หน้า: 1

ชนิดกระทู้ ผู้เขียน กระทู้: ตามไปดูตัวอย่างข้อสอบ ′โอเน็ต′ ที่เด็ก "มึน" ผู้ปกครอง "งง" !!  (อ่าน 29758 ครั้ง)
add
เรทกระทู้
« เมื่อ: 16 ก.พ. 13, 20:14 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
Send E-mail

แบ่งปันกระทู้นี้ให้เพื่อนคุณอ่านไหมคะ?

ปิดปิด
 
ข้อสอบ "โอเน็ต" ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา สร้างความฉงนสงสัยให้กับเด็กระดับ ม.6 ที่เข้าสอบ หรือแม้กระทั่งผู้คนทั่วไปที่ได้รับรู้อยู่ไม่น้อย

กระทั่งมีการตั้งกระทู้ตามเว็บบอร์ดต่างๆ ในอินเตอร์เน็ต ให้รุ่นพี่ รุ่นน้องมาช่วยกันหาคำตอบ ช่วยกันวิเคราะห์ว่าคำตอบใดกันแน่ที่เป็นคำตอบที่ถูกต้อง

ทีมข่าว "มติชน" ลองสอบถามไปยังนักวิชาการด้านการศึกษา ให้แสดงทรรศนะถึงข้อสอบที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์อยู่ขณะนี้

"รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ" อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ว่า ข้อสอบปีสองปีที่ผ่านมา ลักษณะของข้อสอบยังคงยากอยู่

แต่วิธีการตอบหรือเทคนิคง่ายขึ้น เมื่อก่อนจะยากทั้งตัวเนื้อหาและเทคนิค แต่ปีนี้อยู่ที่ตัวเนื้อหาอย่างเดียว เรื่องเทคนิคก็จะเป็น 5 ตัวเลือก แล้วก็ลักษณะของข้อสอบการโยงเรื่องการวิเคราะห์อะไรไม่ยากเหมือนเมื่อก่อน นี่เป็นประเด็นที่หนึ่งที่เห็น

ต่อมาคือลักษณะของการออกข้อสอบ ค่อนข้างเห็นความแตกต่างระหว่างเด็กในเมืองและเด็กในชนบท

ถ้าเด็กในเมืองโอกาสการติดตามข้อมูลข่าวสารหรือการเข้าถึงจะดีกว่าเด็กในต่างจังหวัด หากสังเกตดูจะพบว่า ข้อสอบส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องการคิดวิเคราะห์ เรื่องของระบบข้อมูลข่าวสารต่างๆ กลุ่มผู้ออกข้อสอบส่วนใหญ่เป็นอาจารย์ระดับมหาวิทยาลัยกับอาจารย์โรงเรียนสาธิตต่างๆ มีบางส่วนที่มาจาก สพฐ.

ฉะนั้นข้อสอบจึงมีลักษณะค่อนข้างไม่ยุติธรรมในเชิงของภูมิภาค

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ามีความเห็นอย่างไรกับข้อสอบที่ถามว่า "ถ้าจะปลูกฝังความเป็นไทยต้องให้ดูละครเรื่องอะไร"

รศ.ดร.สมพงษ์กล่าวว่า การออกข้อสอบในลักษณะนี้ต้องใช้ความระมัดระวัง

เพราะเราบอกว่าไม่ส่งเสริมให้เด็กดูละคร แต่หากไม่ดูเด็กก็จะไม่สามารถวิเคราะห์ข้อสอบข้อนี้ได้ ซึ่งข้อสอบในลักษณะนี้เป็นเรื่องของการคิดวิเคราะห์

เวลาที่เด็กคิดหาคำตอบจะมีความแตกต่างกันเรื่องของฐานข้อมูลกับเรื่องราวที่ใช้ในการตัดสินใจตอบ ข้อสอบแบบนี้จะวัดได้ยาก เพราะเด็กจะต้องดูละครทั้ง 5 เรื่อง จึงจะนำความรู้ในนั้นมาตอบข้อสอบ ซึ่งจะเป็นไปได้อย่างไรที่เด็กทุกคนจะดูครบทุกเรื่อง

ด้านผู้ปกครอง "มติชน" นำข้อสอบที่เพิ่งมีการสอบในปีนี้ และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์นั้นมาให้ลองตอบ พร้อมทั้งขอเหตุผลว่าทำไมถึงเลือกคำตอบนี้

"วิเชษฐ ดีประดิษฐ" ผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนหอวัง ได้รับคำถามว่า "ถ้าจะปลูกฝังความเป็นไทยต้องให้ดูละครเรื่องอะไร?" โดยมีตัวเลือกคือ 1.ขุนศึก 2.สี่แผ่นดิน 3.ดอกส้มสีทอง 4.แรงเงา และ 5.กี่เพ้า

ผู้ปกครองคนนี้เลือกตอบข้อ 2.สี่แผ่นดิน โดยให้เหตุผลว่า เรื่องราวของสี่แผ่นดินเป็นการถ่ายทอด การนำเสนอภาพของประเทศในแต่ละยุคสมัย โดยสอดแทรกเรื่องวัฒนธรรมประเพณีเข้าไปตลอดทั้งเรื่อง ทำให้คนดูซึมซับว่าประเพณีไทยเป็นอย่างไรบ้าง

ซึ่งข้ออื่นๆ อย่างขุนศึก เป็นเนื้อหาละครที่เน้นเรื่องความรักชาติ ซึ่งถือว่ามีแง่มุมของความเป็นไทยน้อยกว่า ขณะที่ตัวเลือกอื่นๆ ที่เหลือขอตัดออกไปเลย

หลังจากลองทำข้อสอบ "วิเชษฐ" ให้ความคิดเห็นว่า ความคิดการวิเคราะห์ของเด็กแต่ละคนอาจแตกต่างกัน ถ้ามีเจตนาให้เด็กคิดก็ควรจะมีคำตอบมากกว่า 1 ข้อ

