หน้า: 1

ชนิดกระทู้ ผู้เขียน กระทู้: 5 นักธุรกิจแห่งปี' 54...!!!  (อ่าน 134 ครั้ง)
add
เรทกระทู้
« เมื่อ: 29 ธ.ค. 11, 20:34 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
Send E-mail

แบ่งปันกระทู้นี้ให้เพื่อนคุณอ่านไหมคะ?

ปิดปิด
 
5 นักธุรกิจแห่งปี' 54...!!!

q*021q*021q*021



- ผู้สร้างปรากฎการณ์เขย่าวงการครั้งใหญ่ในธุรกิจอุตสาหกรรม / วัสดุก่อสร้าง / อสังหาริมทรัพย์ / ค้าปลีก / โทรคมนาคม / โรงพยาบาล

- จุดเปลี่ยนธุรกิจไทยสู่การเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

- เรียนรู้แนวคิดการบริหารและการพลิกแพลงกลยุทธ์รับมือภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ และภัยพิบัติ

- ยุทธศาสตร์เตรียมรับมือทุนข้ามชาติยุคเปิดเสรีอาเซียน 4 ปีข้างหน้า

ปี 2554 จัดเป็นแห่งการเปลี่ยนแปลง เกิดปรากฎการณ์ใหญ่ ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง ภัยพิบัติ รวมถึงธุรกิจใหญ่ ที่ส่งแรงกระเพื่อมแทบทุกธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แวดวง อุตสาหกรรม อสังหาริมทรัพย์ ไอที ค้าปลีก และโรงพยาบาลที่จัดว่า เป็นบิ๊กมูฟ และบิ๊กดีลแห่งปี ที่สำคัญ อันทำให้องค์กร ธุรกิจดังกล่าวผ่านพ้นมรสุมลูกแล้วลูกเล่าไปได้ด้วยดี นั่นเป็นเพราะ การมีวิสัยทัศน์อันยาวไกล แนวคิด และชั้นเชิงการบริหารจัดการของผู้นำองค์กรเหล่านี้







q*021q*096q*021





noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า

กระทู้ฮอตในรอบ 7 วัน

Tags:
add
เรทกระทู้
« ตอบ #1 เมื่อ: 29 ธ.ค. 11, 20:44 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
กานต์ ตระกูลฮุน ผู้นำองค์กรสู่ “ความยั่งยืน”



เครือซิเมนต์ไทย หรือ SCG ในยุคของ กานต์ ตระกูลฮุน สังคมธุรกิจอุตสาหกรรมได้เห็นบทบาทการขับเคลื่อนองค์กรตามทิศทางที่กำหนดวิสัยทัศน์ไว้ว่า “ภายในปี 2558 เอสซีจี จะเป็นผู้นำทางธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียน ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง เป็นองค์กรที่ได้รับการยอมรับในฐานะองค์กรแห่งนวัตกรรมที่น่าร่วมงานด้วย และเป็นแบบอย่างด้านบรรษัทภิบาล และการพัฒนาอย่างยั่งยืน”

นั่นเป็นวิสัยทัศน์เชิงยุทธศาสตร์ที่ชี้นำทิศทางการดำเนินธุรกิจที่ต้องมีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และคุณธรรมรองรับพร้อมทั้งได้กำหนดกลยุทธ์ 2 ข้อเพื่อให้บรรลุสู่วิสัยทัศน์ดังกล่าว คือ 1.การขยายงานไปในภูมิภาคอาเซียน 2.การพัฒนาสู่สินค้าและบริการที่เป็น High Value ที่สูงทั้งคุณค่าและมูลค่า

พัฒนา “คน” ให้เป็นกลไกสู่การเติบโต

การปฐมนิเทศพนักงานใหม่ของเอสซีจีทุกรุ่นซึ่งใช้ระยะเวลา 1 เดือน “พี่กานต์” ที่ทุกคนในองค์กรเรียกขานจะเป็นครูคนแรกของน้องๆ ทำหน้าที่ถ่ายทอดวิสัยทัศน์ และอุดมการณ์ 4 ในการดำเนินธุรกิจ และในวันสุดท้ายของโปรแกรมพี่กานต์ก็จะมาใช้เวลากับน้องๆ อีกครั้ง เพื่อแบ่งปันประสบการณ์การทำงาน และการใช้ชีวิต รวมถึงเปิดโอกาสให้ทุกคนได้พูดคุยและตอบข้อสงสัยทุกข้อด้วยความเป็นกันเองแบบพี่ๆน้องๆ นอกจากนี้ การอบรมพนักงานในหลักสูตรสำคัญๆ กานต์ ก็จะจัดเวลามาพูดคุยแลกเปลี่ยนทรรศนะกับน้องๆ เอสซีจี พร้อมทั้งเล่าสถานการณ์ทางธุรกิจ ประสบการณ์ทำงาน ไปจนถึงการตอบคำถามในทุกๆเรื่อง

วัฒนธรรมการสร้าง “คน” เอสซีจี คือ การสร้างคน “เก่งและดี” อย่างเป็นกระบวนการ ตั้งแต่ขั้นตอนสรรหา ไปจนถึงการพัฒนาศักยภาพ ด้วยหลักสูตรอบรมในทุกระดับชั้น ให้ทุนการศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังให้โอกาสพนักงานให้มีเส้นทางการเติบโตที่ชัดเจนภายในเครือข่ายธุรกิจที่มีอยู่กว่า 200 บริษัท สามารถให้โอกาสพนักงานได้หมุนเวียนสายงานเพื่อการเรียนรู้ได้อย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง

ในฐานะผู้บริหารสูงสุด หรือซีอีโอ กานต์มีการเดินสาย เพื่อพบปะเยี่ยมเยือนกับพนักงานในเครือข่ายธุรกิจที่มีอยู่ทั้งในไทยและในต่างประเทศทุกปี แต่ละแห่งกานต์จะลงไปตรวจเยี่ยมและพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รับฟังข้อเสนอแนะ และปัญหาจากพนักงานทุกระดับ เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไข โดยเฉพาะเรื่องนวัตกรรมทางความคิด และแนวทางปฏิบัติใหม่ๆ ที่สามารถนำไปใช้กับส่วนอื่นๆ เช่น กระบวนช่วยลดต้นทุน การผลิต หรือเวลา ตลอดจนการคิดสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จากการปฏิบัติจริง

สร้างแบรนด์ “เอสซีจี” ให้แข็งแกร่ง

การบริหารจัดการแบรนด์ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญก็คือการเปลี่ยนจาก “เครือซิเมนต์ไทย” เป็น “เอสซีจี” เป็นการเสริมความแกร่งให้แบรนด์ของกลุ่มธุรกิจ โดยใช้ชื่อเรียกนำหน้าด้วย “เอสซีจี” เช่น เอสซีจี ซิเมนต์ เอสซีจี เคมิคอลส์ เอสซีจี เปเปอร์ เอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จากนั้นก็บริหารจัดการแบรนด์ย่อยของแต่ละกลุ่มธุรกิจ เช่น การรวมแบรนด์คอตโต้ รวมแบรนด์ “ตราช้าง” ซึ่งเป็นแบรนด์สินค้าวัสดุก่อสร้างที่เป็นที่รู้จักกันมานานให้เป็นหนึ่งเดียว

