หน้า: 1

ชนิดกระทู้ ผู้เขียน กระทู้: “การจัดการที่ผิดพลาด” เป็นบทสรุปของภาคเอกชน...!!!  (อ่าน 180 ครั้ง)
add
เรทกระทู้
« เมื่อ: 11 พ.ย. 11, 15:57 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
Send E-mail

แบ่งปันกระทู้นี้ให้เพื่อนคุณอ่านไหมคะ?

ปิดปิด
 
รัฐผิดพลาดบริหารน้ำท่วม เอกชนแนะเร่งฟื้นเชื่อมั่นต่างชาติ

q*021q*021q*021




“การจัดการที่ผิดพลาด” เป็นบทสรุปของภาคเอกชน ที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักต่อการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาล

กรุงเทพธุรกิจ Green Report ฉบับที่ 6 ได้นำเสนอบทวิพากษ์ของภาคเอกชนต่อการบริหารจัดการน้ำท่วม ปี 54 ซึ่งนับเป็นภัยพิบัติร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งที่ประเทศไทย และคนไทยหลายล้านคนต้องเผชิญชะตากรรมร่วมกัน

นํ้าท่วมปี 2554 นับเป็นภัยพิบัติที่สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นรัฐผู้ประกอบการ และประชาชนเดินดินส่งผลให้หลายฝ่ายอดที่จะประเมินสาเหตุและมองไปถึงอนาคตของประเทศไทยในวันข้างหน้าอย่างเป็นห่วง ขณะเดียวกันก็หาวิธีการที่จะเดินไป โดยไม่ซ้ำรอยมหาภัยพิบัติในปีนี้

“การจัดการที่ผิดพลาด” เป็นบทสรุปของภาคเอกชน ที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักต่อการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาล พรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย บอกว่า นอกจากการบริหารที่ผิดพลาด แล้ว ยังมีการพูดคุยในวงกว้างถึง “ธรรมาภิบาล” ในการแก้ไขปัญหา น้ำท่วมของรัฐบาล ที่มีข้อสงสัยเกิดขึ้น ว่า เพราะเหตุใดจังหวัดหนึ่งที่ควรท่วม แต่น้ำกลับไม่ท่วม และไม่ใช่เอกชนในสภาหอการค้าอย่างเดียว แต่หันไปทางไหน เราก็ได้ยินแต่คนตำหนิรัฐบาลทั้งสิ้น เพราะ ประเด็นของปัญหาคราวนี้ไม่ใช่สถานการณ์ น้ำท่วม แต่เป็นเรื่องการจัดการ รวมถึง ยังมาจากการพยากรณ์และคำนวณที่ ผิดพลาด ทำให้ทุกฝ่ายปรับตัวไม่ทันการณ์


q*021q*021q*021
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า

กระทู้ฮอตในรอบ 7 วัน

Tags:
add
เรทกระทู้
« ตอบ #1 เมื่อ: 11 พ.ย. 11, 15:59 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 


นอกจากนี้ ยังมีประเด็นการให้ ความจริงกับสาธารณชน เนื่องจากน้ำท่วม เป็นภัยพิบัติร้ายแรงที่ต้องให้ความจริงกับประชาชน แต่ที่ผ่านมามีข้อสงสัยว่าเป็นเพราะสาเหตุที่เกิดความเสียหายคืออะไรกันแน่ ระหว่าง “รู้จริงแล้วไม่พูดหรือไม่รู้จริง และพูดไม่จริง” แต่ที่หนักที่สุด คือ พูดแล้วไม่มีคนเชื่อถือ และหากข้อสงสัยเรื่องธรรมาภิบาลเป็นจริงว่ามีการจัดการน้ำท่วมที่เอื้อประโยชน์ให้บางจุด ก็ต้องสรุปได้เลยว่า “เลวมาก” เพราะน้ำท่วมครั้งนี้เป็นภัยพิบัติของชาติ

