อ่านปัจจุบัน ทำนายอนาคต - ระบบไอที กับธุรกิจ SME แบบไทยๆ
เป็นที่รู้กันเราคาดเดาผลลัพธ์ในอนาคตได้จากประสบการณ์ในอดีตและสิ่งที่เห็นในปัจจุบัน ... และในวันนี้ผมก็จะขอลองท้ากระแสความร้อนแรงของคุณ Monmetis ด้วยการออกมา "ทำนาย" อนาคตของไอทีกับธุรกิจ SME ไทยในปีต่อๆ ไปให้ดู (555)
การรู้ว่าบางอย่างกำลังจะมาถึงแน่ๆ แค่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น นับเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง เห็นด้วยไหมครับ ... เสียดายที่ผมคงไม่สามารถใบ้หวย หรือบอกได้ว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้นหรือลง แต่อย่างน้อยผมจะลองเอาข้อมูลมาลองให้คิดวิเคราะห์กันเล่นๆ ดูว่า ต่อไปแล้วโฉมหน้าธุรกิจในอนาคตจะเป็นอย่างไรกันบ้าง ...
ในปี 2558 นั้น ประชาคมอาเซียนจะเปลี่ยนแปลงของโฉมหน้าธุรกิจ SME ในประเทศไทยไปสู่โลกการค้าเสรี ซึ่งผมฟังมาหลายคนแล้ว บางคนก็ว่าดียังงั้นยังงี้ บางคนก็ว่าแย่อย่างนั้นอย่างโน้น แต่อย่างหนึ่งที่คิดเหมือนกันทุกคนก็คือ รูปแบบการประกอบธุรกิจต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้พร้อมแข่งขันมากยิ่งขึ้น
แต่เอ๊ะ แล้วจะเปลี่ยนแปลงกันอย่างไรล่ะครับ ซึ่งผมก็คงไม่สามารถแจกแจงคำตอบกับทุกธุรกิจได้ครบในพื้นที่เพียงแค่นี้ เอาเป็นว่าผมจะยกตัวอย่างการวิเคราะห์ที่ผมเคยเขียนไว้ให้โรงพยาบาลดูเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์นะครับ
*** หมายเหตุ : การค้นหาข้อมูลเกิดขึ้นเมื่อ 1-2 เดือนที่แล้ว ดังนั้นอาจมีความคลาดเคลื่อนเล็กน้อย ***
โรงพยาบาลจำนวนมากมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง แต่กลับมีกิจกรรมการตลาด รวมถึงการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ทางอินเทอร์เน็ตในปริมาณที่น้อยจนน่าตกใจ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ
- เมื่อเราค้นหาใน google ด้วยคำว่า "โรงพยาบาล โรคหัวใจ" เราพบเว็บเพียง 1.35 ล้านเว็บไซต์ และในหน้าแรกของผลลัพธ์การค้นหา มีเว็บโรงพยาบาลจริงอยู่เพียง 2 จากทั้งหมด 10 เว็บไซต์
- เมื่อเราค้นหาใน google ด้วยคำว่า "โรงพยาบาล ศัลยกรรม" เราพบเว็บเพียง 1.29 ล้านเว็บไซต์ และในหน้าแรกของผลลัพธ์การค้นหา มีเว็บโรงพยาบาลจริงอยู่เพียง 5 จากทั้งหมด 10 เว็บไซต์
- เมื่อเราค้นหาใน google ด้วยคำว่า "ศัลยกรรม" เพื่อขยายขอบเขตการค้นหา เราพบเว็บเพิ่มขึ้นเป็น 5.3 ล้านเว็บไซต์ แต่ที่สำคัญคือ ในหน้าแรกของผลลัพธ์การค้นหา ไม่มีเว็บโรงพยาบาลจริงอยู่เลย
นอกจากนี้แล้ว เนื่องจากในปัจจุบัน มีลูกค้าจากต่างประเทศที่เข้ามารับการรักษาในประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ การทำเว็บไซต์ภาษาอังกฤษ เพื่อเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงตลาดลูกค้าต่างประเทศและฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่โรงพยาบาลพึงกระทำ แต่อย่างไรก็ตาม การประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ภาษาอังกฤษของโรงพยาบาลในไทยนั้นมีจำนวนน้อยมาก ดังตัวอย่างต่อไปนี้
- เมื่อเราค้นหาใน google ด้วยคำว่า “best Thailand hospital” และ “best Thai hospital” (ค้นหาพร้อมกับเครื่องหมาย quote ด้วย เพื่อค้นหาเว็บที่มีข้อความตรงกับคำที่ค้นแบบคำต่อคำ) เราพบเว็บเพียง 6 เว็บไซต์เท่านั้น (ใช่แล้วครับ หกเว็บเท่านั้น) และทั้ง 6 เว็บนั้นไม่ใช่เว็บของโรงพยาบาลเลย
- เมื่อเราค้นหาใน google ด้วยคำว่า “best Thailand hospital” (ไม่รวมเครื่องหมาย quote เพื่อขยายขอบเขตการค้นหา) แม้ว่าเราจะพบเว็บถึง 48 ล้านเว็บไซต์ แต่ในหน้าแรกของการค้นหานั้น มีเพียง 3 เว็บเท่านั้นที่เป็นเว็บของโรงพยาบาลจริง