เป้าหมาย ที่เอสซีจีตั้งไว้ คือต้องแข่งขันเพื่อชิงความเป็นผู้นำ โดยเจาะกลุ่มตลาดที่ยังมีโอกาสขยายให้เติบใหญ่ในอาเซียน จึงพัฒนาสินค้า ยกระดับคุณภาพ และมาตรฐานให้สูงขึ้น แล้วใส่นวัตกรรมที่องค์กรมีอยู่ เพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และที่สำคัญ คือ มีแบรนด์ “SCG” เข้าไปทำความรู้จักในตลาดอาเซียน นับเป็นการเปิดตลาดอุตสาหกรรมระดับภูมิภาค ก่อนจะขยายไปสู่ตลาดโลก

ชูนวัตกรรมที่มีมูลค่าเพิ่ม สร้างเทคโนโลยีของตัวเอง

กานต์มักบอกกับพนักงาน ว่าไม่เพียงแต่สร้างแบรนด์ “เอสซีจี” ต้องสร้างเทคโนโนโลยีของตัวเอง จึงต้องคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ผลก็คือ เมื่อปี 2547 ที่เอสซีจีตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นองค์กรนวัตกรรมนั้น มีสินค้า HVA หรือหมวดที่มีมูลค่าสูงแค่ 4 เปอร์เซ็นต์ของรายได้รวมแต่ปัจจุบัน สัดส่วนสินค้า HVA ได้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์แล้ว

ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เพราะผู้นำองค์กรยืนยันการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่มุ่งมั่นสร้างประโยชน์สูงสุดต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ในแต่ละปีลงทุนด้านลิ่งแวดล้อม กว่า 1,000 ล้านบาท นอกจากการสนับสนุนสังคมและชุมชนอีกประมาณปีละกว่า 400 ล้านบาท

การพัฒนาสินค้า แสดงจุดยืนเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เอสซีจี อีโคแวลู (SCG Eco Value) เป็นการตอบโจทย์ผู้บริโภคและชี้นำผู้บริโภคว่า นับจากนี้ไปจะต้องมาช่วยกันดูแลโลกด้วยกัน

จากการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development- SD) อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ส่งผลให้ SCG ได้รับการประเมินและจัดอันดับในดัชนีวัดประสิทธิผลการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนดาวน์โจนส์ หรือ DJSI ให้เป็นองค์กรชั้นนำระดับ Gold Class ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 ตั้งแต่ปี 2551 ถึง 2554 โดยในปีนี้ SCG ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็น World Sector Leader โดยมีคะแนนเป็นอันดับ 1 ของธุรกิจวัสดุก่อสร้างด้วย

q*021q*021q*021
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Tags:
add
เรทกระทู้
« ตอบ #2 เมื่อ: 29 ธ.ค. 11, 20:44 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ริเริ่มความร่วมมืออุตสาหกรรมในระยอง

ในช่วงปลายปี 2552 หลังจากที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งระงับ 76 โครงการในมาบตาพุด อุตสาหกรรมหลายแห่งทั้งของผู้ประกอบการในประเทศและต่างประเทศต้องหยุดชะงัก

กานต์ มีแนวคิดที่จะชักชวนผู้ประกอบการรายใหญ่ในมาบตาพุดมาร่วมกันพัฒนาอุตสาหกรรมน้อยใหญ่ในพื้นที่ให้พัฒนาอย่างยั่งยืน จึงรวมตัวขึ้นเป็น “เพื่อนชุมชน” เป็นความร่วมมือครั้งแรกของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมในระยอง กิจการ คือ ปตท เอสซีจี บีแอลซีพี โกลว์ และดาว เคมิคอล โดยร่วมกันทำข้อตกลงในการพัฒนาต้นแบบโรงงานเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และพร้อมจะทำให้มากกว่าข้อกำหนดกฎหมายโดยคำนึงถึงประโยชน์ของชุมชนเป็นสำคัญ

รับวิกฤตน้ำอย่างมืออาชีพ

เอสซีจี ประกาศปิดชั่วคราวสำนักงานใหญ่ บางซื่อ ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2554เมื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงว่า พื้นที่ในบริเวณนั้นอาจถูกน้ำท่วม และเพื่อความปลอดภัยของพนักงานจึงเปิดสำนักงานอีกครั้งเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2554 แม้การปิดชั่วคราวสำนักงานใหญ่ที่ปกติมีพนักงาน 6,000 คน ทำงานอยู่นั้น ก็ไม่ได้ทำให้ธุรกิจของเอสซีจีต้องหยุดชะงัก

ทั้งนี้ เพราะกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ตระหนักดีว่า การดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน มีความเสี่ยงที่อาจเผชิญกับภัยคุกคามและเกิดเหตุการณ์ที่จะนำไปสู่การหยุดชะงัก เกิดความสูญเสีย หรือภาวะวิกฤตได้ โดยภัยคุกคามอาจมาจากสภาวะความไม่แน่นอนทางการเมือง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน หรือเหตุปัจจัยอื่น ๆ ธุรกิจต้องดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

เอสซีจี จึงตั้งทีมศึกษา BCM (Business Continuity Management) หรือการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ โดยครอบคลุมในทุกเรื่องที่อาจเป็นสาเหตุให้ธุรกิจต้องหยุดชะงัก ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติที่ยากแก่การควบคุม อย่างเช่นน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ หรือ แผ่นดินไหว พายุถล่ม การเกิดโรคระบาด รวมไปถึงการชุมนุมทางการเมืองด้วย

สิ่งที่สำคัญจะต้องมีการเตรียมความพร้อม และหาโอกาสซักซ้อมแผนงานอยู่เสมอ เพื่อให้แต่ละคนรู้ว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์จริงจะต้องทำอย่างไร โดยเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ เอสซีจี จึงมีความพร้อมรับน้ำอย่างเต็มที่ ทีม BCM เฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำจากภาคเหนือมาเป็นเดือน ก็ประเมินว่ามีความเสี่ยงสูงมากที่น้ำจะไหลลงสู่ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร

มีการจัดตั้ง war room ขึ้นที่สำนักงานใหญ่ บางซื่อ เพื่อประเมิน ติดตาม วิเคราะห์ ทิศทางและความรุนแรงของปริมาณน้ำ รวมทั้งผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และเตรียมมาตรการป้องกันภัยอย่างจริงจัง ทุกเช้าของห้อง war room ผู้บริหารระดับสูงจะเข้าร่วมประชุม หรือประชุมทางโทรศัพท์ เพื่อตามทันสถานการณ์น้ำประจำวัน วิเคราะห์ผลกระทบทั้งต่อธุรกิจและพนักงาน การดูแลช่วยเหลือพนักงานที่ได้รับผลกระทบ การดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการช่วยเหลือชุมชนและผู้ได้รับผลกระทบ โดยมีพนักงานจิตอาสาออกช่วยเหลือด้านต่างๆ