“การจัดการที่ผิดพลาดที่ผ่านมาสะท้อนได้ว่ารัฐไม่มีประสิทธิภาพในการจัดการ ซึ่งหลายคนคงไม่ว่าอะไร หากเรามีผู้นำที่ไม่เก่ง แต่มีทีมที่เก่ง แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรเลย” พรศิลป์ กล่าว พร้อมกับย้ำว่าความน่าเชื่อถือที่หดหายไป ทำให้ภารกิจที่ควรเป็นของรัฐตกไปอยู่กับส่วนอื่นแทน อย่างการให้ข้อมูลจะพบว่าตอนนี้คนส่วนใหญ่เชื่อข้อมูลที่มาจากสื่อมากกว่าส่วนข้อมูลของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) กลายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสื่อเท่านั้น เท่ากับเราเสียทรัพยากรชาติไปโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งบุคลากร และเวลา

“ความจริงแล้วนายกรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง แต่ที่เราได้เห็น คือ ทุกคนในรัฐบาลต่างคนต่างพูด” พรศิลป์ สรุปอีกครั้งจะทำอย่างไรจึงจะเรียกความเชื่อถือและเชื่อมั่นที่สูญเสียไปให้กลับคืนมาคำแรกที่นายกรัฐมนตรีจะต้องประกาศออกไปหลังจากสถานการณ์เบาบางลงแล้ว ก็คือ “ประเทศไทยต้องไม่มีน้ำท่วมอีก”

q*021q*021q*021

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Tags:
add
เรทกระทู้
« ตอบ #2 เมื่อ: 11 พ.ย. 11, 15:59 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

พรศิลป์ บอกว่า การประกาศชัดดังกล่าวจะช่วยให้ความเชื่อมั่นกลับคืน เพราะปัจจุบันนักลงทุนไม่มั่นใจการลงทุนในประเทศไทยสูงมาก โดยเฉพาะนักลงทุนญี่ปุ่น เนื่องจากน้ำท่วมได้ส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง ขณะที่การทำประกันภัยก็ไม่ครอบคลุม

“แม้ต้องใช้เวลา 5-10 ปี ก็ต้องประกาศออกไป เพื่อให้เป็นเป้าหมายสูงสุด เพราะต้องเริ่มต้นทำตั้งแต่วันนี้แล้ว นอกจากการประกาศจะเรียกความเชื่อมั่นแล้ว ยังเป็นการส่งสารไปสู่การทำ แผนปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการจัดสรรงบประมาณมาดำเนินการอย่างจริงจัง ขณะเดียวกันก็ต้องรายงานผลเป็นระยะๆ เพื่อให้นักลงทุน และประชาชนได้รู้ว่ารัฐบาลได้ทำอะไรไปแล้ว” พรศิลป์ กล่าว

การปรับตัวของภาคเอกชนนั้น ก็สำคัญเช่นเดียวกันที่จะทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ พรศิลป์ ให้ข้อมูลว่า ตอนนี้เอกชนต่างกำลังวางแผนที่จะหาทางป้องกันภัยน้ำท่วมในอนาคตไว้แล้ว เช่น การลงทุนเพิ่มเพื่อทำคันคอนกรีตเสริมรอบโรงงานอย่างไรก็ตามเอกชนก็สามารถป้องกันได้ระดับหนึ่งเท่านั้น จำเป็นต้องอาศัยรัฐในการป้องกันในภาพรวมด้วย แต่ที่ขาดไม่ได้ คือ มาตรการเยียวยาต่างๆ ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่นอกเหนือจากจัดเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้ผุู้ประกอบการ เช่น ตั้งกองทุนช่วยเหลือแรงงานที่ตกงาน เป็นต้น

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Tags:
add
เรทกระทู้
« ตอบ #3 เมื่อ: 11 พ.ย. 11, 16:00 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 


สำหรับสภาหอการค้านั้น กำลังหารือที่จะวางระบบการป้องกันภัยน้ำท่วมในภาพรวมของประเทศ เพื่อเสนอรัฐบาล โดยมองว่าแผนการจัดการน้ำท่วมในปี 2550สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ร่างไว้แล้วแต่ยังไม่ได้นำมาใช้ควรถูกนำมารื้อฟื้นใหม่ ซึ่งหากรัฐบาลตั้งใจจะดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อป้องกันภัยพิบัติ ทางหอการค้าทั่วประเทศก็พร้อมให้ความร่วมมือ