"การที่ให้ผู้ใหญ่มาออกข้อสอบก็เลยเป็นความคิดของผู้ใหญ่ซะมาก ลักษณะการทำข้อสอบเชิงวิเคราะห์แบบนี้ ผมอยากจะให้ได้คะแนนให้ทุกข้อที่ตอบถูก เพราะถูกหลายข้อแล้วแต่คนวิเคราะห์คืออาจจะถูกมากกว่า 1 ในเมื่อเราต้องการให้เด็กวิเคราะห์แสดงทรรศนะ ฉะนั้นคำตอบไม่น่าจะมีข้อที่ถูกเพียงแค่ 1 เราต้องฟังทรรศนะเขาด้วย" วิเชษฐกล่าว

อีกคนหนึ่ง สวนกลับในทันทีหลังจากเห็นโจทย์

"ข้อสอบข้อนี้ออกมาได้ไง ตอบไม่ได้หรอกแล้วจะรู้ได้อย่างไร ใครวิจารณ์อะไร" "อรุณ บ่างตระกูลนนท์" นายกสมาคมผู้ปกครองและครู โรงเรียนสตรีวิทยา 2 กล่าว หลังจากได้ฟังข้อสอบวิชาศิลปะ ที่ถามว่า "ใครคือผู้วิจารณ์อย่างสุนทรีย์?"

และก็เลี่ยงที่จะตอบข้อนี้

ก่อนที่จะได้รับอีกหนึ่งคำถามจากวิชาสุขศึกษา ว่า "สถานการณ์ใดเสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัยมากที่สุด?" มีตัวเลือกคือ 1.ฉลองวันเกิดที่ผับชื่อดัง 2.ขับรถกลับบ้านขณะมึนเมา 3.คบเพื่อนที่ชอบซิ่งรถจักรยานยนต์ 4.พนักงานมักพูดคุยขณะเติมน้ำมันให้ลูกค้า 5.คาดเข็มขัดนิรภัยทันที เมื่อเห็นตำรวจจราจร

อรุณ ตอบว่า ก่อนอื่นขอตัดคำตอบข้อที่ 3 ออกก่อนเพราะเราอาจจะแค่คบเพื่อนแต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำตามเพื่อน ขณะที่ข้อที่ 1.ฉลองวันเกิดที่ผับชื่อดัง ก็ไม่จำเป็นต้องอันตราย ตัวเลือกที่ 4 พนักงานมักพูดคุยขณะเติมน้ำมันให้ลูกค้า ก็ไม่ใช่ยิ่งข้อ 5 ตัดไปได้เลย ฉะนั้นขอตอบข้อ 2 ที่บอกว่า ขับรถกลับบ้านขณะมึนเมา เพราะมีความอันตรายแบบชัดเจนเลย

ผู้ปกครองรายนี้มีข้อเสนอแนะถึงผู้ออกข้อสอบว่า ควรจะมีคณะกรรมการที่เข้ามาศึกษาเรื่องการออกข้อสอบ รวมทั้งปรึกษากันเพื่อออกข้อสอบให้มีความชัดเจนและเหมาะสม อีกทั้งคนที่ออกข้อสอบควรเป็นคนที่สอนหนังสือและคลุกคลีกับนักเรียนอยู่ในปัจจุบัน

ในขณะที่ "อุทุมพร จามรมาน" อดีตผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) มองว่า ตามหลักการออกข้อสอบจะต้องยึดตามหลักสูตรการเรียนรู้ และจะต้องออกให้ครบทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ หลักการออกข้อสอบแบบวัดความคิดเห็น จะไม่มีการให้คะแนนแบบถูกผิด แต่จะต้องมีการเฉลี่ยคะแนนแต่ละข้อ ซึ่งจะมีข้อหนึ่งที่ได้คะแนนมากที่สุด ส่วนข้อสอบแบบวัดความรู้ และการคิดวิเคราะห์ จะมีคำตอบถูก ผิด ชัดเจน และสามารถอธิบายตามหลักวิชาการได้

"กาญจนา นาคสกุล" ราชบัณฑิต และนายกสมาคมครูภาษาไทยแห่งประเทศไทย อดีตประธานคณะกรรมการพิจารณาข้อสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ระบุว่า ปัจจุบันการออกข้อสอบอาจจะยังไม่มีความชัดเจนในบางส่วน

รวมถึงการออกข้อสอบเน้นความรู้เฉพาะเจาะจงมากเกินไป จนเด็กไม่สามารถตอบคำถามได้ อย่างเช่น ข้อสอบที่ถามเกี่ยวกับเส้นทางการเดินทางในกรุงเทพฯ หรือว่าความรู้ที่รู้เฉพาะคนกรุงเทพฯ และปริมณฑลเท่านั้น แต่เด็กต่างจังหวัดไม่สามารถตอบได้

ปัจจุบันการออกข้อสอบยังมีหลายข้อใช้ภาษาและคำถามไม่ชัดเจน จึงทำให้นักเรียนหลายคนเกิดความรู้สึกว่าคำตอบถูกทุกข้อ

การออกข้อสอบควรเน้นความเป็นธรรมกับนักเรียนทุกคน ต้องเป็นความรู้ได้จากตำราเรียน และความรู้ที่เด็กจะได้จากการเรียนแต่ละวิชา แต่ถ้าเป็นความรู้ทั่วไป ก็ต้องเป็นความรู้ที่นักเรียนทั้งประเทศที่รู้ และสามารถตอบได้

แต่ในปัจจุบันการออกข้อสอบเน้นถามเรื่องที่ครูรู้ แต่เด็กไม่รู้ และครูออกข้อสอบซับซ้อนมากเกินไปจนเด็กตอบไม่ได้

และนี่คืออีกเสียงสะท้อนต่อการสอบโอเน็ตของเด็กไทย


ที่มา หน้า 9 มติชนรายวันฉบับวันที่ 16 ก.พ. 2556
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า

