักตั้งคำถาม รู้จักหาคำตอบ แก้ปัญหา วิจัย และเมื่อเห็นข้อมูลแล้วสามารถสรุปได้
ส่วนภาษาอังกฤษจะใช้มากขึ้นๆ เพราะการสื่อสารกับประเทศอื่นๆ ข้อมูลข่าวสารที่ต้องเปิดดูทางอินเตอร์เน็ต จะจำเป็นมากขึ้นแล้วยังทำนายไว้ว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้า ความวุ่นวายในโลกจะลดลงจากความจำเป็นที่มนุษย์ต้องร่วมมือกันมากขึ้น เพราะตระหนักว่าหากยังขัดแย้งสู้รบกันต่อไป จะยิ่งเลวร้ายลง
เพราะฉะนั้น จึงมักจะแนะนำว่า ที่สำคัญ เราต้องรู้จักตัวเอง เพราะมนุษย์เราไม่ค่อยรู้ว่าเรามีความสามารถอะไร ทั้งที่เรามีความสามารถที่ไม่มีขอบเขต ไม่มีขีดจำกัด และฝึกฝนแนะนำเด็กของเราด้วย
เราต้องรู้จักตัวเองให้มากขึ้น แล้วเราจะรู้ว่ามีสิ่งที่ดีมากมายในตัวเราที่ยังไม่เคยใช้ เราใช้สมองไม่ถึง 10% เราต้องรู้จักใช่สมองของเราอย่างเต็มที่ แต่เมื่อเราไม่รู้จักตัวเอง เราไม่รู้จักคนอื่น เราจึงเข้ากับคนอื่นไม่ค่อยเป็น เพราะฉะนั้นทุกอย่างจึงต้องเริ่มจากตัวเรา การศึกษาต้องช่วยให้เด็กรู้จักตัวเอง การฝึกสมาธิจะช่วยให้รู้จักตัวเอง เพราะเป็นการเข้าไปสู้ใจของตัวเอง ช่วยให้ความจำดีขึ้น การเรียนการศึกษาดีขึ้น
โดยต้องเดินไปทั้งสองทางไปด้วยกัน คือ “ทางโลกกับทางธรรม” ใช้ความรู้คู่คุณธรรมควบคู่กันไป แล้วยังย้ำว่า เมื่อเป็นคนดีแล้วจะเก่งได้เอง แต่การเป็นคนเก่งยากที่จะเป็นคนดี
การมุ่งไปเอาแค่ความรู้อย่างเดียว แต่ขาดคุณธรรม...มันอันตราย เพราะจะทำให้เห็นแก่ตัว ทำอะไรเพื่อตัวเอง ต้องรวย มีงานดี ประสบความสำเร็จ
แต่สิ่งที่คนเราปรารถนาจริงคือความสุข การมีคุณธรรมสูงจะนำไปสู่ความสุข พอใจ ไม่โลภ ความเห็นแก่ตัว การถือตนหายไป และจะกลายเป็นผู้ที่มีประโยชน์ต่อโลก
สำหรับนักสร้างคนที่ไม่มีวันหยุด ซึ่งมองเห็นเส้นทางกับเป้าหมายอย่างแจ่มชัดอย่างดร.อาจอง เข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งด้วยหัวใจว่า เมื่อเรารู้อะไรต่ออะไรแล้ว มันจะเกิดประโยชน์จริงก็ต่อเมื่อสามารถอธิบายและสอนคนอื่นได้
เมื่อเราค้นพบอะไรก็แล้วแต่ เรื่องใหม่ๆ เราต้องอธิบายให้คนอื่นฟัง เขาจะได้เข้าใจกับเราด้วย แต่ถ้าเราจะอธิบายด้วยสมาธิ ถ้าเราไม่มีพื้นฐานทางวิชาการด้านนั้น ถึงแม้เรารู้แต่เราอธิบายให้คนอื่นฟังไม่ได้...
|
|
|
|
|
|
|
|
|
คุณพี่มิคสวัสดีค่ะ
บ้านพี่มิคไฟดับบ่อยจัง บ้านอยู่แถวไหนเนี้ยย
แบบว่าถ้าเจอลมแรงๆ เสาไฟฟ้าก็หักแล้วแบบนี้ป่ะคะ 

|
|
|
|
|
|
|
|
คุณพี่มิคสวัสดีค่ะ บ้านพี่มิคไฟดับบ่อยจัง บ้านอยู่แถวไหนเนี้ยย แบบว่าถ้าเจอลมแรงๆ เสาไฟฟ้าก็หักแล้วแบบนี้ป่ะคะ  
ตามนั้นเลยวิ อิอิ เสาไฟฟ้าหัก เป็นแถบๆ 
|
|
|
|
|
|
|