Super 8 ( วิบัติลับมรณะ ซูเปอร์ 8 ) .... 3 ดาว ....
...................................ผู้กำกับ เจเจ อับบรามส์ พิสูจน์ตัวเองในฐานะผู้กำกับสำหรับงานสองสามเรื่องที่ผ่านมาเรียบร้อยแล้วครับ หนังเรื่องนี้ก็คือหนังที่พิสูจน์ให้เห็นว่าพี่แกมีมาตรฐานในการทำงานคงที่ขนาดใหน จะเสียอย่างเดียวก็ตรง ดูเหมือนว่าร้อยละเกือบร้อยของคนดูหนังเรื่องซูเปอร์ 8 คงจะเห็นตรงกันว่า อิทธิพลของโปรดิวเซอร์อย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก มีกลบล้นตัวผกก.ซะหมดสิ้นเลยครับ ถ้าไม่ติดใจอะไรตรงนี้ก็ถือว่านี่คือหนังที่ดูได้เพลินๆเพียงแต่มองไม่เห็นลายเซ็นของ ผกก.อบรามส์ ก็เท่านั้น ? ตรงใหนบ้างล่ะเหรอ ก็ตลบอบอวลไปตั้งแต่ต้นจนจบครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการผจญภัยของกลุ่มเด็กที่มีปัญหา แต่เป็นพวกมีจินตนาการ พยายามทำตามความฝันของตัวเอง คิดบวก มองโลกในแง่ดี มีความสามารถ และพยายามเอาชนะอุปสรรคและแรงกดดันรอบด้าน แอคชั่นทริลเล่อร์ในแบบที่เหมือนจะสมจริง แต่แท้จริงแล้วเพ้อฝันมาก แล้วก็ออกแนวเหนือจริงแบบสุดๆ แต่ฉีกกฏเกณฑ์ด้านความน่าเชื่อถือและทำให้คนดูยอมรับในสูตรของหนังแนวนี้ไปได้อย่างกล้อมแกล้ม ? ทริลเล่อร์ในแบบ สปีลเบิร์ก คือ เห็นน้อยแต่ได้อารมณ์เยอะซึ่งสปีลเบิร์กก็รับอิทธิพลของ ฮิทช์ค๊อกมาอีกทอด ? ถ้าลองไปดูใน จูราสสิก ปาร์ค หรือ End of the worlds นี่เห็นได้ชัดๆ หลายฉากแทบจะก๊อปมากันเกือบทั้งซีนเลยทีเดียว ตรงนี้ถามว่าผิดใหม ไม่ผิดนะครับ เพียงแต่ในแง่ของความบันเทิงและการถ่ายทอดหนังให้ออกมาเร้าใจ ผมว่า สปีลเบิร์กมีเทคนิคที่เหนือชั้นและเจ๋งกว่า อับบรามส์ พอสมควรครับ !!
...................................Super 8 พูดถึงเทคโนโลยีการใช้กล้องแปดมิล ฟังดูเหมือนดี และมีเสน่ห์ที่มีการเอากลุ่มเด็กมาใช้กล้องแปดมิล ถ่ายหนังสั้นหรือถ่ายอะไรต่อมิอะไรแล้วเกิดไปเจอปรากฏการณ์ประหลาดเข้ากลางทาง แต่จริงๆแล้วลองนึกดูนะครับว่า ในโลกยุคดิจิตอลปัจจุบันมีเด็กคนใหนบ้างที่หยิบกล้องแปดมิลมาถ่ายกันน่ะครับ ถ้าจะมีก็คงมีแต่เด็กยุคสิบหรือยี่สิบกว่าปีก่อน ยุคผกก. อบรามส์ หรือผกก.สปีลเบิร์กยังเด็กนั่นแหละครับ สมัยนี้ถ้าจะมีเค้าก็ใช้ไอโฟด ไอพอด มือถือ หรือกล้องดิจิตอล หรือกล้องวีดีโอถ่ายหนังกันหมดแล้วครับ แปดมิลนั้นเอ๊าท์ไปนานแล้ว ถ่ายมาก็คงหาที่ล้างไม่ได้หรอกมั้ง การใช้กล้องแบบนี้ก็เป็นการชี้ชัดว่า ต้องการขายอารมณ์ถวิลหาอดีตให้กับกลุ่มผู้ชมที่เป็นกลุ่มคนดูผู้ใหญ่ที่มีอายุใกล้ 40 หรือเกิน 40 เท่านั้นแหละครับ !! เพราะถ้าเป็นเด็กอีกเจนเนอเรชั่นก็คงไม่รู้สึกอินอะไรกับกล้องถ่ายหนังประเภทนี้แน่ๆ เพราะฉะนั้นบอกได้เลยว่าหนังเรื่องนี้ เด็กๆรุ่นใหม่ดูคงจะไม่อินอะไรมากนัก แถมหนังที่เน้นเทคนิคพิเศษแบบเต็มๆ โชว์ฉากวินาศสันตะโรนั้นมีมากมาย