สะท้อนให้เห็นถึง ภาวะผู้นำของ กานต์ ตระกูลฮุน ในฐานะผู้บริหารที่มีทั้งแนวคิดและกลยุทธ์การบริหารองค์กรบริหารธุรกิจที่เป็นต้นแบบของแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่เป็นแบบอย่างที่ดี

q*021q*021q*021

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Tags:
add
เรทกระทู้
« ตอบ #3 เมื่อ: 29 ธ.ค. 11, 20:47 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
ทศ จิราธิวัฒน์ แม่ทัพเซ็นทรัลบุกตลาดโลก



บิ๊กดีลครั้งประวัติศาสตร์ของวงการค้าปลีกเมืองไทยต้องยกให้กรณีกลุ่ม เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือซีอาร์ประกาศเข้าซื้อกิจการซื้อกิจการห้าง ลา รีนาเซนเต หรือLa Rinascentห้างสรรพสินค้าใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ในอิตาลี ด้วยเม็ดเงินมูลค่า 10,000 ล้านบาท หรือ 260 ล้านยูโร โดยเซ็นสัญญาและชำระเงินเรียบร้อยแล้วช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีหัวเรือใหญ่คนนี้ “ทศ จิราธิวัฒน์” เป็นแม่ทัพขับเคลื่อนธุรกิจในครั้งนี้

ในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่ของซีอาร์ซี ทศมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางองค์กร ทั้งการสร้างยอดขาย สร้างกำไร และสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทหรือแบรนด์ได้ บริษัทจะเป็นอย่างไร นั่นคือ ภารกิจของเขาแน่นอนว่า สิ่งที่ทศเคยประกาศไว้เมื่อครั้งยอมรัวว่า การเป็นซีอีโอ มีหน้าที่ดูแลทั้งหมดรวมถึงอนาคตของธุรกิจระยะ3 ปี 5ปี และดีลครั้งนี้ตอบโจทย์อนาคตของกลุ่มซีอาร์ซีแล้ว ไม่ได้โตแค่ในประเทศ แต่ยังเติบโตในต่างประเทศควบคู่กันไป

ความสำเร็จของบิ๊กดีล ภายใต้การนำทัพของทศครั้งนี้ กล่าวได้ว่า ไม่เพียงเป็นสร้างปรากฎการณ์ใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในรอบปี ในฐานะธุรกิจไทยที่กล้าควักทุนร่วมหมื่นล้านบาท เพื่อลงทุนขยายธุรกิจค้าปลีกไทยในต่างประเทศ หลังจาก่อนหน้าไปลงทุนที่จีนมาแล้ว แต่ยังเป็นส่วงหนึ่งของการเดินหน้ายุทธศาสตร์ธุรกิจเชิงรุกโกอินเตอร์ของกลุ่มซีอาร์ซี ที่มุ่งเน้นสร้างการเติบโตด้วยนโยบายการขยายธุรกิจโดยการซื้อหรือควบรวมกิจการ ( Mergers & Acquistions ) เพื่อหวังเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยสำรองวงเงินไว้ถึง 30,000 ล้านบาท สำหรับการซื้อกิจการและควบรวม

นอกจากนี้ ยังถือเป็นบิ๊กมูฟแห่งปีของกลุ่มค้าปลีกเซ็นทรัลที่ตัดสินใจลงทุนใหญ่ในปีนี้ในอิตาลี แม้ว่าค้าปลีกในยุโรปที่จัดว่าเป็นตลาดปราบเซียนสำหรับผู้ประกอบการค้าปลีกต่างชาติ เพราะต้องแข่งขันกับค้าปลีกในท้องถิ่นที่เก่าแก่ และยังต้องช่วงชิงกับค้าปลีกข้ามชาติจากภูมิภาคอื่นๆจากเอเชียและยุโรปด้วยกันเอง แต่หากมองในปัจจัยแวดล้อมเวลานั้น อันเป็นช่วงเศรษฐกิจในอิตาลีเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ถือว่าเป็นจังหวะดีและเอื้ออำนวยให้ “ ซื้อของดี ราคาถูก” อย่างลงตัว

อย่างไรก็ตาม ก่อนบิ๊กดีลสำเร็จ ได้ปรากฎกระแสข่าวออกมาว่า กลุ่มซีอาร์ซีได้ยื่นประมูลในวงเงิน 220 ล้านยูโร ก่อนที่จะเพิ่มเป็น 250 ล้านยูโร และเพิ่มเป็น 260 ล้านยูโรในครั้งสุดท้าย แถมยังต้องรับภาระหนี้สินเดิมของห้างอีกส่วนหนึ่งด้วยคาดว่ามีประมาณ 50 ล้านยูโร และเป็นการซื้อสิทธิ์ตัวแบรนด์และกิจการแต่ไม่ได้ในแง่ทรัพย์สินเพราะเป็นพื้นที่เช่า

q*021q*021q*021
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Tags:
add
เรทกระทู้
« ตอบ #4 เมื่อ: 29 ธ.ค. 11, 20:48 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

สำหรับห้างลารีนาเซนเตนี้ เป็นห้างใหญ่ที่สุดในอิตาลี มีอายุกว่า 150 ปี มีสาขารวม 11 แห่ง พื้นที่รวมกว่า 50,000 ตารางเมตร กระจายตามเมืองสำคัญในอิตาลีคือ มิลาน มอนซา แพดัว ตูริน เจนัว ฟลอเรนซ์ กาลนารี ปาแลร์โม คาตาเนีย และโรม 2 สาขา โดยมีสาขาที่เมืองมิลานเป็นแฟลกชิปสโตร์ มียอดขายในปี 2553 ประมาณ 350 ล้านยูโรหรือประมาณ 15,000 ล้านบาท

สาเหตุที่ตัดสินใจซื้อ ลา รีนาเซนเต ทศ บอกว่า ต้องการสร้างฐานธุรกิจค้าปลีกให้แข็งแกร่งในต่างประเทศ ขณะเดียวกัน ยังเป็นการสร้างเครือข่าย ที่มาสนับสนุนให้ผู้ประกอบการธุรกิจไทยมีโอกาสและช่องทางในการทำธุรกิจต่างประเทศผ่านทางซีอาร์ซี อีกทั้งที่มิลานนี้ ยังถือเป็นศูนย์กลางแฟชั่นของโลกด้วย มีนักท่องเที่ยวมามิลานมากกว่า 22 ล้านคนต่อปี

“ ที่สำคัญ ต้องการสร้างลารีนาเซนเตให้เป็นโกลบอลแบรนด์ และขยายธุรกิจในต่างประเทศ อีกทั้ง สายสัมพันธ์อันดีกับแบรนด์แฟชั่นและดีไซน์ของห้างทั้งในอิตาลีและนานาชาติตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นจึงเชื่อว่า ความสัมพันธ์ที่ดีดังกล่าวเป็นประโยชน์กับการขยายตลาดใหม่ๆ รวมถึงการเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าแบรนด์เหล่านั้นจากทั้งอิตาลีและนอกประเทศได้อีกด้วย"