ส่วนข้อเสนอเรื่องการจัดเก็บภาษีน้ำท่วมในพื้นที่ที่รัฐต้องลงทุนสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมนั้น พรศิลป์ บอกว่าคงต้องทำให้เอกชนเห็นประโยชน์ก่อน และต้องแยกแยะชัดเจนว่าใครได้ประโยชน์อย่างไรส่วนการโยกย้ายที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรมหรือโรงงานที่อาจตั้งขวางทางน้ำ หรืออยู่ในพื้นที่เสี่ยงนั้น ต้องหารือกันค่อนข้างมาก โดยต้องพิจารณาความคุ้มค่า และผลกระทบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง แต่ยอมรับว่าภัยพิบัติที่เกิดขึ้น ทำให้เอกชนพร้อมที่จะหารือในทุกเรื่อง เพียงแต่รัฐบาลต้องจริงจังที่จะแก้ไขปัญหา

ขจรศักดิ์ มหคุณวรรณ ที่ปรึกษานิคมอุตสาหกรรมโรจนะ ตอบประเด็นนี้เพิ่มเติมว่า นิคมฯ โรจนะ ก่อตั้งมา 20 ปีแล้ว สภาพพื้นที่ และปัจจัยต่างๆ ในอดีตกับปัจจุบันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และเห็นว่าลำดับแรกต้องหาสาเหตุที่แท้จริงก่อนว่าความเสียหายจากภัยพิบัติครั้งนี้เกิดจากอะไร “หากสาเหตุเป็นเพราะที่ตั้งนิคมฯ ต่างๆ อยู่ขวางทางน้ำ หรือเป็นที่ต่ำยากต่อการป้องกัน ก็มีความเป็นไปได้ที่จะโยกย้าย แต่ความจริงแล้วสาเหตุของปัญหามีหลายมิติ” ขจรศักดิ์ กล่าว

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Tags:
add
เรทกระทู้
« ตอบ #4 เมื่อ: 11 พ.ย. 11, 16:01 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 


สำหรับการฟื้นฟูนิคมฯ โรจนะ นั้นกว่าที่น้ำจะเริ่มลดคงประมาณสิ้นเดือน ต.ค.2554 และหลังจากนั้นจะเริ่มสูบน้ำออก โดยใช้เวลาประมาณ 1 เดือน และจะเริ่มเข้าไปปรับปรุงนิคมฯ คาดว่าในเดือน ธ.ค. จะเริ่มจ่ายน้ำและไฟฟ้า และส่งมอบพื้นที่ เพื่อให้แต่ละโรงงานฟื้นฟูต่อไป ขณะเดียวกันกำลังออกแบบสร้างผนังคอนกรีตสูง 6.50 เมตรความยาว 67 กม. รอบนิคมฯ คาดว่าใช้เงินประมาณกว่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งคงต้องให้รัฐบาลเข้ามาช่วยสนับสนุน

“การวางระบบป้องกันของนิคมฯคงจะช่วยนักลงทุนที่ประกอบการอยู่แล้วและนักลงทุนใหม่ให้มั่นใจ ซึ่งประเด็นนี้สำคัญมาก เพราะนิคมฯโรจนะยังมีพื้นที่เหลือขายกว่า 100 ไร่” ขจรศักดิ์ กล่าว และนอกจากป้องกันตัวเองแล้ว การจัดการภายนอกนิคมฯที่เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลก็สำคัญมาก ทั้งระบบป้องกันน้ำรวมถึงการวางแผนการผันน้ำ และระบายน้ำอย่างเป็นระบบ ซึ่งหากไม่มีจุดนี้อีกก็เท่ากับล้มเหลว

ขณะเดียวกันรัฐบาลจะต้องบูรณาการข้อมูล และการทำงานใหม่ หลังจากที่กลไกรัฐสูญเสียไปจากวิกฤติในครั้งนี้ โดยทุกฝ่ายต้องมุ่งทำงานอย่างเห็นผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นหลัก และเมื่อมีการจัดการข้อมูลที่ดีแล้ว การเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพก็จะตามมา นอกจากนี้ทุกฝ่ายต้องมองให้ไกล และทำเป็นระยะยาว เพราะทุกคนมั่นใจว่าภัยพิบัติจะรุนแรงมากขึ้น