จากที่กล่าวมานี้ เราเห็นได้ชัดถึงการนำอินเทอร์เน็ตมาใช้ประโยชน์ในเชิงการตลาดของโรงพยาบาลส่วนใหญ่ในประเทศไทย ที่ยังไม่สามารถทำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และยังไม่ได้รับการสนใจอย่างจริงจังนัก ทั้งๆ ที่การการตลาดทางอินเทอร์เน็ตสามารถเข้าถึงลูกค้าต่างชาติได้โดยตรงและรวดเร็ว ซึ่งนับเป็นประเด็นสำคัญที่ควรได้รับการพิจารณาเพื่อเริ่มต้นวางแผนและพัฒนาโดยเร็วที่สุด
เราทุกคนรู้ว่าเว็บไซต์เป็นตัวเปิดทางไปสู่โลกภายนอกได้เร็วและมีประสิทธิภาพ แต่ทำไมผลลัพธ์การค้นหาถึงได้กลับตาลปัตรกันถึงขนาดนี้ เราจะเปิดโรงพยาบาลให้คนภายในประเทศเพียงอย่างเดียวหรือ? แล้วเราจะแข่งขันกับบริการสุขภาพของต่างประเทศได้อย่างไร? ... ดังนั้นผมขอบอกเลยว่า เว็บไซต์ที่สำคัญอยู่แล้ว จะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นอย่างมากในอนาคต องค์กรแทบทุกขนาดจะเริ่มมีการแข่งขันในตลาดออนไลน์กันมากขึ้น (แม้ว่าในขณะนี้แทบไม่มีเลยก็ตาม) ซึ่งก็จะยากมากขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้นถ้าใครเป็นเจ้าของโรงพยาบาลอยู่ในตอนนี้ เริ่มทำตลาดของคุณผ่านสื่อออนไลน์ได้แล้วนะครับ (ต้องมีอย่างน้อยสองภาษา คือ ไทยและอังกฤษ -- แต่ถ้ามีจีนและสเปนได้ก็จะสุดยอดไปเลย) ยึดหัวหาดซะตั้งแต่ตอนนี้ แล้วผมรับรองว่าความสำเร็จอยู่ไม่ไกลแน่นอน (ในแต่ละเดือนมีคน 8 พันกว่าคนจากทั่วโลกค้นหาคำว่า "hospital in Thailand" ... และมีถึง 3 หมื่นกว่าคนหาคำว่า "bangkok hospital" หรือ "hospital bangkok" ... ซึ่งจำนวนนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน)
ส่วนอีกเรื่องที่จะทำนายก็คงไม่พ้นเจ้า Cloud Computing ที่ผมเคยพูดถึงไว้เมื่อนานมาแล้ว (ดังนั้นผมจะไม่อธิบายเจ้า Cloud แล้วนะครับ ใครสนใจก็ย้อนไปอ่านกันได้เองเลย) ... ในตอนนั้นผมยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามันกำลังจะ "มา" แต่ตอนนี้คำพูดของผมได้รับคำยืนยันจากข่าวที่บอกว่าแอ๊ปเปิ้ลได้นำเจ้า iCloud มาเปิดตัวในงาน WWDC ที่ผ่านมาไม่นานนี้
คราวนี้แหละครับ อะไรๆ ก็จะมาอยู่บน Cloud กันหมด (คนมันขี้เห่อนี่ครับ ทำไงได้ คงเหมือนตอนที่เราบ้าชาเขียวกันกระมัง 555) และธุรกิจต่างๆ ก็ต้องเริ่มปรับตัวให้เข้ากับเจ้าเทคโนโลยี Cloud นี้ให้ได้โดยเร็ว ซึ่งคงไม่ได้หมายถึงแต่ธุรกิจซอฟต์แวร์หรือไอทีเท่านั้นนะครับ ธุรกิจด้าน content ทั้งหลายก็ต้องเริ่มมีโมเดลธุรกิจให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ลักษณะนี้ด้วยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพลง หนัง ละคร และหนังสือ
ด้วยการที่แอ๊ปเปิ้ลมีทั้ง iPhone, iPad, iPod มาสนับสนุนการทำงานของ iCloud นั่นหมายถึงตลาด Cloud จะเริ่มหอมหวลมากยิ่งขึ้นเรื่อย (จริงๆ google ก็ทำด้าน Cloud ไปแล้วเช่นกัน) และมันจะเริ่มส่งผลกระทบต่อธุรกิจอื่นๆ ไปด้วยอย่างแน่นอน (อาจจะนึกไม่ออกในตอนนี้ แต่ลองนึกถึงอดีตดูนะครับ ใครจะไปรู้ว่าโทรเลขจะต้องปิดตัวไปเพราะการเกิดขึ้นของอีเมล์ เอเย่นต์ขายตั๋วเครื่องบินหลายรายก็เจ๊งไปเพราะสายการบินเริ่มหันมาขายตั๋วของตนเองผ่านเว็บออนไลน์ ฯลฯ) และถ้าถึงตอนนั้น เราจะยังปิดหูปิดตาบอกว่าไม่รู้จักเจ้า Cloud ก็คงไม่ดีใช่ไหมครับ
ลองนึกดูก็แล้วกันนะครับว่าทุกอย่างที่ผมพูดไปแล้วนั้นจะส่งผลกระทบอะไรกับธุรกิจของคุณ คิดเสียตั้งแต่ตอนนี้ แล้วเจ้าวิกฤติที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นมันจะกลายเป็นโอกาสทางธุรกิจถ้าเราเตรียมพร้อมรับมือมันไว้แต่เนิ่นๆ
ปัญหาก็คือ เจ้าโอกาสนั้นคืออะไรล่ะครับ .... แต่ละธุรกิจต่างก็มีโอกาสที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นเอง จงคิด วิเคราะห์ และก็คิดๆๆๆ เพื่อค้นหาโอกาสของคุณ เสร็จแล้วแชร์ให้ผมฟังบ้างก็ดีนะครับ :-)
