หน้า: 1

ชนิดกระทู้ ผู้เขียน กระทู้: สถานีโทรทัศน์ CGTN นำเสนอเรื่องราวของครอบครัวพนักงานรถไฟสามรุ่น  (อ่าน 18 ครั้ง)
add
เรทกระทู้
« เมื่อ: 7 ต.ค. 20, 16:15 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
Send E-mail

แบ่งปันกระทู้นี้ให้เพื่อนคุณอ่านไหมคะ?

ปิดปิด
 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ สถานีโทรทัศน์ CGTN ได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับ “ครอบครัวพนักงานรถไฟ” ซึ่งเป็นเรื่องราวของคนสามรุ่นที่เลือกประกอบอาชีพเดียวกัน นั่นคือ พนักงานซ่อมบำรุงรถไฟ ผู้เป็นสักขีพยานการพัฒนาเทคโนโลยีทางรถไฟของจีน และบทความนี้บอกเล่าถึงความฝันของพวกเขาบนทางรถไฟสายชิงไห่-ทิเบต


อ่านบทความต้นฉบับได้ที่ https://news.cgtn.com/news/2020-10-05/Working-on-the-train-Family-inheritance-in-three-generations-UlhA4S7qQo/index.html


หลี่ ไห่เฟิง กล่าวว่า “ผมกำลังสานฝันของคุณพ่อและคุณปู่” ปัจจุบัน เขาทำงานเป็นนายตรวจรถไฟประจำสถานีรถไฟซีหนิง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของทางรถไฟสายชิงไห่-ทิเบต


ชายหนุ่มวัย 31 ปีทำหน้าที่ตรวจสอบความเรียบร้อยและแก้ไขจุดบกพร่องของตู้โดยสารทุกตู้ เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยทุกครั้งที่รถไฟออกเดินทาง เขายึดอาชีพนี้มานาน 7 ปีแล้ว แต่นับว่าน้อยนิดเมื่อเทียบกับปู่และพ่อของเขา


ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น

เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อปี 1958 หลี่ หวังฝู ปู่ของเขา ซึ่งเป็นชาวมณฑลชานตงทางภาคตะวันออกของจีน ได้ย้ายจากการรถไฟเมืองตานตงมาทำงานที่เมืองซีหนิง โดยเขาให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ CGTN ว่า “ผมมาถึงที่นี่เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 1958” เขายังจำวันที่ได้อย่างแม่นยำแม้ล่วงเข้าสู่วัย 80 แล้ว หลังจากนั่งรถไฟโคลงเคลงมาไกล เขาก็พบผืนดินแห้งแล้งที่ถูกแผดเผาด้วยแสงแดดร้อนแรง


ตอนที่สถานีรถไฟซีหนิงก่อสร้างขึ้นในเดือนตุลาคม 1959 หลี่ หวังฝู เป็นหนึ่งในนายตรวจรถไฟเพียงไม่กี่คนที่ทำงานในที่ราบสูงอันเวิ้งว้าง เขาไล่ล่าหาจุดบกพร่องและซ่อมแซมรถไฟด้วยเครื่องมือใหญ่เทอะทะในตอนกลางวัน ส่วนในตอนกลางคืนก็พักในหลุมใต้ดินที่เขาและเพื่อนร่วมงานช่วยกันขุดบริเวณเนินเขาที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่น ถัดจากโรงจอดรถไฟไปทางทิศใต้


เขาเล่าว่า “สมัยนั้น เราไปทุกที่ที่ถูกสั่งให้ไป” เขาเลิกงานในสภาพที่เสื้อผ้าชุ่มโชกไปด้วยน้ำมันเครื่องสีดำทุกวัน แต่งานหนักก็ให้ผลตอบแทนในเวลาต่อมา เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้านายตรวจรถไฟคนแรก ๆ ของทางรถไฟสายชิงไห่-ทิเบต ในปี 1984 ซึ่งเป็นปีที่ทางรถไฟเชื่อมเมืองซีหนิง-โกลมุด เริ่มให้บริการ โดยทั้งสองเมืองเป็นเมืองใหญ่อันดับหนึ่งและสองของมณฑลชิงไห่ตามลำดับ