กระทู้ฮอตในรอบ 7 วัน

add
เรทกระทู้
« ตอบ #1 เมื่อ: 16 ก.พ. 13, 22:16 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

นี่คือผลงานของ "กระทรวงศึกษาพิการ" ครับ

เห็นได้ชัดเจน สอนเด็ก อนุบาลถึง ป.4 รวม 6 ปี(อาจรวมถึงจบป.6ด้วย)รวม 8 ปีนักเรียน จบหลักสูตรชั้นต้น ลองนำหนังสือพิมพ์รายวันทั้ง ไทยรัฐ เดลินิวส์ (ขอยกเว้นเด็กกรุงเทพฯ) นอกนั้น เด็กใน 76 จังหวัด อ่านนังสือไทยออกจริงๆประมาณ 5 % อ่านตะกุกตะกัก อ่านกระพร่องกระแพร่ง ประมาณ 20 % อ่านผิดอ่านถูก ประมาณ 40% อ่านหนังสือไทยไม่ออกเลย อ่านไม่เป็นภาษาประมาณ 35 %

เรื่องภาษาอังกฤษ ไม่ต้องพูดถึง อ่าน A-Z ออกสำเนียงเสียงผิดทุกตัว (ส่วนมาก)พูดได้เพียง ว้อทอีทดีท.. ดีดอีดอะแช...(ไม่มีเสียงจากไรฟัน) ว้อทอีดยัวเนม....มายเนมอีท สมชาย ส่วนมากจะพูด - ฟัง ได้เพียงเท่านี้ ประโยคอื่นๆพูดไม่ได้ ฟังไม่ออก ตอบไม่ได้ แม้น จบป.ตรี โท เอก (ด๊อกเตอร์)ภาษาอังกฤาภาษากลางของโลก(คนส่วนมาก)พูดถาม-ตอบง่ายๆไม่ได้ เรียนภาษาอังกฤษนานนับ 18-20 ปี พูดคุยทักทายชาวต่างชาติ ไม่ได้ นี่คือผลงานของคุณครู กระทรวงศึกาาพิการ

แปลกพิศดารมาก เป็นเรื่องเหลือเชื่อว่าเกิดขึ้นในประเทศไทยจริงๆ ถ้าไม่เชื่อลองพิสูจน์ได้ เด็กจบป.4 ป.6 ลองให้อ่านหนังสือพิมพ์รายวัน ฉบับใหนก็ได้

ผมสอนภาษาไทย ให้ฝรั่ง ที่ไม่เคยเรียนภาษาไทยมาเลย 20 ชม.จ่ายเงินเพียง 2500 บาท ก-ฮ ออกเสียงไกล้เคียง รู้จัก Thai Language structure(Briefs) เรียนวันละ 1-2 ชม. ประมาณ 30 วัน ชาวต่างชาติสามารถพูดภาษาไทยอย่างถูกต้อง อย่างน้อย 150 ประโยค(เน้นสำเนียง)

ทฤษฎีง่ายๆคือ เขียนๆๆๆๆ อ่านๆๆๆๆๆๆๆ พูดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ฟังๆๆๆๆๆๆๆๆๆแบบซ้ำซาก 30 วันเป้นแน่

ในทางกลับกัน คนไทยเรียนภาษาอังกฤษ ใช้ทฤษฏีเดียวกัน ...มันยากอะไรนักหนา..ละครับ นกแก้วมันยังพูดได้เลย เมื่อได้ 150 ประโยคสำคัญๆที่จำเป็น หลังจากนั้นก็ต่อยอดไปเรื่อยๆ

การสอบ โอเนต- เอเนต ของนักเรียนไทย เท่าที่ทราบไม่มีประเทศใดในโลกเขาทำกัน การศึกษาในโลกนี้มี 2 ระบบที่มาตรฐาน คือ

ระบบแบบ อังกฤษ คือ แบ่งการศึกษาออกเป็น 7 ระดับคือ Elementary หแ้นนส(2ปี) Primary school(4ปี) Secondary school(6ปี) High-school (2ปี) อาจต่อในระดับ Vocation หรือ College (2อย่างนี้จบระดับDiploma) รือจบ Level 12 เข้าเรียนต่อใน University (4-5ปี)ได้ Graduated ปริญญาตรี(BA) ต่อในระดับ ปริญญาโท จบ MBA ต่อปริญญาเอก จบPh.d แล้วก็ต่อ Post-Ph.d ก้อเป็นศาสตราจารย์(Professional)

ระบบแบบอเมริกา คือแบ่งเป็น Pre-school(2ปี) Level 1-12 จากนั้นต่อใน University หรือไปสายอาชีพในระดับ Vocation หรือ College สูงกว่านี้ก็เหมือนในอังกฤษ

ในประเทศไทยไม่เห็นต้องคิดให้พิศดาร บ้าบอคอแตก วิธีสอบผ่านชั้นเขาก็มีเป้นตัวอย่าง ที่เขาพิสูจน์ได้ว่า ดีที่สุด อันนี้ ไทยเราเอาแบบได้เลย เพราะการศึกษา ประเทศทั่วโลกมี Standard อยู่แล้ว ไปเรียนในประใหนก็ได้ ระบบเดียวกัน

ครั้งกระทรวงศึกษาพิการ มีเรียน ป.7 เสียเวลาเรียนไป 1 ปี ฟรีๆ มีอยู่ครั้งหนึ่ง นักเรียนจบไม่ครบ 12 ปี ไปเรียนต่างประเทศเข้ามหาลัยไม่ได้ ต้องไปเรียน มัธยมเพิ่มอีก 1 ปี นี่คือกระทรวงศึกษาพิการฃองประเทสไทย..น่าสมเพชนัก

