" คนเรามันจะเกิดมาแล้วสนใจแต่เรื่องของตัวเองกันไปถึงไหน..... อะไรบนถนน หรือรถราในเมืองใหญ่ และในบ้านใครบ้านมัน.... จะมีใครรู้และสนใจกันบ้างว่า เกิดอะไรขึ้น กับ คนหนึ่งคน ในขณะที่เรากำลังนั่งสังสรรค์ในงานปาร์ตี้หน้าบ้านเรา ??? "
เหตุการณ์ฆาตรกรรมทุกเหตุการณ์ที่เป็นข่าวหน้าหนึ่งบนหน้าหนังสือพิมพ์ในทุกวันนี้ มันทำให้ผมเกิดคำถามบ่อยครั้งครับ โดยเฉพาะคำถามข้างบน ว่าทำไมเราจึงไม่สามารถทำอะไรได้เลย ในขณะที่คนคนหนึ่งกำลังเดือดร้อน จะเป็นจะตาย และกำลังเรียกร้องหาความช่วยเหลืออยู่
ภาพยนตร์เรื่อง The Chaser ก็ตั้งคำถามนี้อยู่ครับ แถมนำเสนอภาพ สังคมใหญ่ในทุกวันนี้ได้อย่างน่าสนใจ ถึงการดำเนินชีวิตของคนที่ใช้ชีวิตในเมืองโดยไม่สนใจสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบรอบตัว
หนังเริ่มเรื่องด้วยเหตุการณ์ที่ดูเป็นปกติของชายหญิงคู่หนึ่ง ที่ขับรถไปด้วยกันเหมือนหนุ่มสาวทั่วไป และสุดท้าย ผู้หญิงคนนั้นหายไป โดยที่คนหมู่ใหญ่ทั่วไป ไม่มีใครรู้
ต่อมาหนังทำให้เรารู้เองว่า ผู้หญิงที่หายไป น่าจะเป็นคนเดียวกับที่ จุงโฮ อดีตตำรวจที่ผันตัวมาเป็นแมงดา ตามหาอยู่ จุงโฮ จึงใช้ ยังมิน เป็นเหยื่อล่อ แล้วเข้าถึงตัวชายต้องสงสัย ที่เขาเข้าใจว่า อาจเข้ามาลักตัวผู้หญิงในสังกัดของเขาหลายคนไปขายต่อ แต่เขากลับพบว่า ผู้หญิงเหล่านั้นที่ชายคนนั้นพาไป คือเหยื่อที่ชายคนนั้นอ้างว่าได้ฆ่าเองกับมือ แทนที่จะเป็นสินค้า อย่างที่ จุงโฮ คิด…..จากภายนอกที่ดูเหมือนไม่มีอะไรของชายต้องสงสัยคนนั้น ตอนนี้ชายคนนั้นคือฆาตรกรที่ทุกคนต้องแปลกใจ เพราะเขาบอกกับตำรวจ และเล่าอย่างละเอียดว่าเป็นผู้ฆ่าเหยื่ออย่างทารุณ โดยที่ตนเองไม่สะทกสะท้าน ต่อจากนี้ 12 ชั่วโมงที่เหลืออยู่ของ จุงโฮ ต้องรีบตามหาตัว ยังมิน ที่ จุงโฮ เข้าใจว่าอาจยังมีชีวิตอยู่ก่อนจะสายเกินไป
หนังสร้างสถานการณ์แปลกใหม่ให้เราตามลุ้นครับ โดยเฉพาะการที่ต้องแข่งกับเวลาในการตามหาตัว ยังมิน ของ จุงโฮ และการตามหาหลักฐานของตำรวจเพื่อเอามามัดตัวฆาตรกร ที่มานั่งยอมรับว่าเป็นฆาตรกรอย่างหน้าตาเฉย โดยทิ้งเงื่อนงำน้อยนิดให้ทุกคนต้องอลหม่าน เพราะการตามหาหลักฐานที่เริ่มมีเวลาน้อยลงก่อนเส้นตายปล่อยตัวฆาตรกร
