ความในใจคุณพ่อ "ผมยังทำใจไม่ได้ มีหลุดร้องไห้บ้างเวลาที่อยู่คนเดียว เพราะคิดถึงน้องกาว"
ร่างไร้ลมหายใจลำเลียงจากประเทศสหรัฐอเมริกากลับถึงประเทศไทยในวันที่ 26 พฤษภาคม พร้อมหอบเอาความเศร้าโศกเสียใจของครอบครัว "เนียมบุญนำ" กลับมายังประเทศบ้านเกิดอีกครั้ง "นักศึกษาอนาคตไกล" วลีหนึ่งที่ ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เอ่ยถึง น้องกาว หรือ น.ส.สโรชา เนียมบุญนำ อายุ 20 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ลูกศิษย์รั้วลูก
แม่โดม หลังทราบการจากไปของเธอ
น้องกาวเดินทางไปทำ
งานช่วงวันหยุดฤดูร้อน ตามโครงการเวิร์กแอนแทรเวล (work & travel) ที่เมืองกาลเวสตัน รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอมเริกา ทำงานที่ร้านอาหาร Gido เมื่อ 2 เดือนก่อน ในสภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง กระทั่งวันที่ 9 พฤษภาคม เธอเริ่มมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง และจากนั้นอีกเพียง 2 วัน สภาพร่างกายก็ทรุดลงอย่างรวดเร็ว เธอช็อคหมดสติจนต้องหามส่งโรงพยาบาล UTMB หรือ The University of Texas Medical Branch ประเทศสหรัฐอเมริกา
แพทย์หญิงทัศนีย์ จลไมตรี แพทย์ด้านกุมารเวชศาสตร์และพยาธิวิทยา โรงพยาบาล UTMB ลงความเห็นว่า เธอป่วยเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบฉับพลัน สมองถูกเชื้อแบคทีเรียทำลายไปหมด ไม่สามารถหายใจเองได้
พลันที่ทราบอาการ นายชาญชัย เนียมบุญนำ พ่อและ
แม่ของเธอ รีบเดินทางไปดูอาการลูกสาวและเตรียมรับตัวกลับมารักษาที่ประเทศไทย แต่แล้วไม่นานเด็กสาวร่าเริงก็จากไปจากอ้อมอก
หลังการเสียชีวิตของน้องกาว พ่อแม่ของเธอทำเรื่องพาร่างลูกสาวกลับมาบำเพ็ญกุศลที่ประเทศไทย โดยสารมากับเครื่องบินเที่ยวทีจี 795 มาถึงประเทศไทยเวลา 06.40 น. วันที่ 26 พฤษภาคม และเคลื่อนศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดเทพศิรินทราวาส
บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า มีบรรดาญาติพี่น้องและเพื่อนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มาร่วมพิธีกว่า 100 คน
"ยอมรับว่าการสูญเสียลูกสาวยังทำใจไม่ได้ ต้องใช้เวลาสักหน่อย มีหลุดร้องไห้บ้างเวลาที่อยู่คนเดียว เพราะคิดถึงน้องกาว ผมเสียดาย อยากเห็นน้องกาวประสบความสำเร็จ เพราะอีกแค่ปีเดียวก็จะจบแล้ว พ่อภูมิใจในตัวน้องกาวมาตลอดเวลา ครั้งล่าสุด น้องกาวบอกว่าตอนนี้
คะแนนได้เกียรตินิยมอันดับ 2 แล้ว และสัญญากับผมว่าอีก 1 ปีข้างหน้าจะคว้าเกียรตินิยมอันดับ 1 ให้ได้" ตอนหนึ่งของความรู้สึกจากพ่อถึงลูกสาวคนเก่ง พร้อมเล่าย้อนว่า
"น้องกาวเดินทางไปที่สหรัฐอเมริกาตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม ไปอยู่ที่รัฐเท็กซัส ทำงานที่ร้านอาหาร เพราะต้องการฝึกภาษา ได้สนทนาได้พูดคุยกับชาวต่างชาติ รวมทั้งหาประสบการณ์ ปีที่แล้วน้องกาวก็เดินทางไปรัฐนิวเจอร์ซีย์ ทำงานที่สวนสนุก ปีนี้ก่อนไปเตรียมตัวโดยการท่องภาษาและดูภาพยนตร์ต่างประเทศ ไม่ดูซับภาษาไทย เพื่อเตรียมตัวน้องกาวมีความตั้งใจสูง เป็นเด็กเก่ง นักกิจกรรมไม่ทำให้พ่อแม่เดือดร้อน ผมและญาติภูมิใจในน้องกาว ลูกเป็นคนดี"