แม้แต่ คำว่า Entrance กระทรวงศึกษาใช้มานานตั้งแต่มีมหาวิทยาลัยในเมืองไทย พอถึงยุคทักษิณ เปลี่ยนเป็น Admission 2 คำนนี้ใช้ต่างกัน หลายคนคิดว่าใช้กันได้ (เคยอธิบายความแตกต่างในบอร์ดนี้มาหลายครั้งแล้ว) ทำให้นักศึกษาสับสนวุ่นวาย มานานแล้ว..เวรกรรมของนักเรียน และผุ้ปกครองแท้ๆ

//ช.ผาสุข

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Guest
ครูคนหนึ่ง
เรทกระทู้
« ตอบ #2 เมื่อ: 17 ก.พ. 13, 09:58 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

เห็นด้วยกับข้อความข้างต้นที่โพสต์ ผู้ออกข้อสอบไม่ได้ดูมาตรฐานของเด็กทั่วประเทศ คนสอนคนหนึ่ง คนออกข้อสอบคนหนึ่ง เพราะแต่ละที่ครูเขาก็สอนตามหลักสูตรสถานศึกษา ตามสภาพความพร้อมของเนื้อหา สื่อการสอนที่มี เพราะโรงเรียนแต่ละแห่งไม่เเหมือนกันบางแห่งเงินเยอะงบมาก็สนองความต้องการของนักเรียนได้ดี แต่โรงเรียนที่ขาดแคลนก็แล้วแต่ชะตากรรม ไม่ยุติธรรมแท้ แม้กระทั่งโรงเรียนใน กทม. นี่เองที่เป็นแบบนั้น

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Guest
คาใจ
เรทกระทู้
« ตอบ #3 เมื่อ: 17 ก.พ. 13, 10:10 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นค่ะ..หากว่าล่วงเกินท่านใดโปรดอภัย..ในเรื่องข้อสอบที่ใช้สอบ ดิฉันไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งที่จะให้บุคคลที่ไม่ได้คลุกคลีกับนักเรียนโดยตรงไปออกข้อสอบเพราะท่านเหล่านั้นยังไม่เข้าใจถึงบริบทและสภาพแวดล้อมของเด็กจริง อีกทั้งข้อสอบออกมา เด็กในเมืองทำได้เพราะข้อสอบส่วนมากเน้นถามอะไรที่เกี่ยวกับในเมือง แต่ท่านทั้งหลายคงไม่เข้าใจถึงสถาพของเด็กสภาพเด็กในเมือง เด็กบ้านนอก เด็กชายขอบหรือเด็กบนเขา ดังนั้นท่านจะใช้ข้อสอบชุดเดียวกันสอบทั่วประเทศได้ไง เพราะยังไงผลออกมาเด็กชายขอบ ก็ต้องต่ำกว่าอยู่แล้ว ดิฉันเพียงแค่อยากเสนอท่านผู้มีอำนาจช่วยกรุณาออกข้อสอบแบบแบ่งกลุ่มจะได้ไหมค่ะ

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #4 เมื่อ: 17 ก.พ. 13, 10:51 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

เกิดการผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า...ผู้บริหารสำนักทดสอบฯ(สทศ.) พิจารณาตัวเองได้แล้ว ได้โปรดเถิดครับ....ลาออกเถิดครับ ไม่อายหรือครับ...
คุณนั่งอยู่ในห้องแอร์แล้วคุณก็ออกข้อสอบ.. ปีก่อนโน้น ระดับชั้นป.6 คุณก็ออกข้อสอบถามนักเรียนทั้งประเทศเกี่ยวกัยรเมล์สายอะไร(ในกทม.) ที่วิ่บงผ่าน...... ไม่มีใครตอบได้คุณก็แถมให้ 4 คะแนน.. น่าอายครับน่าอาย

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Guest
คิดต่าง..
เรทกระทู้
« ตอบ #5 เมื่อ: 17 ก.พ. 13, 10:54 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

อย่าเอาเด็กกรุงเทพมายกเว้นเลยค่ะ ดิฉันเอาลูกไปเรียนพิเศษปกติ บ้านอยู่ต่างจังหวัด แต่เพราะหน้าที่การงานต้องเข้ามาอยู่ใน กทม. ดิฉันเอาลูกมาเรียนพิเศษที่หนึ่ง มีผู้ปกครองนำลูกตัวเองมาเรียนพิเศษที่นี่ด้วย เด็กคนนั้นและอีกหลายคน ยังอ่านภาษาไทยไม่ออกเลยค่ะ ทั้งๆ ที่เรียนชั้นปีเดียวกัน คือ ป.๒ ลูกดิฉันยังอ่านคล่องกว่าเยอะเลย..นี่เรื่องจริง..ดิฉันถามแม่เด็กคนนั้น แม่เด็กบอกว่าเป็นเพราะให้เค้าเรียนคลอสภาษาอังกฤษ เลยทำให้เด็กไม่รู้ภาษาไทย และเห็นเด็กหลายคนค่ะในที่เรียนพิเศษอ่านภาษาไทยไม่คล่องเหมือนกันทั้งๆ ที่อยู่ใน กทม.มาตั้งแต่กำเนิด...

