“ช่วงแรกดำเนินธุรกิจด้วยความยากลำบาก เพราะในเมืองไทยยังเป็นเรื่องใหม่ พอโฆษณาออกไป คนเข้าใจว่าเรา คือ อูเบอร์ หรือ รถลีมูซีนที่เรียกรถไปส่งบ้าน แต่ไม่ใช่ เราคือบริการส่งพนัก
งานขับรถไปขับรถของลูกค้า เพื่อพากลับบ้านอย่างปลอดภัย
หลายคนสงสัยอีก จะให้ใครมาขับรถ ปลอดภัย ไว้ใจได้หรือเปล่า รถของเขาราคาแพงจะไว้ใจได้อย่างไรว่าจะไม่ทำเสียหาย แล้วขับรถของเขาเป็นหรือ พวกเราจึงต้องทำการบ้านกันอย่างหนักเพื่อทำให้ลูกค้ามั่นใจ”คุณพีท เล่ายิ้มๆ
ผู้ร่วมก่อตั้ง U DRINK I DRIVE เล่าให้ฟังต่อว่า ช่วงเริ่มต้นเมื่อราว 2 ปีก่อน กิจการของพวกเขา มีพนักงานขับรถอยู่ 2 คน เป็นชาย 1 หญิง 1 เพราะยังหาลูกค้าแทบไม่ได้ การจะจ้างโชเฟอร์รอไว้หลายๆคน คงเป็นการแบกค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็น
“มีเสียงคัดค้านที่บั่นทอนจิตใจหลากหลาย พวกเขาบอกธุรกิจนี้ไม่มีทางประสบความสำเร็จ ก่อนอธิบายเหตุผล ผับปิดพร้อมกันตอนตี 2 คนขับหนึ่งคนวิ่งได้อย่างมากรอบเดียว ส่วนค่าบริการสูงพอกับค่าเหล้า ใครจะยอมจ่าย แถมใครไม่รู้มาขับให้ ปลอดภัยหรือเปล่า สรุปเจ๊งแน่นอน ทุกคนคิดอย่างนี้”คุณพีท เล่าประสบการณ์ในอดีต
แม้จะเป็นธุรกิจที่ไม่น่าไปได้สวยในสายตาใครหลายคน แต่หลังจากเปิดบริการได้ไม่ถึงปี ปรากฎผลตอบรับดีมาก มีผู้ใช้บริการเฉลี่ยเดือนละกว่า 300-400 เที่ยว ส่วนใหญ่เป็นการบอกต่อผ่านนการโพสต์ การแชร์ในโซเซียลมิเดีย
จนทำให้กิจการเติบโตขึ้นตามลำดับ ทุกวันนี้ U DRINK I DRIVE มีพนักงานขับรถทั้งหมด 70 คน วิ่งให้บริการเดือนละกว่า 2,500 เที่ยว ธุรกิจมีอัตราการเติบโต 30 เปอร์เซ็นต์ และมีลูกค้าใช้บริการซ้ำไม่ต่ำกว่า 80 เปอร์เซ็นต์
“ทุกวันนี้ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่เป้าหมายยังอีกไกล เพราะดูจากตัวเลข 7 วัน อันตราย คนเมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุยังไม่เคยลดลง จึงต้องทำงานกันต่ออีก เพื่อทำให้ตัวเลขนี้ลดลงอย่างจริงจัง แต่ต้องยอมรับยังมีคนไม่รู้จักหรือยังไม่กล้าใช้บริการของเราอีกเป็นจำนวนมาก”คุณพีทท บอกจริงจัง
เมื่อถามไถ่ถึงขั้นตอนการคัดเลือก “โชเฟอร์” ที่ต้องไปให้บริการลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นระดับเอ ถึง เอบวกคุณพีท ซึ่งดูแลงานด้านนี้โดยตรง อธิบายว่า รับผู้ชายและผู้หญิง อายุระหว่าง 30-40 ปี เพราะมีวุฒิภาวะที่ไม่เหมาะสม จากนั้นจึงให้ทำแบบทดสอบออนไลน์ วัดว่ามีความรู้ด้านเส้นทางมากน้อยขนาดไหน ถ้าได้
คะแนนเกิน 60 เปอร์เซ็นต์ จะเรียกเข้ามาสัมภาษณ์
โดยบทสัมภาษณ์เป็นในเชิงจิตวิทยา เพื่อวัดว่าเป็นคนอย่างไร เพราะไม่ใช่แค่ต้องการคนเก่ง แต่ต้องการคนจิตใจดีด้วย เพราะต้องมั่นใจว่าเมื่อพวกเขาอยู่กับลูกค้าแล้วลูกค้าจะปลอดภัย