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Tags:
add
เรทกระทู้
« ตอบ #5 เมื่อ: 11 พ.ย. 11, 16:02 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 


ขณะที่นิคมอุตสาหกรรมนวนครซึ่งได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมอย่างหนักเช่นเดียวกัน นิพิฐ อรุณวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการนิคมฯนวนครบอกว่า สำหรับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้านั้น ระบบถนน ประปา ระบบส่งน้ำ และไฟฟ้าจะต้องลงทุนทำใหม่ทั้งหมด ซึ่งหลายโรงงานคาดว่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 4-5 เดือน ขณะเดียวกันก็มีแผนที่จะทำเขื่อนคอนกรีตถาวรระดับความสูงมากกว่า 6.5 เมตร เพราะคิดว่าระดับนี้จึงจะปลอดภัยจาก น้ำท่วมในอนาคต เพราะคันดินที่เราเสริมขึ้นไปใหม่ในช่วงน้ำท่วมพังทั้งหมดดังนั้นจึงต้องวางระบบป้องกันที่แข็งแรงมากขึ้น และระบบอื่นๆที่เกี่ยวข้อง รวมถึงวางมาตรการรับมือกรณีฉุกเฉิน เช่น การมีระบบไฟฟ้าสำรอง เป็นต้น

สำหรับภาพรวมในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลที่ผ่านมานั้น นิพิฐ บอกว่ามีคำถามหนึ่งที่รุนแรงของนักลงทุน คือคนของรัฐบาลได้ทำอะไร ใช้คนที่เก่งหรือไม่ คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงได้ให้ข้อมูลที่เป็นความจริงกับผู้บริหารสถานการณ์หรือไม่ เพราะในการบริหารจัดการภัยพิบัติร้ายแรงที่กระทบกับประชาชนโดยตรงนั้น หากขาดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการจะเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง ที่น่าตกใจคือ นักลงทุนญี่ปุ่นหลายบริษัทกำลังคิดจะย้ายฐานการผลิตออกไป เพราะเริ่มไม่มั่นใจการบริหารจัดการของรัฐบาล และอีกหลายบริษัทได้รับความเสียหายอย่างหนักจนอาจไม่สามารถกลับมาประกอบการได้


“นักลงทุนมองว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ใช่ภัยธรรมชาติอย่างเดียว แต่มาจากการบริหารก็ผิดพลาด และยังไม่พูดความจริงกันอีก” นิพิฐ กล่าว

เขา ยกตัวอย่างให้ฟังว่า ได้มีการประเมินไว้ก่อนว่าน้ำระดับ 4.8 เมตร เราจะไม่กระทบมาก เพราะมีแนวป้องกันสูงกว่า5 เมตร และเราก็มีการต่อรองถึงเส้นทางระบายน้ำที่เหมาะสม เพื่อลดกระทบ แต่สุดท้ายก็บริหารจัดการโดยนำน้ำเทลงมาในแนวนี้ทั้งหมด ทำให้นิคมฯ เสียหายอย่างรุนแรงติดต่อกัน 6-7 นิคม และมาถึง กทม.ในที่สุด และความจริงแล้วก่อนหน้านี้ได้เคยเสนอถึงแนวทางการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจัง

นิพิฐสรุปบทเรียนทิ้งท้ายว่า ความผิดพลาดเกิดขึ้นมี 2 จุดด้วยกัน คือ 1.ได้ตัดสินใจทำ ในสิ่งที่ควรทำ หรือไม่ 2.ไม่มีใครสั่งใครได้จริง และไม่ชัดเจนว่าใครจะฟังใคร 3. การประชุมในห้องกับการปฏิบัติก็ไม่ใช่เรื่องเดียวกันเลย

http://bit.ly/uNSkCw
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Tags:
Guest
นะฮะ
เรทกระทู้
« ตอบ #6 เมื่อ: 12 พ.ย. 11, 17:51 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