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Guest
ครูคนหนึ่ง
เรทกระทู้
« ตอบ #6 เมื่อ: 17 ก.พ. 13, 11:15 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

เห็นด้วยกับคุณ ช.ผาสุข ทุกคำเลยค่ะ อ่อ อยากเพิ่มเติมหน่อยนะคะ ถ้ามันวิชาการมากเกินไป เด็กก็รู้แต่ในแค่วิชาการนะคะ ความรู้รอบตัวไม่ได้เลย สภาพแวดล้อมและวิถีชีวิตก็ต่างกันกับเด็กในเมืองอยู่แล้ว ให้ยุติธรรมเลยคือ ลองส่งครูแถบภูมิภาคไปร่วมออกข้อสอบด้วยสิคะ ในอัตราคณะกรรมการ

สมมุติว่ากรรมการออก 10 คน มีครูมาจากภูมิภาค 4-5 คน แล้วลองช่วยกันคัดกรองข้อสอบ หรือนำเนื้อหามาออกข้อสอบเกี่ยวกับเรื่องของเกษตรกรรม การเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ นิทานพื้นบ้าน ลองแบ่งเป็นสัดส่วนของข้อสอบ เด็กสมัยนี้เก่งออกเยอะแยะ อย่าไปคิดว่าเด็กที่หลายๆคนที่บางคนยัดเยียดเรียกว่าบ้านนอก เขาจะไม่รู้นะคะ เผลอๆกระบวนการคิดและการปฏิบัติเขาเก่งกว่าเด็กในเมืองด้วยซ้ำ

เอาใจช่วยนะคะ ทั้งเด็กๆ ผู้ปกครอง คุณครู และกรรมการ ค่ะ

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #7 เมื่อ: 17 ก.พ. 13, 14:34 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

เรียนหนัก
ข้อสอบยาก
แต่ทำไมประเทศไม่เจริญ ?
อ่านจากตรงนี้ วิเคาระห์ได้หลายมุมมอง

คำถาม"สถานการณ์ใดเสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัยมากที่สุด?" มีตัวเลือกคือ 1.ฉลองวันเกิดที่ผับชื่อดัง
ตอบ.พอดีวันนั้นเป็นวันปีใหม่ผับจุดพุไฟฉลองปีใหม่
หรือ มีเพื่อนแอบวางยาในแก้วน้ำเราซึ่งเราไม่รู้ตัวโดนลากไปเสียบ
หรือ ฉลองกันเพื่อนพาชวนลองเล่นยา
2.ขับรถกลับบ้านขณะมึนเมา
อ้าวเพื่อนที่เมาไม่ได้ขับ มันนั่งเฉยๆ
หรือบ้านอยู่ห่างจากผับ200เมตร
หรือเพื่อนไม่ได้เมาเพราะมันบอกว่ามันไม่เมาเราเองก็เชื่อ
หรือเราเองบอกตัวเราว่าไม่ได้เมาซึ่งส่วนใหญ่ก็ทำแบบนั้น
3.คบเพื่อนที่ชอบซิ่งรถจักรยานยนต์
เค้าซิ่งในสนามแข่งไม่น่าจะเป็นไร
หรือมันพาเราซ้อนไปด้วยไม่ตายหรอก
หรือไม่ได้ซิ่งแค่ขี่กินลม
4.พนักงานมักพูดคุยขณะเติมน้ำมันให้ลูกค้า
มั่วแต่พูดน้ำมันล้นออกมาไม่ได้ดูปั๊มระเบิด
5.คาดเข็มขัดนิรภัยทันที เมื่อเห็นตำรวจจราจร
ปกติก็ไม่ได้คาดกันอยู่แล้ว ในรถมีถุงลมไม่ตายหรอก

มนุษย์เรา แตกต่างทางความคิดแต่ละคนมีมุมมองไม่เหมือนกัน
เพราะงั้นถ้าจะถามว่าอะไรอันตรายที่สุดมันคงตอบไม่ได้เพราะ
แต่ละคน มีมุมมองเรื่องความปลอดภัยต่างกันออกไป
แล้วเอาอะไรมาตัดสิน กับข้อสอบแบบนี้
ความรู้ประสพการณ์ต่างๆจะช่วยเราให้วิเคาระห์เป็น
ไม่ใช่สอบข้อ


noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Guest
ไม่ใช่คนกรุงเทพ
เรทกระทู้
« ตอบ #8 เมื่อ: 17 ก.พ. 13, 15:18 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

นี่คือผลงานของ "กระทรวงศึกษาพิการ" ครับ
ลองนำหนังสือพิมพ์รายวันทั้ง ไทยรัฐ เดลินิวส์ (ขอยกเว้นเด็กกรุงเทพฯ) นอกนั้น เด็กใน 76 จังหวัด อ่านนังสือไทยออกจริงๆประมาณ 5 % อ่านตะกุกตะกัก อ่านกระพร่องกระแพร่ง ประมาณ 20 % อ่านผิดอ่านถูก ประมาณ 40% อ่านหนังสือไทยไม่ออกเลย อ่านไม่เป็นภาษาประมาณ 35 %

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 ก.พ. 13, 15:39 น โดย checkerlish » noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Guest
k542
เรทกระทู้
« ตอบ #9 เมื่อ: 17 ก.พ. 13, 15:31 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
เรียนหนัก
ข้อสอบยาก
แต่ทำไมประเทศไม่เจริญ ?
อ่านจากตรงนี้ วิเคาระห์ได้หลายมุมมอง

คำถาม"สถานการณ์ใดเสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัยมากที่สุด?" มีตัวเลือกคือ 1.ฉลองวันเกิดที่ผับชื่อดัง
ตอบ.พอดีวันนั้นเป็นวันปีใหม่ผับจุดพุไฟฉลองปีใหม่
หรือ มีเพื่อนแอบวางยาในแก้วน้ำเราซึ่งเราไม่รู้ตัวโดนลากไปเสียบ
หรือ ฉลองกันเพื่อนพาชวนลองเล่นยา
2.ขับรถกลับบ้านขณะมึนเมา
อ้าวเพื่อนที่เมาไม่ได้ขับ มันนั่งเฉยๆ
หรือบ้านอยู่ห่างจากผับ200เมตร
หรือเพื่อนไม่ได้เมาเพราะมันบอกว่ามันไม่เมาเราเองก็เชื่อ
หรือเราเองบอกตัวเราว่าไม่ได้เมาซึ่งส่วนใหญ่ก็ทำแบบนั้น
3.คบเพื่อนที่ชอบซิ่งรถจักรยานยนต์
เค้าซิ่งในสนามแข่งไม่น่าจะเป็นไร
หรือมันพาเราซ้อนไปด้วยไม่ตายหรอก
หรือไม่ได้ซิ่งแค่ขี่กินลม
4.พนักงานมักพูดคุยขณะเติมน้ำมันให้ลูกค้า
มั่วแต่พูดน้ำมันล้นออกมาไม่ได้ดูปั๊มระเบิด
5.คาดเข็มขัดนิรภัยทันที เมื่อเห็นตำรวจจราจร
ปกติก็ไม่ได้คาดกันอยู่แล้ว ในรถมีถุงลมไม่ตายหรอก

