
“King Power น่าจะเป็นแบรนด์ไทยแบรนด์แรกๆ ที่เข้ามาซื้อสปอนเซอร์ป้ายข้างสนามใน
ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเลยมั้งครับ ตอนนั้นคุณพ่อ(คุณวิชัย) เขียนแค่คำเดียวเลยว่า Welcome to Thailand ท่านคิดง่ายมากเลย บอกว่าพอคนมาเที่ยวเมืองไทย เดี๋ยวเขาก็ต้องซื้อของเราเองนั่นแหละ” คุณต๊อบ อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เล่า
กระทั่งมาถึงรุ่นของเขาแนวทางการบริหารที่มีแนวคิดเรียบง่ายแต่ยิ่งใหญ่ถูกสะท้อนออกมาอีกครั้งผ่านกิจกรรม ต่างๆ ที่ถือกำเนิดขึ้นหลังจาก “เลสเตอร์ ซิตี้” ธุรกิจอีกอย่างของเครือ ที่สร้างเซอร์ไพร์สหักปากกาเซียนทุกสำนักคว้าแชมป์
พรีเมียร์ลีก ซึ่งนั่นก็เป็นตัวจุดประกายทางความคิด ว่าคนไทยมีความสามารถมากกว่าที่คาดคิด จนทำให้ King Power ริเริ่มโครงการ CSR ภายใต้แนวคิด “คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย” ของตัวเองอย่างจริงจัง และภายใน 1 ปีที่ผ่านมามีกิจกรรมที่เกิดขึ้นรวมแล้ว 17 โครงการ 4 ด้านหลัก ซึ่งนี่คือ กิจกรรมไฮไลต์และสามารถสะท้อนวิธีคิดทางธุรกิจของตระกูลศรีวัฒนประภา
Sport Power
อาศัยเครือข่ายที่แข็งแรงในต่างประเทศ ทั้งทีมเลสเตอร์ ซิตี้ที่อังกฤษ และทีมเอาด์ เฮเวเลย์ เลอเวน ในเบลเยี่ยม ปั้นโครงการ Fox Hunt แต่ละปีเฟ้นหาเพชรเม็ดงามในวงการนักเตะเยาวชนไทยไปฝึกกับทีมเลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งตอนนี้ได้ต้อง “อาศัยเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์” ตอนนี้มีเด็กไทยที่ผ่านโครงการนี้เข้าไปหนึ่งในทีม U21 ของ เอาด์ เฮเวเลย์ เลอเวนแล้ว แต่เมื่อใดก็ตามที่เด็กของ Fox Hunt ได้เป็นตัวหลักของทีมใน TPL หรือทีมดังในเอชีย กระทั่งทีมชาติไทยชุดใหญ่ นั่นแหละ คือผลที่ King Power เชื่อว่าจะก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมมหาศาล
“เราเรียนรู้จากข้อผิดพลาดอยู่ตลอด ตอน Fox Hunt รุ่น 1 ที่เราคิดว่าเก่งมาก ปรากฏไปแข่งจริงๆ แพ้เขาครับ เราก็ต้องพัฒนาขึ้น เด็กเองก็ต้องเก็บเอาตรงนี้ไปเป็นประสบการณ์ของเขา และเรียนรู้จากตรงจุดนี้เช่นกัน…แต่ผมคาดหวังว่า 3 ปีนับจากวันนี้ ตอนซีเกมส์ จะต้องมีเด็กจาก Fox Hunt ในทีมชาติไทย”
นอกจากเรื่องใหญ่ที่ใช้งบประมาณปีละหลายสิบล้าน เพื่อดูแลชีวิตนักเตะราว 10-20 คน ต่อปีแล้ว King Power ยังทำเรื่องง่ายๆ แต่ยิ่งใหญ่ในระดับประเทศ กับโครงการล้านลูก ล้านพลัง สร้างฝันเด็กไทย แจกลูกฟุตบอลจำนวน 1 ล้านลูกให้กับเด็กไทยทั่วประเทศ ภายในปี 2565 ซึ่งตอนนี้แจกไปแล้วราว 200,000 ลูก ซึ่งต้นทุนของลูกฟุตบอลหนังที่คิง เพาเวอร์แจกก็ประมาณลูกละเกือบ 2 พันบาท

“ผมเองก็เคยเป็นเด็กมาก่อน สมัยนั้นเวลาอยากจะเตะบอล แต่ครูชอบเอาลูกฟุตบอลไปเก็บในห้อง ไม่มีโอกาสได้เล่น ขณะที่เคยมีโค้ชคนหนึ่งพูดกับผมว่า ถ้าอยากเล่นฟุตบอลให้เก่งต้องโดนลูกฟุตบอลให้ได้วันละ 1 พันครั้ง ดังนั้นเราก็เลยคิดว่า มันต้องเริ่มจากการให้โอกาสกับเยาวชนเขาก่อน อย่างน้อยก็ทำให้เขาได้มีเพื่อน ได้รู้แพ้รู้ชนะ ได้ออกกำลังกาย”
คนที่เคยทำทีมได้แชมป์พรีเมียร์ลีกมาแล้วอย่างเขา ทำไมจะไม่รู้ว่า แค่แจกลูกฟุตบอล ยังไม่พอที่จะพัฒนาทีมกีฬาที่ต้องเล่นเป็นทีมเวิร์คแบบนี้..ให้ชนะ.. แต่แจกลูกฟุตบอลไปก่อนเพื่อจุดประกาย แล้วสร้างแรงส่งก่อนที่จะเติบโตและแข่งขันในระดับอื่นๆ ต่อไป