อย่างไรก็ตาม การเข้าซื้อกิจการห้างลารีนาเซนเตครั้งนี้จะเป็นการสร้างรายได้เติบโตอย่างมาก โดยคาดว่าปีนี้ยอดขายรวมซีอาร์ซี ประมาณ 100,000 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้จากลารีเซนเตประมาณ 15% และเมื่อรวมกับการที่บิ๊กซีเข้าซื้อกิจการคาร์ฟูร์ในไทยก่อนหน้านี้แล้วจะส่งผลให้ซีอารณ์ซีมีรายได้สิ้นปีนี้ประมาณ 230,000 ล้านบาทด้วย โดยครึ่งปีแรกซีอาร์ซ๊มีรายได้เติบโต 10% ขณะเดียวกัน ส่งผลให้แบรนด์ในเครือห้างสรรพสินค้าในกลุ่มเซ็นทรัลรีเทลจาก 3 แบรนด์ เพิ่มเป็น 4 แบรนด์ คือ เซ็นทรัล เซน โรบินสัน และลารีนา เชนเต

นอกจากนี้ เขายังแสดงวิสัยทัศน์ในฐานะแม่ทัพค้าปลีกเต็มตัว ด้วยการกำหนดภารกิจสำคัญที่เขาต้องการสร้างให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง เมื่อครั้งเขารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของซีอาร์ซีเมื่อไม่กี่ที่ผ่านมา นั่นคือ การมีแบรนด์สินค้าของตัวเอง โดยเขาได้ประกาศการรุกธุรกิจ OBM (Own Brand Manufacturing) อย่างเข้มข้น เมื่อครั้งโชว์วิสัยทัศน์ในปี 2553 โดยมุ่งเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของการมีแบรนด์เป็นของตนเอง ขณะเดียวกันก็เป็นโต้โผใหญ่ในการจัดสรรให้เจ้าของสินค้าแบรนด์ไทยได้พบปะกับห้างค้าปลีกจากต่างชาติที่สนใจจะนำสินค้าแบรนด์ไทยไปจำหน่าย

ขณะเดียวกัน ล่าสุดในช่วงวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมา แม้ศูนย์การค้าในเครือ เช่น ห้างเซ็นทรัล-โรบินสัน่ต้องปิดบริการ เช่น ฟิวเจอร์ พาร์ค รังสิต เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว ปิ่นเกล้า และรามอินทรา แฟชั่นไอส์แลนด์ รวมทั้งเครือข่ายร้านค้าปลีกรูปแบบซูเปอร์มาร์เก็ตภายใต้ชื่อ ท็อปส์ เป็นต้นชั่วคราว แต่ค้าปลีกเครือซีอาร์ซี ยังคงเติบโตในอัตรา สูงกว่าเป้าหมายเดิมคาดการณ์ยอดขายปีนี้เติบโต 10.1% เนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจ กำลังซื้อ ทำให้ผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก ผนวกกับแผนการลงทุนที่มีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้ธุรกิจค้าปลีกยังคงเดินหน้าไปอย่างต่อเนื่องอีกปีหนึ่ง

ส่งท้ายปีเก่า ทศประกาศเตรียมปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ ในปี 2555 ถือเป็นการปรับใหญ่ในรอบ 10 ปี หลังจาก เซ็นทรัลปรับโครงสร้างเพื่อความเป็นเลิศ (Central s Restructure For Excellence) มานานกว่า9 ปี เป้าหมายก่าการปรับโครงสร้างบริหารครั้งนี้ ไม่เพียง ให้เกิดความคล่องตัวและชัดเจนในเรื่องต่างๆ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนในแต่ละห้วงเวลา

ยังเป็นการส่งไม้ต่อให้กับทายาทจิราธิวัฒน์จากเจนเนอเรชั่น 3 หรือ ไปสู่เจเนอเรชั่นที่ 4 ทยอยก้าวเข้ามาเรียนรู้และมีบทบาทร่วมกับเจเนอเรชั่นที่ 3 อย่างต่อเนื่อง ภายใต้การกำกับดูแลระดับนโยบายและทิศทางของกลุ่มโดยเจเนอเรชั่นที่ 2 เพื่อเป็นกองหนุนนำธุรกิจในเครือให้เติบโตอย่างมั่นคงและอยู่รอดได้ โดยเฉพาะเมื่อมีแรงกระเพื่อมภัยจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งในเวทีโลก หรือปัจจัยเสี่ยงทางธุรกิจจากภาวะเศรษฐกิจ เหตุการณ์ไม่ปกติ และภัยพิบัติต่างๆ ที่ท้าทายอย่างต่อเนื่องนับจากนี้

q*021q*021q*021

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Tags:
add
เรทกระทู้
« ตอบ #5 เมื่อ: 29 ธ.ค. 11, 20:51 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ศุภชัย เจียรวนนท์ มังกรผู้พลิกตลาดมือถือไทย



ปฏิบัติการสายฟ้าแลบของศุภชัย เจียรวนนท์ และกลุ่มทรูคอร์ปอเรชั่น ในช่วงต้นปี 2554 จับมือ กสท โทรคมนาคม มาเซ็นสัญญาร่วมกัน บนโมเดลรูปแบบทางธุรกิจใหม่ที่ไม่ใช่บนสัญญาสัมปทานแบบเดิม โดยใช้ลูกเล่นทางเทคนิคด้วยการรับซื้อเหมาแอร์ไทม์เครือข่าย 3G ของกสท หรือที่เรียกว่า 'ยี่ปั้ว' นำมาให้บริการลูกค้า ภายในระยะเวลา 14 ปีครึ่ง

การพลิกเกมครั้งนั้นส่งให้กลุ่มทรูฯ สามารถแก้ปัญหาจุดบอดในเรื่องอายุสัญญาสัมปทานของทรูมูฟกับกสท ที่จะหมดลงในอีก 2 ปีข้างหน้า พร้อมสิทธิใช้ความถี่ 850 MHz ที่มีมูลค่ามหาศาล ซึ่งว่ากันว่าหากเปิดประมูลความถี่ย่านนี้ต้องได้เงินนับหมื่นล้านบาท แต่กลุ่มทรูใช้เงินซื้อฮัทช์ไม่กี่พันล้านก็ได้ครอบครองความถี่แล้ว

การเดินเกมครั้งนั้นของศุภชัย แม้จะถูกมองว่าเป็นการอาศัยช่องว่างทางกฎหมายและการเอื้อประโยชน์จากภาครัฐภายใต้กลุ่มการเมืองเก่าก่อนที่จะเปลี่ยนมือมาสู่ยุคเพื่อไทย แต่ก็ถือเป็นการพลิกโฉมหน้าครั้งสำคัญให้กับวงการโทรคมนาคมเมืองไทย และกลายเป็นชนวนที่ทำให้ทั้งเอไอเอสและดีแทค กระโดดลงมาเล่นตลาด 3G กันอย่างพร้อมเพรียงก่อนที่จะมีการประมูลใบไลเซนส์ 3G ในปี 2555

ศุภชัยได้กดปุ่มเปิดตัวบริการ 3G ภายใต้บแบรนด์ “ทรูมูฟเอช” อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2554