มนุษย์เรา แตกต่างทางความคิดแต่ละคนมีมุมมองไม่เหมือนกัน
เพราะงั้นถ้าจะถามว่าอะไรอันตรายที่สุดมันคงตอบไม่ได้เพราะ
แต่ละคน มีมุมมองเรื่องความปลอดภัยต่างกันออกไป
แล้วเอาอะไรมาตัดสิน กับข้อสอบแบบนี้
ความรู้ประสพการณ์ต่างๆจะช่วยเราให้วิเคาระห์เป็น
ไม่ใช่สอบข้อ



q*062q*062q*071q*071
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Guest
ครูกทม.แก่ๆ
เรทกระทู้
« ตอบ #10 เมื่อ: 17 ก.พ. 13, 18:55 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการสอบโอเน็ต แล้วเอาผลการสอบมาคิดโบนัส ครู่แต่ละโรงเรียนต้องเร่งสอนเร่งติวให้เด็ก ทั้งตอนเช้า ตอนเย็น เสาร์ อาทิตย์ไม่ได้เว้นจนเด็กสอบ ควรที่จะได้เนื้อหาครบตามมาตรฐานตัวชี้วัด เราสอนอีกอย่างแต่ออกอีกอย่างเช่นวิชาสังคมของปีนี้ เราสอนทุกศาสนาที่มีในประเทศไทย คุณท่านออกเฉพาะศาสนาพุทธเท่านั้น จากการถามเด็กนะครับว่าข้อสอบมีอะไรบ้าง ควรยกเลิกไปเถอะครับการสอบ ให้ครูเขามีเวลาสอนตามปกติแล้วจะได้เนื้อหามากมายกว้างกว่าเดิม

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Guest
iyda
เรทกระทู้
« ตอบ #11 เมื่อ: 17 ก.พ. 13, 19:24 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

น่าสงสารเด็กไทย เป็นกำลังใจให้ สู้ๆๆ

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Guest
คุณเบื่อ
เรทกระทู้
« ตอบ #12 เมื่อ: 17 ก.พ. 13, 20:17 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ออกข้อสอบให้มันยากแสดงถืงความรู้ความสามารถของผู้ออก พากพูมใจที่เด็กมันทำไม่ได้ เรียนมาอย่าง ข้อสอบออกอีกอย่าง มิน่า ประเทศชาติถืงเจริญ การศืกษาตกต่ำ โทษใคร

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Guest
zole
เรทกระทู้
« ตอบ #13 เมื่อ: 17 ก.พ. 13, 20:37 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
เรียนหนัก
ข้อสอบยาก
แต่ทำไมประเทศไม่เจริญ ?
อ่านจากตรงนี้ วิเคาระห์ได้หลายมุมมอง

คำถาม"สถานการณ์ใดเสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัยมากที่สุด?" มีตัวเลือกคือ 1.ฉลองวันเกิดที่ผับชื่อดัง
ตอบ.พอดีวันนั้นเป็นวันปีใหม่ผับจุดพุไฟฉลองปีใหม่
หรือ มีเพื่อนแอบวางยาในแก้วน้ำเราซึ่งเราไม่รู้ตัวโดนลากไปเสียบ
หรือ ฉลองกันเพื่อนพาชวนลองเล่นยา
2.ขับรถกลับบ้านขณะมึนเมา
อ้าวเพื่อนที่เมาไม่ได้ขับ มันนั่งเฉยๆ
หรือบ้านอยู่ห่างจากผับ200เมตร
หรือเพื่อนไม่ได้เมาเพราะมันบอกว่ามันไม่เมาเราเองก็เชื่อ
หรือเราเองบอกตัวเราว่าไม่ได้เมาซึ่งส่วนใหญ่ก็ทำแบบนั้น
3.คบเพื่อนที่ชอบซิ่งรถจักรยานยนต์
เค้าซิ่งในสนามแข่งไม่น่าจะเป็นไร
หรือมันพาเราซ้อนไปด้วยไม่ตายหรอก
หรือไม่ได้ซิ่งแค่ขี่กินลม
4.พนักงานมักพูดคุยขณะเติมน้ำมันให้ลูกค้า
มั่วแต่พูดน้ำมันล้นออกมาไม่ได้ดูปั๊มระเบิด
5.คาดเข็มขัดนิรภัยทันที เมื่อเห็นตำรวจจราจร
ปกติก็ไม่ได้คาดกันอยู่แล้ว ในรถมีถุงลมไม่ตายหรอก

มนุษย์เรา แตกต่างทางความคิดแต่ละคนมีมุมมองไม่เหมือนกัน
เพราะงั้นถ้าจะถามว่าอะไรอันตรายที่สุดมันคงตอบไม่ได้เพราะ
แต่ละคน มีมุมมองเรื่องความปลอดภัยต่างกันออกไป
แล้วเอาอะไรมาตัดสิน กับข้อสอบแบบนี้
ความรู้ประสพการณ์ต่างๆจะช่วยเราให้วิเคาระห์เป็นไม่ใช่สอบข้อ

ประเทศชาติไม่เจริญเพราะนักการเมืองโกงกิน ใครเลือกมาให้มันโกงกินกันตามสบายแถมต่างฝ่ายต่างอุ้มสมข้างตัวเองโดยไม่ได้ลืมตามองประเทศชาติและสังคม