ดังคำกล่าวที่ว่า “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” หลี่ ซิ่วจิน ได้รับแรงบันดาลใจจาก หลี่ หวังฝู บิดาของเขา และมุมานะจนได้ทำงานซ่อมบำรุงรถไฟเช่นกัน โดยเขาเล่าว่า “ครั้งหนึ่งพ่อพาผมขึ้นรถไฟไปด้วย ผมรู้สึกว่างานนี้ยอดเยี่ยมมาก” ในปี 1983 เขาได้รับการบรรจุเข้าทำงานที่สถานีรถไฟโกลมุด “สมัยนั้นต้องใช้เวลาเดินทางสองวันจากซีหนิงไปโกลมุด กรวดทรายกระเด็นเต็มไปหมด”


หลี่ ซิ่วจิน และเพื่อนร่วมงานพักอยู่ในกระท่อมดินเหนียวหลังเล็กที่กันลมแทบไม่ได้ พวกเขาถือค้อนซ่อมรถไฟติดตัวไปทำงานทุกวัน ตลอด 37 ปีที่ผ่านมา เขาได้เห็นการพัฒนาเทคโนโลยีทางรถไฟอย่างเฟื่องฟู ซึ่งช่วยให้การตรวจความเรียบร้อยของรถไฟสะดวกขึ้นมาก


ระบบทางรถไฟชิงไห่ได้นำเครื่องตรวจสอบอัตโนมัติมาใช้ในปี 2012 ท่ามกลางกระแสการพัฒนาที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นทั่วประเทศจีน หลี่ ซิ่วจิน ได้เรียนรู้เทคโนโลยีล้ำสมัยและได้รับตำแหน่งนักวิเคราะห์ส่วนกลางของ TFDS (Train of Freight Failures Detection System) “ทุกวันนี้ ผมสามารถตรวจเช็กสภาพรถไฟได้ 300 ขบวนต่อวันผ่านคอมพิวเตอร์


หลี่ ไห่เฟิง ทายาทรุ่นที่สาม กล่าวว่า ในอดีต งานซ่อมแซมและบำรุงรักษาต้องอาศัยประสบการณ์มากกว่า แต่ในปัจจุบัน “ทักษะรอบด้าน” ที่มีพื้นฐานมาจากองค์ความรู้ทางเทคนิค ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นไม่แพ้กัน เพื่อรับประกันความปลอดภัยของผู้โดยสาร


วิวัฒนาการจากรถจักรไอน้ำสู่รถไฟฟ้า

ในช่วงทศวรรษที่ 1950 และ 1960 ซึ่งเป็นยุคของรถจักรไอน้ำ การเดินทางด้วยรถไฟต้องใช้เวลาเป็นวัน ๆ และโคลงเคลงตลอดเวลา อย่างไรก็ดี รถจักรไอน้ำช่วยขับเคลื่อนโลกไปสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่หนึ่ง และเปลี่ยนโฉมหน้าอารยธรรมของมนุษย์ในอีก 150 ปีต่อมา


ในประเทศจีนมีการผลิตและใช้งานรถจักรไอน้ำมาจนถึงช่วงปลายทศวรรษ 1980 แม้ว่ารถจักรไอน้ำส่วนใหญ่ได้หยุดใช้งานไปก่อนหน้านั้นนานแล้วก็ตาม ในทศวรรษที่ 1960 รถจักรไอน้ำได้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเครือข่ายทางรถไฟของจีน ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม


หลี่ หวังฝู ผ่านช่วงเวลาที่เครื่องจักรโบราณค่อย ๆ เลิกใช้ไป เข้าสู่ช่วงที่นำรถไฟเครื่องยนต์สันดาปภายในมาใช้ จนมาถึงยุครถไฟฟ้า เขากล่าวว่า “ตอนนี้เราเปลี่ยนมาใช้รถไฟฟ้ากันหมดแล้ว”


ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา เทคโนโลยีรถไฟของจีนค่อนข้างล้าสมัย ลูกชายและหลานชายของหลี่ หวังฝู ได้สัมผัสกับการพัฒนาที่ซับซ้อนกว่า โดยหลี่ ไห่เฟิง ผู้เป็นหลาน กล่าวว่า “สมัยก่อนรถไฟสายซีหนิง-โกลมุด แล่นด้วยความเร็วเพียง 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ปัจจุบันทำความเร็วได้ถึง 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง”


ปัจจุบัน ประเทศจีนมีเครือข่ายรถไฟความเร็วสูงที่ใหญ่ที่สุดในโลก และยังมีวิธีการตรวจสอบระบบทางรถไฟและอุปกรณ์บนรถไฟที่ทันสมัย


“เราเปลี่ยนจากการใช้แรงคนมาเป็นใช้ความคิดแทน ไม่ต่างจากหมอในโรงพยาบาล” หลี่ ซิ่วจิน กล่าว “เรานั่งอยู่ในห้อง ดูภาพที่ถ่ายด้วยกล้องความเร็วสูง แล้วรายงานปัญหาไปยังนายตรวจที่ประจำอยู่หน้างาน โดยมีนักวิเคราะห์ของ TFDS คอยช่วยเหลือ”


หลี่ ไห่เฟิง มองว่างานในปัจจุบันใช้แรงกายน้อยลง แต่ต้องอาศัยทักษะความเชี่ยวชาญมากขึ้น รถไฟที่เขาทำงานอยู่มีสิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัยมากมาย เช่น ฟิลเตอร์กรองรังสี UV เครื่องผลิตออกซิเจน และอุปกรณ์แปรสภาพสิ่งปฏิกูลโดยอัตโนมัติ ฯลฯ


หลี่ ไห่เฟิง กล่าวทิ้งท้ายว่า “งานรถไฟเป็นงานยาก เพราะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้โดยสารทุกคนอยู่เสมอ เหมือนกับหมอที่ต้องรู้จักทุกชิ้นส่วนของรถไฟ และจ่ายยาให้ตรงตามอาการ”


วิดีโอ - https://cdn5.prnasia.com/202010/CGTN/Video.mp4

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Tags:
Tags:  

หน้า: 1

 
ตอบ

ชื่อ:
 
แชร์ไป Facebook ด้วย
กระทู้:
ไอค่อนข้อความ:
ตัวหนาตัวเอียงตัวขีดเส้นใต้จัดย่อหน้าชิดซ้ายจัดย่อหน้ากึ่งกลางจัดย่อหน้าชิดขวา

 
 

[เพิ่มเติม]
แนบไฟล์: (แนบไฟล์เพิ่ม)
ไฟล์ที่อนุญาต: gif, jpg, jpeg
ขนาดไฟล์สูงสุดที่อนุญาต 20000000 KB : 4 ไฟล์ : ต่อความคิดเห็น
ติดตามกระทู้นี้ : ส่งไปที่อีเมลของสมาชิกสนุก
  ส่งไปที่
พิมพ์อักษรตามภาพ:
พิมพ์ตัวอักษรที่แสดงในรูปภาพ
 
:  
  • ข้อความของคุณอยู่ในกระทู้นี้
  • กระทู้ที่ถูกใส่กุญแจ
  • กระทู้ปกติ
  • กระทู้ติดหมุด
  • กระทู้น่าสนใจ (มีผู้ตอบมากกว่า 15 ครั้ง)
  • โพลล์
  • กระทู้น่าสนใจมาก (มีผู้ตอบมากกว่า 25 ครั้ง)
         
หากท่านพบเห็นการกระทำ หรือพฤติกรรมใด ๆ ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รวมถึง การใช้ข้อความที่ไม่สุภาพ พฤติกรรมการหลอกลวง การเผยแพร่ภาพลามก อนาจาร หรือการกระทำใด ๆ ที่อาจก่อให้ผู้อื่น ได้รับความเสียหาย กรุณาแจ้งมาที่ แนะนำติชม