ศุภชัย เจียรวนนท์ ในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) ประกาศก้องในวันเปิดตัวแบรนด์ทรูมูฟเอชว่า “ถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของ "ทรูมูฟ" จากเดิมในระบบ 2G เป็นผู้ตามอันดับ 3 ในตลาด แต่ 3G จะช่วยให้ทรูมูฟก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในตลาดได้

สารที่ “ศุภชัย” ส่งออกไปในวันนั้น แสดงให้เห็นว่าวันนี้กลุ่มทรูไม่ได้แข่งกับดีแทคเพื่อแย่งชิงความเป็นอันดับสองในตลาดแล้ว แต่พร้อมที่จะกระชากเอไอเอสให้ตกจากผู้นำตลาดมือถือเมืองไทยที่ครอบครองมายาวนาน เพราะวันนี้ข้อจำกัดเรื่องเครือข่ายที่เป็นประเด็นอ่อนไหวที่สุดของทรูฯ ได้ถูกแทนที่ด้วยการให้บริการ 3G

แผนการขยายโครงข่ายทรูมูฟเอช ศุภชัยวางไว้รวม 5 เฟส โดยภายในต้นปี 2555ทรูมูฟเอชจะมีจำนวนสถานีฐานเทียบเท่าทรูมูฟ (2G) และในสิ้นปี 2555 จะครอบคลุมทั้งประเทศเท่ากับโครงข่าย 2G ที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน หรือ 85% ของพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยอยู่ จะส่งผลให้ทรูมูฟเอชแข่งขันกับเอไอเอสได้แบบเท่าเทียมกันหรือเหนือกว่าด้วยซ้ำในอนาคตอันใกล้

q*021q*021q*021

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Tags:
add
เรทกระทู้
« ตอบ #6 เมื่อ: 29 ธ.ค. 11, 20:51 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

หากมามองถึงยุทธศาสตร์ของกลุ่มทรูฯ ในปี 2555 ศุภชัยได้วางให้กลุ่มทรูฯ เดินหน้าสานต่อยุทธศาสตร์คอนเวอร์เจนด้วยความเป็นผู้นำทุกรูปแบบการสื่อสาร ผ่านโครงข่ายบรอดแบนด์ เทคโนโลยีไร้สาย ทีวี และคอนเทนต์ของกลุ่มทรู เน้นนวัตกรรม พร้อมธุรกรรมใหม่ๆ เพิ่มรายได้ ขยายตลาดเข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย รองรับไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่

แนวทางการสานต่อยุทธศาสตร์คอนเวอร์เจนซ์นั้น กลุ่มทรูพร้อมพัฒนานวัตกรรมบริการหลากหลายตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มไลฟ์สไตล์ พร้อมขับเคลื่อนทุกธุรกิจหลักเต็มที่ เร่งขยายบริการทรูมูฟ เอช บนเครือข่าย 3G+ เต็มรูปแบบ ให้ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการมากยิ่งขึ้น รองรับจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งขยายบริการทรูมูฟ เอช แบบเติมเงิน เน้นโปรโมชั่นให้ความคุ้มค่าสูงสุด ตอบสนองทุกรูปแบบการใช้งานของลูกค้า

ศุภชัย เชื่อมั่นว่าธุรกิจโทรคมนาคมยังคงเติบโตต่อไป บริการที่ไม่ใช่เสียง (Non-Voice) ของประเทศโดยรวมยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ความนิยมใช้สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์สื่อสารอื่นๆ อาทิ แท็บเลต และแอร์การ์ด ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาด Non-Voice โดยเฉพาะบริการโมบายอินเทอร์เน็ตเติบโตอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกัน อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและบริการโทรทัศน์ระบบบอกรับเป็นสมาชิกยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก จึงเป็นโอกาสของกลุ่มทรูที่จะตอบสนองความต้องการ ให้คนไทยทั่วประเทศสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร สาระบันเทิงผ่านช่องทางต่างๆ ของกลุ่มทรูได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น

ศุภชัย เน้นย้ำเรื่องของการมุ่งนำนวัตกรรม เพื่อสร้างความแตกต่าง เพิ่มมูลค่าให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้กลุ่มทรูเป็นผู้ประกอบการไทยรายเดียวที่สามารถให้บริการสมบูรณ์ทุกรูปแบบการสื่อสาร ทั้งบริการสื่อสารด้านเสียง จากโทรศัพท์พื้นฐาน โทรศัพท์เคลื่อนที่ วิดีโอ ข้อมูลและมัลติมีเดียต่างๆ ผ่านโครงข่ายบรอดแบนด์ เทคโนโลยีไร้สาย ทีวี และคอนเทนต์ของกลุ่มทรู โดยนวัตกรรมเทคโนโลยี DOCSIS 3.0 ของทรูออนไลน์ จะสร้างความแตกต่างด้วยการยกระดับศักยภาพบริการบรอดแบนด์ให้ความเร็วสูงสุดจากเดิม 100 Mbps เป็น 200 Mbps ทำให้กลุ่มทรูฯ จะสามารถเติมเต็มทุกประสบการณ์บนโลกอินเทอร์เน็ตได้ตรงใจทุกการใช้งาน

นอกจากนี้นวัตกรรม Hybrid Set Top ของทรูวิชั่นส์ ทำให้ลูกค้าสามารถรับชมรายการในรูปแบบ HDคอนเทนต์ พร้อมสร้างความสะดวกให้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ท่องเว็บไซต์ Youtube และชมวิดีโอต่างๆ ตอบสนองไลฟ์สไตล์ได้ตรงใจลูกค้ามากยิ่งขึ้น ทั้งยังยกระดับมาตรฐานการรับส่งข้อมูลให้ลูกค้าดูรายการต่างๆ ของทรูวิชั่นส์ได้ทุกช่องทาง ทั้งทีวี โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก

ทรูวิชั่นส์ ยังมีแผนเตรียมเพิ่มคอนเทนต์ตอบสนองไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ โดยเฉพาะ HD คอนเทนต์ ซึ่งเปลี่ยนมิติใหม่ของการรับชมทีวีในเมืองไทยที่คมชัดเสมือนอยู่ในเหตุการณ์จริง รวมถึงเทคโนโลยี MPEG 4 ทำให้ลูกค้ารับชมรายการต่างๆ ผ่านช่องสัญญาณได้มากขึ้น ซึ่งจะมีส่วนเพิ่มรายได้ให้กับทรูวิชั่นส์

“ยุทธศาสตร์คอนเวอร์เจนซ์ โดยการนำนวัตกรรมการให้บริการผสมผสานกับโครงข่ายและคอนเทนต์หลากหลาย จะตอกย้ำความเป็นผู้ประกอบการไทยรายเดียว ที่ให้บริการสมบูรณ์ทุกรูปแบบการสื่อสาร ด้วยความรวดเร็ว สะดวกและง่ายต่อการใช้งาน ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มได้อย่างแท้จริง” ศุภชัยกล่าวถึงสิ่งที่จะทำให้เกิดขึ้นในปี 2555 และยังเป็นการตอกย้ำความแตกต่างจากผู้ให้บริการรายอื่นอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