ส่วนข้อสอบความเสี่ยงไม่ความปลอดภัยมากที่สุด คำตอบเป็นข้อสองเพราะส่วนใหญ่อุบัติเหตุมาจากเมาแล้วขับมากที่สุด ทุกข้อใช่แต่เขาถามว่ามากที่สุด และถามเด็กที่เรียน คนที่จำได้บอกว่าหนังสือเรียนมีบอก

มันไม่เกี่ยวกับมุมมอง แต่มันเป็นข้อมูลที่พวกเราก็รับรู้กันอยู่ทุกครั้งที่มีอุบัติเหตุ





noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Guest
zole
เรทกระทู้
« ตอบ #14 เมื่อ: 17 ก.พ. 13, 21:09 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

เท่าที่ถามเด็กที่ทำข้อสอบปีนี้และปี 2554 เขาบอกเหมือนกันว่า ทุกวิชาอยู่ในเนื้อหาหมด ยกเว้น การงานและศิลปะ ศิลปะแย่มากไม่มีในเนื้อหา สงสัยโรคจิตอยากให้เด็กสอบตก เคยแนะนำให้เปิดสภาฟังผู้ปกครองและนักเรียน รมว ศธ ก็ไม่สนใจ สงสัยเมืองไทยคงไม่มีกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ)แต่เป็นศึกษาพิการ(ศพ) อย่างที่เขาด่าจริงๆ ตัวย่อใหม่ก็คือศพ ศพจะสนใจอะไรเป็นนอกจากปล่อยเด็กไปตามบุญตามกรรม ยิ่ง รมว ศพ รุ่นนี้อยากจะแก้แต่รัฐธรรมนูญ หัดมองการศึกษาชาติบ้าง มีหน้าที่แต่ไม่ทำ สิ่งที่แย่ที่สุดคือคำตอบผิด24ข้อเป็นความผิดร้ายแรง ถ้าข้อเดียวพออนุโลม กก ทั้งคณะต้องลาออกจาก สทศ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เด็กที่สอบ๗วิชาสามัญสงสัยกันอีกว่าคำตอบถูกหรือเปล่า เพราะเด็กบางคนสอบคณิตตรวจคำตอบได้๖๐คะแนนออกมา๑๖ พอเด็กจ่าย๒๐บาทขอดูคะแนนก็ให้ดูแค่ว่ากระดาษคำตอบตรงกับรูเจาะถูกต้องไหม ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เด็กอยากดู ถ้าเจาะรูมาผิดเหมือนคำตอบผิด๒๔ข้อที่เด็กจับได้ละ มันก็พิสูจน์ความถูกต้องที่แท้จริงไม่ได้
ขอโทษที่ย่อหน้าไม่ได้เพราะสแนปแล้วข้อมูลก็หายหมด

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Guest
นักวิชาเกิน
เรทกระทู้
« ตอบ #15 เมื่อ: 17 ก.พ. 13, 21:33 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

เอาความคิดตัวเองมาตัดสินความคิดเด็กก็งี้แหละ อย่าคิดว่าตัวเองเก่ง นั่งห้องแอร์ ไม่เคยมาสอนแถวชนบท คุณลองออกข้อสอบที่ถามเฉพาะเรื่องในชนบทบ้างสิ คุณคนออกข้อสอบ เบื่อมาก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เรียนมามากก็เลยลืมว่าพื้นฐานบ้านเมืองเป็นอย่างไร

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Guest
แม่หนิง
เรทกระทู้
« ตอบ #16 เมื่อ: 17 ก.พ. 13, 21:47 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

q*078 ขอถามหน่อยเถอะค่ะ
ข้อสอบที่ว่า ความรู้รอบตัวนะคะ เด็ก มี หาอ่านได้ตามหนังสือ ฯลฯ
แต่คุณเรื่องละคร มาเป็นข้อสอบนะ ละครกี่ทุ่มคะ
เด็ก สองทุ่มก็นอนแล้ว เพราะต้องตื่นแต่เช้าไปโรงเรียน
หรือ ต้องสนับสนุนเด็กให้ดูละครรอบก็ไม่ได้ เอาข้อสอบที่เด็กบางคนไม่ได้ดูมาเป็นข้อสอบ เพื่อ ? (บอกว่าผุ้ใหญ่ไม่ฉลาดไปกว่าเด็กหรอก)
วิถี เปลี่ยน แต่อยากให้ดูว่า เด็กเรียนอะไร สอบอะไร แล้วได้อะไรนะคะ q*027

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Guest
ผู้ปกครอง
เรทกระทู้
« ตอบ #17 เมื่อ: 17 ก.พ. 13, 22:36 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ที่ไม่ถูกแน่ๆคือการเอาประสบการณ์และทัศนคติส่วนตัวของคนออกข้อสอบมาเป็นตัวกำหนดความรู้ทั่วไปของเด็ก

บ้านผมไม่ดูละครเลยแม้แต่เรื่องเดียว ละครและผลิตภัณฑ์บันเทิงของคนไทยไม่ใช่เงื่อนไขบังคับในการดำรงชีวิต ไม่ใช่แค่ผม แต่มีเพื่อนอีกหลายครอบครัวที่เขาไม่อยู่ในวงจรของการเสพผลิตภัณฑ์พวกนี้ ไม่มีครอบครัวไหนที่ลำบาก พวกเราไม่มีหนี้ และเจริญก้าวหน้าในชีวิตและอาชีพการงานเรียบร้อยกันดี แต่คนออกข้อสอบเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน ซี้ซั้วออกข้อสอบโดยมองว่าตนเองเป็นตัวแทนทักษะมาตรฐานของสังคม ซึ่งเป็นทัศนคติที่แคบมาก