ทำให้หนังที่เล่าเรื่องแบบให้คนต้องจินตนาการหรือเห็นแบบเม้มๆ โชว์แค่นิดๆหน่อยๆนั้น ย่อมทำให้คนดูกลุ่มวัยรุ่นผิดหวังอย่างแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์ แต่คนดูที่มีวุฒิภาวะสูงกว่า หรือคนประเภทที่มีจินตนาการหน่อย ชอบดูหนังแบบที่ต้องคิดไปด้วย โดยเฉพาะพวกผู้ใหญ่หัวใจเด็กจะชอบหนังเรื่องนี้แน่ๆครับ เพราะมันตอบสนองคนดูเฉพาะกลุ่มแบบไม่มีกั๊กจริงๆเลยครับ ถ้าคุณเป็นกลุ่มเป้าหมายก็รับรองว่าโดนเหมือนผม แต่ถ้าไม่ใช่ ก็อาจจะเข้าขั้นเกลียดหนังเรื่องนี้ไปเลยก็เป็นไปได้ ~
...................................ถ้าสังเกตรายละเอียดของเรื่องดีๆ นอกจากความตื่นเต้นระทึกขวัญในแบบฉบับของสปีลเบิร์กแล้ว หนังเรื่องนี้ก็พยายามที่จะวางตัวเองเป็นหนังดราม่าแบบ coming of age อีกด้วย โดยมีการปูพื้นอารมณ์ความสัมพันธ์ของตัวละคร มาแน่นหนาพอสมควรก่อนจะคลี่คลายตอนจบได้ดีทีเดียว แม้จะมีอะไรที่เว่อร์เกินจริงอยู่เยอะมากก็ตาม ซึ่งความพยายามดราม่าแบบในหนังเรื่องนี้ก็เป็นอะไรที่ดูบกพร่องโดยสุจริตเพราะคิดแบบเด็กๆอยู่หลายจังหวะมาก แต่อย่างว่าก็คือเราพร้อมที่จะให้อภัยได้ ในเมื่อเจตนาของคนทำมันบ่งชี้ว่า เค้าคิดแบบนั้นของเค้าจริงๆ หนังแบบนี้อารมณ์ฝรั่งที่เป็นผู้ใหญ่น่าจะถูกอกถูกใจนะครับ คนที่เคยมีครอบครัวย่อมจะเข้าใจความหมายของครอบครัว คนบางคนไม่เคยมีลูก แต่ปากดีทะลึ่งไปสอนวิธีการเลี้ยงลูกให้คนในเน็ทก็มีอยู่เยอะ คนพวกนี้แหละครับที่ไม่มีวันดูหนังเรื่องนี้สนุก เพราะประสบการณ์ชีวิตมีน้อย แต่ดั๊นไปโชว์โง่ อวดฉลาดกับคนที่เค้ารู้อะไรมากกว่า เพราะฉะนั้นที่ผมอยากจะพูดก็คือ หนังบางเรื่อง หรือเรื่องราวบางอย่าง ถ้าไปเล่าให้คนกลุ่มนึงฟัง ก็อาจจะไม่สามารถซึมซัมอารมณ์ และอรรรถรสได้เหมือนกับเล่าให้คนอีกกลุ่มซึ่งมีวุฒิภาวะต่างกันอยู่ก็เป็นได้ !! การดูหนังก็เหมือนกับการซึมซับศิลปะแขนงอื่นๆก็คือ คุณต้องมีภูมิรู้ และมีประสบการณ์ชีวิตบางอย่างอยู่บ้าง จะทำให้ภาพบางภาพ หรือเรื่องราวบางส่วนของชีวิตคนอื่นที่คุณเห็นบนจอ ทำให้คุณรู้สึกมีอารมณ์ร่วมด้วยอย่างน่าประหลาดใจ ? อ้อ แล้วจุดนึงที่ อบรามส์ มีแตกต่างจากสปีลเบิร์กคืออะไรรู้ใหมคับ ? สปีลเบิร์ก แกเป็นผู้กำกับที่กำกับคนดู แต่ อับรามส์ ยังเป็นแค่ผู้กำกับหนัง ยังมิสามารถกำกับคนดูให้คิด ให้รู้สึกได้อย่างสปีลเบิร์กเค้า .. แต่ในส่วนของหนังก็ต้องถือว่าทำได้น่าพอใจ และที่ผมชอบมากก็คือ เครดิตท้ายเรื่องที่เล่าได้มีอารมณ์ขันสุดๆ น่าเสียดายแทนคนที่ลุกออกจากโรงหนังไปซะก่อน
ป.ล. ชอบซับไตเติลแปลฝีมือคุณธนัชชา มาก โดยเฉพาะช่วงท้ายที่พ่อพูดประโยคว่า " I got you " เค้าแปลว่า " เรามีกันและกันนะ " โห น้ำตาเกือบร่วง นี่ถ้าเป็นนักแปลไม่มีเซ้นส์แปลตรงตัวออกมานี่ จืดเลยนะครับ ผมว่า ...
http://www.pandagroup.pantown.com/