หลังจากเกิดข้อถกเถียงกันอย่างหนักถึงภัยพิบัติจากธรรมชาติที่ประเทศไทยอาจต้องเจอในอนาคต ไม่ว่าจะแผ่นดินไหว พายุถล่ม น้ำท่วมหนัก รวมถึงที่สร้างความหวาดวิตกให้กับคนที่อยู่อาศัยตามแนวชายฝั่งทะเลคือ การเกิดคลื่นยักษ์สึนามิเข้าถาโถมถล่มชายฝั่งเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับแนวชายฝั่งทะเลอันดามันของไทยเมื่อ 6 ปีก่อนนั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.53 หลังได้รับการเปิดเผยจาก ดร.พิจิตต รัตตกุล ผอ.บริหารองค์กรเตรียมความพร้อมภัยพิบัติแห่งเอเชีย กล่าวถึงภัยธรรมชาติที่อาจจะเกิดขึ้นในปี 2554 ว่า ขณะนี้ไทยกำลังได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์ลานินญ่า ที่เริ่มจากปีที่แล้วไปจนถึงต้นปี 2554 ส่งผลให้ปีใหม่นี้ปริมาณน้ำจะไม่น้อยไปกว่ารอบครึ่งปีแรกของปี 2553 ฉะนั้นการเก็บน้ำในเขื่อนต้องเตรียมการให้ดี มิฉะนั้นจะเกิดภัย เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนกลางปีอาจจะเกิดน้ำท่วมเสียหายใน 51 จังหวัด 546 อำเภอเช่นเดียวกับปี 2553 ส่วน กทม. ต้องเตรียมรับมือน้ำขนาดปริมาณ 4,000-4,200 ลูกบาศก์เมตร/วินาที จากภาคเหนือที่จะโถมเข้าสู่ กทม. เหมือนปี 2553 ซึ่งปกติ กทม.จะรับน้ำได้เพียง 3,200 ลูกบาศก์เมตร/วินาที จะทำอย่างไรไม่ให้จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และสมุทรปราการ ได้รับความเดือดร้อนน้อยลงกว่าปีที่แล้ว

ดร.พิจิตตกล่าวถึงภัยจากดินถล่มด้วยว่า ช่วง 20 ปีที่ผ่านมา มีจำนวนพื้นที่เสี่ยงมากถึง 2,700 แห่ง ในปีกระต่ายภาคเหนือ โดยเฉพาะที่ลาดเชิงเขามีโอกาสเสี่ยงมาก ฉะนั้นต้องให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่เพื่อเตรียมรับมืออย่างจริงจัง ภัยจากแผ่นดินไหวคลื่นยักษ์นั้นเมืองไทยอยู่รายล้อมด้วยเพื่อนบ้านที่มีรอยเลื่อนของแผ่นดินทั้งสิ้น โดยเฉพาะพม่าและอินโดนีเซีย มีการเคลื่อนของรอยเลื่อนรุนแรงกว่า 10 ครั้ง ในรอบ 5-6 ปี และส่งผลถึงบ้านเรา จะต้องจับตารอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ และรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ ที่ห่างจาก กทม.ประมาณ 300 กม. เพราะหากเกิดแรงสั่นสะเทือนจะส่งผลถึง กทม.ได้ และต้องเฝ้าระวังเขื่อนในจังหวัดกาญจนบุรี ที่อาจจะได้รับความเสียหายและเกิดน้ำทะลักไหลเข้าท่วมกาญจนบุรี นครปฐม นนทบุรี และ กทม.

ผอ.บริหารองค์กรเตรียมความพร้อมภัยพิบัติแห่งเอเชียกล่าวอีกว่า ส่วนภัยจากคลื่นยักษ์สึนามิในบ้านเรานั้น ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ ต้องอาศัยประวัติความถี่ของการเกิดแผ่นดินไหวในบริเวณหมู่เกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย และระบบเตือนภัยหลังแผ่นดินไหวในห้วงเวลาที่คลื่นยักษ์เดินทางเท่านั้น ส่วนฝั่งแปซิฟิกนั้น แม้ฟิลิปปินส์ที่มีการเคลื่อนตัวของชั้นดินบ่อยครั้งและมีภูเขาไฟอาจจะส่งผลคลื่นยักษ์เข้าสู่อ่าวไทยได้เช่นกัน แต่เนื่องจากความตื้นของน้ำละแวกนี้จะทำให้อานุภาพของคลื่นยักษ์น้อยกว่าเมื่อเทียบกับคลื่นยักษ์ฝั่งอันดามัน สำหรับพื้นที่เสี่ยงภัยจากสึนามิ ยังคงเป็นชายฝั่งอันดามันตั้งแต่ระนอง กระบี่ พังงา ภูเก็ต ตรัง สตูล การให้ความรู้และซักซ้อมการหนีภัย จึงต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับภัยจากพายุ ที่นับวันจะมีความถี่ความรุนแรงมากขึ้น และอาจมีปัญหาเรื่องทิศทางที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ ดังนั้น เดือน ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย.ของปี 2554 เป็นเดือนที่ต้องจับตาดูพายุที่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยอย่างใกล้ชิด