การสร้างเกมจากโอกาสทางการธุรกิจที่เกิดขึ้นของ “ศุภชัย เจียรวนนท์” จากช่วงปี 2554 ถึงปี 2555 ที่ได้กำหนดยุทธศาสตร์ให้กับกลุ่มทรูฯ ได้เดินไปสู่จุดมุ่งหมายที่วางไว้ น่าจะทำให้ภาพของ “ศุภชัย เจียรวนนท์” ชัดเจนยิ่งขึ้น ว่าเขาคือผู้ที่พลิกตลาดโทรคมนาคมและทีวีเมืองไทย ยิ่งกลุ่มทรูฯ มีการเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ๆ ก็จะยิ่งทำให้ตลาดทั้งหมดก้าวกระโดดไปยิ่งขึ้นด้วย


q*021q*021q*021

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Tags:
add
เรทกระทู้
« ตอบ #7 เมื่อ: 29 ธ.ค. 11, 20:54 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
ชายนิด โง้วศิริมณี ซีอีโอ ยอดนักคิด พลิกมิติการพักอาศัย



ต้องยอมรับว่าด้วยบุคลิกและสไตล์การทำงานที่มีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว และทันกับทุกสถานการณ์ของชายนิด โง้วศิริมณี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด(มหาชน) หรือ( PF) ทำให้เพอร์เฟคสามารถประคับประคองตัวอยู่รอดมาจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งองค์กรยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากผ่านมรสุมลูกใหญ่ เมื่อครั้งเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 จนทำให้ได้รับการขนานนามในวงการอสังหาริมทรัพย์ ว่า “แมวเก้าชีวิต”

วิธีคิดของชายนิดจะแตกต่างจากดีเวลลอปเปอร์ในวงการเดียวกัน และกล้าที่จะลงมือทำก่อนคู่แข่ง หากมีความมั่นใจว่าการตัดสินใจอย่างรวดเร็วภายใต้ข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ จะทำให้องค์กรสามารถก้าวไปข้างหน้าก่อนคู่แข่ง ซึ่งกว่าคู่แข่งจะคิดได้และกว่าจะตามทันต้องใช้เวลาอีกนาน และเมื่อถึงเวลานั้น เพอร์เฟคก็จะก้าวไปอีกสเต็ปหนึ่ง

ภาพที่ปรากฎชัดเจนภาพหนึ่ง คือ เมื่อตลาดคอนโดมิเนียมมาแรงมากในช่วง 2-3 ปีก่อน ทำให้ดีเวลลอปเปอร์เกือบทุกราย ทั้งรายเล็ก รายกลาง รายใหญ่ ทั้งในและนอกตลาด ต่างพากันเข้ามาลงทุนในตลาดคอนโดมิเนียม ทำให้ภาวะการแข่งขันรุนแรง จนกระทั่งปีก่อนหลายฝ่ายทั้งภาครัฐ และเอกชน นำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) รวมถึงบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ออกมาเตือนให้ระวังจะเกิดภาวะฟองสบู่เหมือนวิกฤตต้มยำกุ้งที่ทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ล้มระเนระนาด และลุกลามไปสู่ธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งวัสดุก่อสร้าง สถาบันการเงิน และแรงงาน หากไม่มีมาตรการควบคุมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม

ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น ชายนิด กลับไม่คิดเช่นนั้น ในทางตรงกันข้าม กลับคิดว่า กำลังซื้อยังมีอีกมาก ความต้องการพักอาศัยในคอนโดมิเนียมค่อนข้างสูง เพียงแต่ว่า ต้องหาตลาดให้เจอ โฟกัสกลุ่มเป้าหมายชัดเจน ซึ่งการลงทุนโครงการใหม่จะต้องเลือกทำเลที่ดี มีศักยภาพ รูปแบบโครงการต้องตอบโจทย์ลูกค้าเป้าหมายให้ได้ สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการและภายนอกโครงการต้องเหนือคู่แข่ง โครงการจึงจะขายได้แบบไม่สะดุด แม้ว่าภาวะการแข่งขันจะรุนแรง ภาวะเศรษฐกิจจะชะลอตัวก็ตาม

q*021q*021q*021
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Tags:
add
เรทกระทู้
« ตอบ #8 เมื่อ: 29 ธ.ค. 11, 20:54 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ชายนิด กล่าวว่า การลงทุนโครงการคอนโดมิเนียมของเพอร์เฟค ไม่ได้ตีกรอบแค่การลงทุนเกาะแนวรถไฟฟ้าสายเดิมอย่าง BTS หรือ MRT และรถไฟฟ้าสายใหม่ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างเช่น สายสีม่วง (บางใหญ่-บางซื่อ)เท่านั้น แต่เพอร์เฟค ยังเลือกลงทุนโครงการที่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยอีกด้วย เพราะนักศึกษาส่วนใหญ่จะต้องการพักอาศัยในหอพัก หรืออพาร์ตเมนท์ใกล้รั้วมหาวิทยาลัยทั้งนั้น

เพอร์เฟคจึงเลือกไปลงทุนโครงการคอนโดมิเนียมใกล้มหาวิทยาลัย เน้นกลุ่มเป้าหมายนักศึกษา โดยการลงทุนจะกำหนดราคาขายที่ตารางเมตรละ 40,000-50,000 บาท หรือเฉลี่ยที่ 1 ล้านบาทต้น ๆ ราคาดังกล่าวเมื่อต้องผ่อนกับสถาบันการเงินจะเป็นอัตราที่ผู้ปกครองสามารถจ่ายได้เพราะใกล้เคียงกับค่าเช่าหอพัก หรืออพาร์ตเมนท์ ที่มีค่าเช่าเดือนละ 5,000-7,000 บาท ขึ้นอยู่ทำเลและเกรดของหอพัก หรืออพาร์ตเมนท์

“โครงการนำร่องของเพอร์เฟคอยู่ที่แจ้งวัฒนะใกล้กับมหาวิทยาลัยหอการค้า วิทยาเขตใหม่ ซึ่งที่ดินที่จะถูกพัฒนาเป็นมหาวิทยาลัยหอการค้า คือที่ดินที่เพอร์เฟคขายให้มหาวิทยาลัย ซึ่งยังมีที่ดินรอบ ๆ มหาวิทยาลัยเหลืออีกมากเพียงพอที่เพอร์เฟคจะลงทุนโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อนักศึกษา อีกทั้งยังไล่ซื้อที่ดินบริเวณใกล้เคียงอีกให้ได้ 1,000 ไร่ จากปัจจุบันที่ดินผืนดังกล่าวมีจำนวน 700 ไร่ เพื่อพัฒนาที่พักอาศัยครบวงจร” ชายนิด กล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า การทำคอนโดมิเนียมรอบรั้วมหาวิทยาลัยเป็นโจทย์ใหม่ที่ท้าทาย เพราะคนจ่ายเงินคือผู้ปกครอง ขณะที่ผู้พักอาศัยคือนักศึกษาซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ ฉะนั้น การออกแบบโครงการจะต้องเป็นที่ถูกใจทั้งคนจ่ายเงิน และผู้พักอาศัย ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องทำให้ผู้ปกครองรู้สึกว่าลูกหลานจะพักอาศัยแบบปลอดภัย และมีมูลค่าเพิ่มจากการซื้อด้วย ขณะที่นักศึกษาจะต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกในการเรียน อาทิ อินเทอร์เน็ต สถานที่ออกกำลังกาย และร้านค้า เป็นต้น สื่งเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ

หลังจากที่เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใกล้มหาวิทยาลัยหอการค้าเรียบร้อยแล้ว ชายนิดลุยต่อทันที โดยการไปลงทุนคอนโดมิเนียมใกล้มหาวิทยาลัย ในจังหวัดเชียงใหม่ คือโครงการยูนิลอฟท์ ใกล้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จำนวน 500 ยูนิต มูลค่า 500 ล้านบาท และโครงการยูนิลอฟท์ ใกล้มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา จำนวน 500 ยูนิต มูลค่า500 ล้านบาท พร้อมทั้งเตรียมแผนลงทุนโครงการต่อไปใกล้มหาวิทยาลัยเกือบทุกแห่งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เช่น มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยเกริก มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ โดยมีแผนจะขยายการลงทุนไปใกล้มหาวิทยาลัยทุกแห่ง

โดยในปีนี้จะขยายไปเปิดตัวใกล้มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จำนวน 500 ยูนิต มูลค่า 500 ล้านบาท มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) จำนวน 1,000 ยูนิต มูลค่า 1,000 ล้านบาท และใกล้มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา อีก 1 โครงการ

อีกปรากฎการณ์หนึ่งที่สะท้อนแนวคิดการทำงานอย่างรวดเร็วของ ชายนิด นั่นคือ หลังจากที่กระแสอนุรักษ์พลังงานมาแรง ชายนิด ประกาศเปิดตัวพันธมิตรรายใหญ่ทันที คือเอสซีจี ซึ่งได้ร่วมทุนกับ “เซกิซุย เคมิคอล” จากประเทศญี่ปุ่นสร้างบ้านด้วยระบบโมดูลาร์อย่างเต็มตัวภายใต้ชื่อ "บ้าน SCG HEIM" (เอสซีจี ไฮม์) สำหรับโครงการแนวราบ ประเภทบ้านเดี่ยวของเพอร์เฟค

“ในช่วงนั้น ยังไม่มีดีเวลลอปเปอร์รายใดกล้าใช้การก่อสร้างด้วยวัสดุประหยัดพลังงาน เพราะเป็นต้นทุนที่สูงมาก ทำให้ต้องขายบ้านในราคาที่สูงขึ้น ขณะที่บรรยากาศการซื้อขายบ้านจัดสรรค่อนข้างซบเซา จากปัญหาการชุมชุนประท้วงทางการเมือง และความไม่มั่นใจของผู้บริโภคต่อการซื้อที่พักอาศัย”

แต่สิ่งที่ชายนิดตัดสินใจทำในวันนั้น ถือว่ามาค่อนข้างถูกทาง เพราะทุกวันนี้ ยอดขายโครงการแนวราบของเพอร์เฟคไปได้ด้วยดี ขณะที่ดีเวลลอปเปอร์รายอื่นเริ่ มทยอยก่อสร้างบ้านด้วยวัสดุประหยัดพลังงานแต่ยังไม่สมบูรณ์ทั้งหลัง

q*021q*021q*021

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Tags:
add
เรทกระทู้
« ตอบ #9 เมื่อ: 29 ธ.ค. 11, 20:57 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
วิชัย ทองแตง ติดปีกธุรกิจเฮลท์แคร์ สู้ศึก AEC




อดีตทนายความของ ทักษิณ ชินวัตร ผู้พลิกบทบาทมาสู่นักบริหารลงทุนอย่างเต็มตัว ที่สำคัญเขายังกลายเป็นผู้สร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้กับวงการธุรกิจโรงพยาบาลไทยได้อย่างเต็มภาคภูมิ ผลงานที่โดดเด่นและทำให้สปอรต์ไลท์จากทำเนียบนักธุรกิจไทยพุ่งไปที่เขาอีกครั้ง เมื่อเขาคนนี้ “วิชัย ทองแตง” ประกาศควบรวมกิจการ โดยวิธีการสวอปหุ้น กับบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ซึ่งบริหารเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ และถือหุ้นใหญ่โรงพยาบาลสมิติเวช และโรงพยาบาลบีเอ็นเอช โดยวิชัยในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ ในบริษัท เฮลท์ เน็ตเวิร์ค จำกัด (มหาชน) (เฮลท์ เน็ตเวิร์ค) และถือหุ้นใหญ่บริษัทประสิทธิ์พัฒนา จำกัด (มหาชน) ที่บริหารเครือโรงพยาบาลพญาไท และโรงพยาบาลเปาโล เมมโมเรียล อันเป็นบิ๊กมูฟของวงการโรงพยาบาลและธุรกิจเฮลแคร์เมืองไทยในรอบปีที่ผ่านมา

ผลการรวมกิจการของ 2 กลุ่มครั้งนี้ ไม่เพียงก่อให้เกิดการรวมตัวในอุตสาหกรรมโรงพยาบาลไทยถึง4 แห่ง คือ โรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลพญาไท โรงพยาบาลเปาโล และโรงพยาบาลสมิติเวช โดยขนาดสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ2 ของเอเชียรองจาก โรงพยาบาล ในออสเตรเลีย ยังเป็นการเพิ่มอำนาจต่อ รองจากเครือข่ายธุรกิจโรงพยาบาลที่มีจำนวนทั้งสิ้นถึง 27 แห่ง กว่า 4,600 เตียง ตอกย้ำความแข็งแกร่งและกระชับแน่นมากขึ้น ทำให้โอกาสเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคตไม่ไกลเกินเอื้อม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับกระแสการเปิดเสรีอาเซียนในอีก 4ปีข้างหน้า ที่ส่งแรงกระเพื่อมให้เม็ดเงินทุนจากต่างชาติหลั่งไหลเข้ามา สิ่งที่หลีกเลี่ยงได้อยาก คือ การเข้าซื้อกิจการ หรือการเทคโอเวอร์จากทุนข้ามชาติในธุรกิจไทยที่อ่อนแอ รวมถึงธุรกิจโรงพยาบาลและเฮลแคร์ที่อยู่ไม่รู้ทิศทางว่าจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและอยู่รอดได้อย่างไร หากคลื่นทุนดังกล่าวมาถึง

q*021q*021q*021
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Tags:
add
เรทกระทู้
« ตอบ #10 เมื่อ: 29 ธ.ค. 11, 20:58 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

วิชัย บอกว่า หากไม่เตรียมความพร้อม และไม่ทำให้ธุรกิจ
เข้มแข็งเสียแต่บัดนี้ โอกาสที่ถูกกลืนโดยทุนข้ามชาติที่มีความได้เปรียบหลายด้านเป็นไปได้โดยง่าย ดังนั้นเขาจึงคิดแนวทางบริหารธุรกิจโรงพยาบาล หรือธุรกิจเฮลแคร์จำเป็นต้องเอาจุดแข็งของบริษัทที่มีอยู่มา Consolidate กัน เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างมั่นคงและยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจในกลุ่มอย่างรวดเร็ว ดังนั้นดีลการรวมกับกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพฯจึงเกิดขึ้นและเป็นการตอบโจทย์โมเดลConsolidateที่เขาเลือกใช้ในครั้งนี้