พ่อน้องกาวเล่าถึงวันที่ทราบอาการป่วยของลูกสาวว่า ทราบข่าวจากตั้ม หรือ น.ส.หฤทัย บุญเลี่ยว ลูกพี่ลูกน้องของน้องกาว ที่ไปเรียนอยู่ที่ซานฟรานซิสโก ว่าน้องกาวป่วย ตอนแรกบอกว่าปวดหัวมีไข้ ตั้มเลยบินมาดูแลก่อน และพาไปรักษาที่คลีนิค แต่อาการไม่ดีขึ้น ต่อมาตั้มโทร.มาบอกว่าน้องกาวต้องนอนที่โรงพยาบาล สักระยะก็โทร.มา บอกว่าเข้าไอซียู สุดท้ายแพทย์บอกว่ามีโอกาสรอดเพียง 5 เปอร์เซ็นต์
"หลังจากทราบข่าวอยากเอาลูกกลับมารักษาที่ประเทศไทย จึงรีบเดินทางไปรับ แต่แพทย์บอกว่ายังไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้เพราะอยู่ในห้องไอซียู และการย้ายผู้ป่วยไอซียูมีค่าใช้จ่ายสูง กระทั่งน้องกาวเสียชีวิต แพทย์ระบุว่าเป็นโรคแบคทีเรียขึ้นสมอง โอกาสเป็นโรคนี้ 1 ใน 1 ล้านคน
"น้องกาวเป็นเด็กแข็งแรง เคยป่วยหนักเข้าโรงพยาบาลแค่ครั้งเดียวเมื่ออายุ 2-3 ขวบ เป็นโรคปอดบวม ปกติชอบลุย ชอบผจญภัย ร่าเริงแจ่มใส สนิทกับพ่อมาก เวลาไปไหนพอมาพบกันก็จะพนมมือไหว้ลงที่มือของพ่อ และหอมแก้มพ่อตลอด ผมผูกพันกับน้องกาวมาก"
ทั้งนี้ นายชาญชัยทิ้งท้ายเป็นอุทาหรณ์สำหรับเด็กไทยที่จะเดินทางไปศึกษาหรือไปทำงานในต่างประเทศว่า ขอให้ดูแลเรื่องสุขภาพให้ดี เพราะอยู่ที่โน่นสภาพอากาศไม่เหมือนกับบ้านเรา ต้องดูเรื่องสวัสดิการในการเดินทางต่างๆ ให้ดี ต้องดูว่ามีค่ารักษาพยาบาลเวลาเจ็บป่วยหรือเปล่า มีเงินประกันชีวิตหรือเปล่า เวลาเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้ใช้สิทธิเข้าโรงพยาบาลได้ทันที สามารถรักษาได้อย่างเต็มที่ เท่าที่ทราบส่วนมากบริษัทที่ส่งเด็กไปเรียนต่างประเทศจะไม่มีประกันชีวิตให้ และเบิกค่ารักษาพยาบาลได้น้อย อย่างกรณีน้องกาวมีค่ารักษาพยาบาลให้เพียง 3,000 เหรียญ หรือ 90,000 บาทเท่านั้น
ขณะที่ น้องเมย์ หรือ น.ส.พรกมล สิทธิเหล่าถาวร นักศึกษาคณะสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร ปี 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อนรักน้องกาวตั้งแต่ชั้นประถม เล่าว่า ทราบข่าวกาวป่วยหนักจากพี่ชาย คุยกันทางเอ็มเอสเอ็น ตอนแรกยังไม่เชื่อนึกว่าอำเล่น กระทั่งเข้าไปดูในเฟซบุ๊กถึงเชื่อว่าอาการหนักเข้าไอซียูและเสียชีวิต
"หนูรู้สึกตกใจ ช็อค ยังไม่เชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะกาวเป็นคนมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ ตอนนี้ทำใจได้บ้าง แต่ก็ยังมีร้องไห้คิดถึงตลอดเวลา เพราะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก เสียดายอีกแค่ 1 ปีจะได้ถ่ายรูปรับปริญญาด้วยกัน ฝากถึงเพื่อนคนนี้ว่ารักมาก ขาดกาวไปก็เหมือนขาดคู่ เป็นเพื่อนรักที่สุดในชีวิต ไม่ต้องเป็นห่วง ขอให้มีความสุข พร้อมขอให้ เพื่อนรัก คนนี้จากไปอย่างสงบ"
(ที่มา หนังสือพิมพ์มติชนฉบับวันที่ 27 พ.ค. 2554)ขอขอบคุณ