"โดยสรุปในปี 2554 เหตุการณ์ความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น ขอกำหนดค่าความเสี่ยงโดยสูงสุดมีตัวเลข 10 จะขอคาดการณ์ว่า น้ำจะท่วมมีอัตราความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 8 ความแห้งแล้งมีความเสี่ยงระดับ 5 ดินถล่มมีอัตราความเสี่ยงสูงระดับ 5 แผ่นดินไหวคลื่นยักษ์ระดับ 6 เช่นเดียวกับความรุนแรงของพายุความเสี่ยงระดับ 6 ขอสนับสนุนให้เตรียมรับมือแต่เนิ่นๆ" ดร.พิจิตตกล่าว


รัฐบาลไทยในปี 2553-54 ไม่เคยมีแผนการอะไรที่เกี่ยวกับภาวะอุทกภัยใหญ่เลย....ทั้ง ๆ ที่มีผู้ร้องเตือนแล้วและในปี 53 กได้เกิดอุทกภัยใหญ่อย่างหนักหน่วงมาแล้วทั้งในภาคกลางและภาคอีสานและภาคใต้...

นี่คือการบริหารบ้านเมืองอย่างไรกัน..????...!!!!!
q*031q*032q*033q*039
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Tags:
add
เรทกระทู้
« ตอบ #7 เมื่อ: 12 พ.ย. 11, 18:45 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ข้อมูลแบบนี้เสื้อแดงไม่เชื่อหรอกครับ ผมเลยไปเอาข้อมูลสื่อแดงมาลงประกอบด้วย http://www.thairath.co.th/content/pol/214535

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Tags:
Tags:  

หน้า: 1

 
ตอบ

ชื่อ:
 
แชร์ไป Facebook ด้วย
กระทู้:
ไอค่อนข้อความ:
ตัวหนาตัวเอียงตัวขีดเส้นใต้จัดย่อหน้าชิดซ้ายจัดย่อหน้ากึ่งกลางจัดย่อหน้าชิดขวา

 
 

[เพิ่มเติม]
แนบไฟล์: (แนบไฟล์เพิ่ม)
ไฟล์ที่อนุญาต: gif, jpg, jpeg
ขนาดไฟล์สูงสุดที่อนุญาต 20000000 KB : 4 ไฟล์ : ต่อความคิดเห็น
ติดตามกระทู้นี้ : ส่งไปที่อีเมลของสมาชิกสนุก
  ส่งไปที่
พิมพ์อักษรตามภาพ:
พิมพ์ตัวอักษรที่แสดงในรูปภาพ
 
:  
  • ข้อความของคุณอยู่ในกระทู้นี้
  • กระทู้ที่ถูกใส่กุญแจ
  • กระทู้ปกติ
  • กระทู้ติดหมุด
  • กระทู้น่าสนใจ (มีผู้ตอบมากกว่า 15 ครั้ง)
  • โพลล์
  • กระทู้น่าสนใจมาก (มีผู้ตอบมากกว่า 25 ครั้ง)
         
หากท่านพบเห็นการกระทำ หรือพฤติกรรมใด ๆ ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รวมถึง การใช้ข้อความที่ไม่สุภาพ พฤติกรรมการหลอกลวง การเผยแพร่ภาพลามก อนาจาร หรือการกระทำใด ๆ ที่อาจก่อให้ผู้อื่น ได้รับความเสียหาย กรุณาแจ้งมาที่ แนะนำติชม