และหนังเหมือนจะเดาออกง่ายสำหรับตอนจบครับ เพียงแต่ก็มีส่วนที่ทำให้เราต้องเดาในช่วงใกล้จบ และหนังก็ทำได้ดีด้วย แม้บทสรุปของหนังเองก็ไม่ได้สลักสำคัญเท่ากับ โจทย์ที่หนังพยายามตั้งกับคนดู ในเรื่องที่ว่าด้วยความใส่ใจในสิ่งรอบตัว ที่หนังทำให้เห็นชัดเหลือเกินในแทบจะทุกตอน กับแทบจะทุกฉาก รายละเอียดต่าง ๆ กับพฤติกรรมของตัวละคร โดยเฉพาะ จุงโฮ ที่มีความเห็นแต่ตนเอง ไม่สนใจจิตใจคนอื่น แม้ตอนท้ายจะพยายามแก้ตัวด้วยการตามแก้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็เป็นไปด้วยเพราะความต้องการบางอย่างที่ไม่แน่ใจว่าเขารู้สึกอย่างไรกันแน่ อาจจะเป็นแค่ โกรธแค้นในตัว ฆาตรกร หรือแค่เอาชนะก็เป็นได้
ในส่วนของพฤติกรรมของตัวละครที่ผมบอกนั้น หนังมุ่งเน้นไปที่นิสัยโดยทั่วของคนเราในปัจจุบัน โดยเฉพาะพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์ ที่ปัจจุบัน ยิ่งเทคโนโลยีก้าวไกลไปเท่าใด การสื่อสารของมนุษย์ก็ยิ่งฟุ่มเฟือย และ สันดารเสีย ๆ ของมนุษย์ก็แย่ลง เช่น การพูดยังไม่ทันจบแล้ววางสาย การใช้โทรศัพท์หลายสายหลายเครื่อง และบางครั้ง ก็ไม่สนใจโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาเสียเฉย ๆ ซึ่งตอนท้ายเรื่อง หนังลงโทษผู้ที่ทำพฤติกรรมอย่างที่ว่าเสียสาสม ผมเองยังรู้สึกว่าหนังเล่นแรงในส่วนนี้เลยด้วย
โดยรวมผมมองว่านี่คือหนึ่งในหนังทริลเลอร์เรื่องเยี่ยมเรื่องหนึ่ง ที่แม้จะไม่ได้ถึงกับสมบูรณ์แบบในแง่ของความเป็นหนังที่ดีที่สุด แต่ก็สมบูรณ์ที่สุดแล้ว ในการเป็นหนังที่ตั้งประเด็นหลัก ที่น่าสนใจ คล้าย ๆ รายการเรื่องจริงผ่านจอ ที่สามารถส่งสารบางอย่างให้คนดูได้สำนึกตามโดยปราศจากข้อถกเถียงใดใดได้อย่างยอดเยี่ยม การหยิบประเด็นจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในสังคมทุกวันนี้มาพูดแบบตรงไปตรงมา โดยเฉพาะเรื่องที่ผมบอก นั่นก็คือ ความเอาใจใส่กันในสังคม ทุกสาขาอาชีพ ที่แม้จะมีความต่างกันในด้านหน้าที่การงาน ก็ควรสนใจในรายละเอียดของกันและกันบ้าง ทุกวันนี้เรามองชีวิตอื่น ปัญหาของคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวของเราเป็นปัญหาที่เล็ก เรื่องของเราเป็นปัญหาใหญ่และมาก่อนเสมอโดยไม่สนใจว่าผลลัพท์จากการกระทำของเราจะส่งผลกระทบถึงผู้อื่นหรือเปล่า
แต่ก็อย่างว่าครับ สมัยนี้ มนุษย์เราต้องแข่งขันกันสูง จะสนกันไปทำไม ไหนจะต้องผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ผ่อนนู่นผ่อนนี่กันให้วุ่น เฮ่อ ลงเป็นแบบนี้แล้ว อาชญากรรมที่เกิดจากพวกหลืบไรทางสังคมก็ไม่มีทางหมดไปหรอกครับ มีแต่จะเพิ่มขึ้นไม่มีวันลดละ เฮ่อ ( อีกที )…. พอดู The Chaser จบแล้ว ไปงัด Minority Report มาดูให้หายคิดมากดีกว่าเรา ………… เรื่องนี้ให้ 3.0 ครับ