อย่างไรก็ตาม การรวมกิจการให้เป็นเนื้อเดียวกัน ของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่ายและใช้เวลาสั้นๆ ดังนั้นเขาจึงกำหนดให้ระยะแรก หลังจากดีลควบรวมกิจการเสร็จสิ้นลงไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา มุ่งเน้นIntegrate หรือบูรณาการโรงพยาบาลทั้งสองกลุ่มของบุคลากร โดยจูนแนวคิดของผู้บริหารทุกระดับไปสู่แนวทางใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้และปีหน้า อันเป็นก้าวย่างสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจโรงพยาบาลและเฮลแคร์เข้มแข็ง สามารถต่อสู้บนเวลาโลกได้อย่างสมศักดิ์ศรี เนื่องจากสามารถทำตลาดกับกลุ่มลูกค้าได้ทุกระดับ ทุกกลุ่มเป้าหมาย และมีความได้เปรียบในแง่โลเกชั่นของสาขาได้อย่างครอบคลุมอีกด้วย

แนวทางการดำเนินงานของ วิชัย ครั้งนี้ ยังเป็นการเติมเต็มให้เมืองไทยมีธุรกิจโรงพยาบาลที่ให้บริการอย่างครบวงจร เพื่อรองรับการเป็น เมดิคัล ฮับ ในภูมิภาคเอเชียในอนาคตอีกด้วย เพราะทุกก้าวย่างของวิชัย ไม่ใช่เพียงแค่การลงทุนรองรับกับความต้องการของลูกค้าในประเทศเท่านั้น แต่ยังสามารถรองรับลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะ ลูกค้าจากตะวันออกกลางที่มีกำลังซื้อสูง

นอกจากทำให้ธุรกิจแข็งแกร่งแล้ว บิ๊กดีลครั้งนี้ยังส่งผลให้วิชัย กลายเป็น"มหาเศรษฐี" เมืองไทยอย่างเป็นทางการ ในการประกาศผลการจัดอันดับเศรษฐีหุ้นไทย ปี 2554 ที่จัดโดยวารสารการเงินธนาคาร ร่วมกับอาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยครั้งนี้มีชื่อของเขาติดโผในอันดับ 4 ที่ถือครองหุ้นรวมมูลค่า 11,804.14 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นกรุงเทพดุสิตเวชการ (บีจีเอช) หรือโรงพยาบาลกรุงเทพ 12.17% มูลค่า 11,532.14 ล้านบาท และหุ้นปุ๋ยเอ็นเอฟซี 8.04% มูลค่า 272 ล้านบาทไปโดยปริยาย เป็นรองเพียงแค่ "ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์" แห่งพฤกษาฯ ที่ครองแชมป์ติดต่อกันเป็นปีที่ 2 (18,520.34 ล้านบาท) "อนันต์ อัศวโภคิน" คีย์แมน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ อดีตแชมป์ 7 ปีซ้อน (15,490.82 ล้านบาท)


q*021q*021q*021

http://www.manager.co.th/mgrweekly/ViewNews.aspx?NewsID=9540000165852

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Tags:
add
เรทกระทู้
« ตอบ #11 เมื่อ: 29 ธ.ค. 11, 21:29 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

สู้คนนี้ได้ไหมเอ่ย ทั้งการเลือกต้งทุกสมัย และ การเป็นนักลงทุนระดับนานาชาติ q*071q*071



noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Tags:
add
เรทกระทู้
« ตอบ #12 เมื่อ: 29 ธ.ค. 11, 22:35 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
ถ้า "ความร่ำรวย ที่ได้มา โดยไร้ข้อกังขา" ผมนับถือครับ q*020

ผมขอฝากให้ไปลองอ่านเล่นๆ ขำๆ ครับ

http://webboard.news.sanook.com/forum/?topic=3536031.msg17772796#msg17772796

cocococococo
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Tags:
add
เรทกระทู้
« ตอบ #13 เมื่อ: 30 ธ.ค. 11, 06:33 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
ผมยังมองไม่เห็นความไม่บริสุทธิ์ในการลงทุนของทักษิณเลยนะครับ มองยังไงก็เห็นแต่พวกอิจฉาริษยาที่ไม่ทำประโยชน์แก่ชาติ ใส่ร้ายป้ายสี ตามล่าทั้งที่ไม่มีมูลความจริง แค่อยากได้เงินของเขา ถึงกับต้องทำทุกอย่าง ปลุกระดมคนโง่ให้เชื่อ ถ้าผิดจริงนะครับห้าปีที่ผ่านมาทักษิณไม่เหลือแม้แต่ซากครับ เพราะข่าวสารด้านลบเยอะเหลือเกินที่เกิดจากพวกไม่หวังดีต่อประเทศ และยังมีลิ่วล้อโง่ๆ อีกสารพัดวิธีที่งัดออกมา q*073q*073


สุดท้ายแพ้เลือกตั้งเฉยเลย ถ้าดีจริงไม่พ่ายแพ้หรอกนะสิบอกให้
q*071q*071


อ่าวไปตอกย้ำ ลำตะ อีก วิ๊ดดดดดด วิ๊ววววว
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Tags:
Tags:  

หน้า: 1

 
ตอบ

ชื่อ:
 
แชร์ไป Facebook ด้วย
กระทู้:
ไอค่อนข้อความ:
ตัวหนาตัวเอียงตัวขีดเส้นใต้จัดย่อหน้าชิดซ้ายจัดย่อหน้ากึ่งกลางจัดย่อหน้าชิดขวา

 
 

[เพิ่มเติม]
แนบไฟล์: (แนบไฟล์เพิ่ม)
ไฟล์ที่อนุญาต: gif, jpg, jpeg
ขนาดไฟล์สูงสุดที่อนุญาต 20000000 KB : 4 ไฟล์ : ต่อความคิดเห็น
ติดตามกระทู้นี้ : ส่งไปที่อีเมลของสมาชิกสนุก
  ส่งไปที่
พิมพ์อักษรตามภาพ:
พิมพ์ตัวอักษรที่แสดงในรูปภาพ
 
:  
  • ข้อความของคุณอยู่ในกระทู้นี้
  • กระทู้ที่ถูกใส่กุญแจ
  • กระทู้ปกติ
  • กระทู้ติดหมุด
  • กระทู้น่าสนใจ (มีผู้ตอบมากกว่า 15 ครั้ง)
  • โพลล์
  • กระทู้น่าสนใจมาก (มีผู้ตอบมากกว่า 25 ครั้ง)
         
หากท่านพบเห็นการกระทำ หรือพฤติกรรมใด ๆ ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รวมถึง การใช้ข้อความที่ไม่สุภาพ พฤติกรรมการหลอกลวง การเผยแพร่ภาพลามก อนาจาร หรือการกระทำใด ๆ ที่อาจก่อให้ผู้อื่น ได้รับความเสียหาย กรุณาแจ้งมาที่ แนะนำติชม