“ผมสัมภาษณ์พนักงานขับรถเองเป็นพันคนแล้ว ซึ่งไม่ง่ายเลยในการคัดเข้ามา และเมื่อผ่านรอบสัมภาษณ์จะให้ลองขั้นตอนการทำงาน เป็นสถานการณ์จริงและสถานการ์สมมติ เสร็จแล้วจึงมีการสอนขับรถที่หลากหลายรุ่น แต่ละรุ่นมีเกียร์ที่แตกต่างกัน จากนั้นให้ลองขับ โดยมีสูตรให้ถอยจอดเข้าซองภายในครั้งเดียว จากนั้นถึงให้ไปวิ่งบนถนนจริง มีเส้นทางที่กำหนดไว้ และมีการประเมินคะแนนว่าขับรถเป็นอย่างไรบ้าง ตัดคะแนนที่เกรดเอเท่านั้น”คุณพีท บอกอย่างนั้น
เมื่อถามถึงอุปสรรคปัญหากว่าจะช่วยกันนำพาธุรกิจมาถึงวันนี้ คุณพีท นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนบอก การเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นเรื่องยาก หลายคนเคยเมาแล้วขับมาเป็นสิบปี อยู่มาวันหนึ่งจะให้เขามาเสียเงินกับการบริการโชเฟอร์ไปขับรถของเขาคงไม่ง่ายนัก จึงต้องพยามยามแสดงให้เห็นว่า การใช้การบริการของเรามันสบายกว่า และผลดีที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่กับตัวคุณคนเดียว
“ เรื่องความเข้าใจและการเปิดใจของลูกค้าต้องใช้เวลา จึงค่อยๆทำไปในแบบของเรา แต่ยังดีที่มีสื่อให้ความสนใจบ้าง ประกอบกับลูกค้าที่ใช้บริการแล้วบอกต่อทำให้ฐานลูกค้าขยายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ” คุณพีท บอก อย่างนั้น
ผู้บริหารหนุ่ม อธิบายเกี่ยวกับการใช้บริการ U DRINK I DRIVE ให้ฟังว่า มีแอพพลิเคชั่นทั้งในระบบไอโอเอส และ แอนดรอยด์ คล้ายการเรียกของรถของ “อูเบอร์” โดยมีข้อมูลให้กรอกตอนสมัคร แต่ใครที่ไม่อยากโหลดแอพฯ สามารถเข้าทางเว็บไซต์ได้ ไปกรอกข้อมูลหน้าเว็บ
หรือลูกค้าที่ไม่ชอบเทคโนโลยีสามารถโทรศัพท์ผ่าน Call Center ได้ พนักงานขับรถจะไปถึงภายในประมาณครึ่งชั่วโมง แต่หากเป็นวันศุกร์-เสาร์ คนใช้บริการมีจำนวนมาก บางครั้งอาจเต็มบ้าง เพราะค่อนข้างคาดเดายากว่าแต่ละวันจะมีผู้ใช้บริการมากน้อยเท่าไหร่ แต่มีสูตรคำนวณจากประสบการณ์อยู่ว่า ความน่าจะเป็นของการใช้งานในแต่ละวันต้องใช้พนักงานเท่าไหร่ หากไม่พอจริงๆจะเรียกใช้พนักงานจากบริษัทลีมูซีน เอ็กซ์เพรสฯ มาช่วยเสริม
“ธุรกิจนี้ลงทุนหลายอย่าง แค่ระบบซอร์ฟแวร์ ก็หลักหลายล้านบาทแล้ว อีกทั้ง ออฟฟิศ คอลเซนเตอร์ เครื่อง
แต่งกาย การประกัน แต่เราคืนทุนตั้งแต่ปีแรกแล้ว และโชคดีที่ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายซีเอสอาร์ของบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลายยี่ห้อ เพราะพวกเขาอยากตอบแทนสังคมบ้าง
นอกจากนั้นแล้วยังมีบริษัทใหญ่ อย่าง โตโยต้า
ซัมซุง ฮอนด้า และ มูลนิธิเมาแล้วไม่ขับ มาทำงานร่วมกัน พวกเขาอยากส่งเสริมธุรกิจแบบนี้ให้แข็งแรง ต้องขอบคุณที่ทำให้เรามาไกลขนาดนี้”คุณพีท บอกจากใจริง
ก่อนฝากทิ้งท้ายว่า
“เคยคิดมาตั้งแต่เด็กว่าถ้าสามารถทำอะไรเพื่อสังคมได้คงเท่มากๆ และเชื่อว่าธุรกิจที่ประสบความสำเร็จนั้น ต้องมีคุณค่าอะไรบางอย่างให้กับผู้บริโภค ถ้าทำสิ่งที่มีคุณค่าแล้ว เดี๋ยวเงินก็ตามมาเอง”
https://www.sentangsedtee.com/exclusive/article_54782