บางคนก็เข้าใจว่าเด็กทุกคนต้องบ้าเล่นเกม เด็กทุกคนต้องบ้าดาราเกาหลี เด็กทุกคนต้องเรียนกวดวิชา เด็กทุกคนต้องอยากเป็นหมอ เด็กวัยรุ่นต้องสนใจเพศตรงข้าม ชอบเดินห้าง ติดมือถือ ... ไร้สาระมากๆ ใช่ครับ เด็กเยอะแยะที่พ่อแม่ไหลไปตามกระแส และลุกๆก็เป็นไปด้วย แต่นั่นไม่ใช่เงื่อนไขที่คนๆหนึ่งจะต้องทำเพื่อให้อยู่ในสังคมนี้ เรื่องฉาบฉวยแบบนั้นไม่ใช่สาระของชีวิตที่จะเอามาเป็นบรรทัดฐานประเมินคุณภาพการศึกษาของเด็กครับ

คนออกข้อสอบต้องยอมรับว่า มีโลกใหญ่กว่าอยู่นอกกะลาของเขาครับ

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Guest
eak cha
เรทกระทู้
« ตอบ #18 เมื่อ: 18 ก.พ. 13, 00:07 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ออกข้อสอบบ้าๆบอๆ คล้ายกับปัญหาโลกแตกตอบอะไรก็ได้.มันอยู่ที่มุมมองของแต่ละคน. ยังยังออกข้อสอบแนวนี้อยู่ จะให้ดีคือ ในหน้าสุดท้ายของข้อสอบให้ลงชื่อคนออกข้อสอบหน่อยเหอะ..จะได้อุ้มไปโรงบาลให้หมอฉีดยาทันก่อนมันจะบ้า.โอเน็ตข้อสอบแบบนี้มันดียังไง?? เลิกเหอะ สงสารเด็กต้องมาตามความคิดของผู้ใหญ่. มาตรฐานที่ทั่วโลกเขาใช้กัน มีให้เห็นและก็ดีอยู่แล้วด้วย อย่างเนี้ยไม่ทำตามละครับ คุณข้อสอบปัญญานิ่มทีออกๆมา ลองยกตัวอย่างสักข้อไปถามพวกต่างชาติซิ มันจะขำก๊ากเลย. เพื่อไรอะ?
เอ้า ถามกระทรวงศึกษาพิการดูบ้้างว่า
ผมมีเงินอยู่ 20000 ผมควรจะซื้ออะไร?
1.i pad mini
2.Mac book air
3.i phone 4s
4.amazon kindle fire
5.sony vaio
ตอบถูกมั้ยละ? ข้อสอบที่คุณออกมันก็ทำนองเนี้ย.

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Guest
ทองใบ พัฒนะรัตน์
เรทกระทู้
« ตอบ #19 เมื่อ: 18 ก.พ. 13, 01:49 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

q*071
เห็นด้วยกับผู้ปกครอง 17
การออกข้อสอบที่ว่านี้มันหว่านกว้างเกินไป น่าจะออกข้อสอบที่เป็นความรู้สร้างสรรค์ อย่างเช่นการดูแลสุขภาพต้องทำอย่างไร ไม่ดีกว่าหรือ น่าจะให้เด็กได้รู้หรือแนะแนวให้เด็กหาความรู้นอกวิชาเรียนได้ที่ไหน ของONET, ANET
น่าจะจรรโลงสร้างสรรค์ความรูู้ที่ดีๆให้กับเยาวชนไม่ดีกว่าหรือต่อไปเขาพวกนี้จะได้มีแนวความคิดที่ดีๆ ทำสิ่งที่ดีๆให้กับสังคม
ระวังเวรกรรมตามสนองไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า
อย่าได้ทำลายอนาคตของเด็กเลย

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Guest
พลเมืองดี
เรทกระทู้
« ตอบ #20 เมื่อ: 20 ก.พ. 13, 10:16 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ลองให้เด็กนักเรียนออกข้อสอบแล้วให้ครูทั่วประเทศเข้ามาสอบแข่งขันเหมือนสอบโอเน็ตแล้วดูซิว่าพวกครูทั้งหลายใครจะได้คะแนนผ่านเหมือนเด็กสอบโอเน็ตน่าจะดีมั้ย

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Tags:  ข้อสอบ ตัวอย่าง 

หน้า: 1

 
ตอบ

ชื่อ:
 
แชร์ไป Facebook ด้วย
กระทู้:
ไอค่อนข้อความ:
ตัวหนาตัวเอียงตัวขีดเส้นใต้จัดย่อหน้าชิดซ้ายจัดย่อหน้ากึ่งกลางจัดย่อหน้าชิดขวา

 
 

[เพิ่มเติม]
แนบไฟล์: (แนบไฟล์เพิ่ม)
ไฟล์ที่อนุญาต: gif, jpg, jpeg
ขนาดไฟล์สูงสุดที่อนุญาต 20000000 KB : 4 ไฟล์ : ต่อความคิดเห็น
ติดตามกระทู้นี้ : ส่งไปที่อีเมลของสมาชิกสนุก
  ส่งไปที่
พิมพ์อักษรตามภาพ:
พิมพ์ตัวอักษรที่แสดงในรูปภาพ
 
:  
  • ข้อความของคุณอยู่ในกระทู้นี้
  • กระทู้ที่ถูกใส่กุญแจ
  • กระทู้ปกติ
  • กระทู้ติดหมุด
  • กระทู้น่าสนใจ (มีผู้ตอบมากกว่า 15 ครั้ง)
  • โพลล์
  • กระทู้น่าสนใจมาก (มีผู้ตอบมากกว่า 25 ครั้ง)
         
หากท่านพบเห็นการกระทำ หรือพฤติกรรมใด ๆ ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รวมถึง การใช้ข้อความที่ไม่สุภาพ พฤติกรรมการหลอกลวง การเผยแพร่ภาพลามก อนาจาร หรือการกระทำใด ๆ ที่อาจก่อให้ผู้อื่น ได้รับความเสียหาย กรุณาแจ้งมาที่ แนะนำติชม